Masukซูจิ่งหลงบุรุษผู้เป็นดั่งเงามืดแห่งเมืองหลวง ผู้คนทั้งหล้าต่างเรียกขานว่าเป็นบุรุษผู้ไร้หัวใจ ทว่าความจริงแล้ว ภายในอกกลับมีเพียงสตรีหนึ่งเดียวที่สามารถทำให้หัวใจอันแข็งกร้าวสั่นสะท้านได้เพียงเสี้ยวอึดใจ
เมื่อเงาร่างสูงสง่าของเขาก้าวพ้นประตู จวนหลานเยว่ โลกทั้งใบก็กลับตาลปัตรชายผู้เย็นชา ไร้ปรานี ที่ใคร ๆ ต่างยำเกรง กลับไม่กล้าแม้แต่จะยกสายตาสบกับนาง หัวใจที่เคยแข็งกร้าวราวศิลา พลันสั่นสะเทือนราวกับเด็กหนุ่มผู้เพิ่งลิ้มรสรักครั้งแรก ริมฝีปากที่เคยเปล่งคำสั่งสังหารออกมาโดยไร้ความลังเล บัดนี้กลับสั่นระริก และเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่าเจือความประหม่า
“ข้า…ได้ยินข่าว…ว่ามีแมลงวี่แมลงวัน…วนเวียนใกล้กายเจ้า… เจ้า…จงระวังตัวให้มาก… คนผู้นั้น…บิดาของมัน…มิใช่บุคคลธรรมดา…”
ถ้อยคำหนักแน่น แต่แฝงความร้อนรนที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยินจากปากเขามาก่อน หากใครภายนอกได้ฟัง อาจเข้าใจว่าเป็นเพียงคำเตือนภัยธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว…มันคือข้ออ้าง ข้ออ้างเพื่อจะได้พูดกับนาง เพื่อจะได้อยู่ใกล้นางอีกเพียงเสี้ยวลมหายใจ ดวงตาคมที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้ผู้คนนับร้อยสะท้านเพียงแค่เหลือบมอง กลับหลบเลี่ยงทอดต่ำ ไม่กล้าประสานกับนาง ราวกับเกรงว่าหากสบตา หัวใจที่โหดเหี้ยมมาตลอดชีวิตจะถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น
เขาอายุล่วงเลยเข้าสี่สิบต้น ๆ เป็นบุรุษที่มั่นคง แข็งแกร่ง และทรงอำนาจในสายตาคน แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าหลานเยว่ เขากลับเหมือนเพียงชายหนุ่มขี้อายผู้ไม่รู้จักวิธีซ่อนความรู้สึกตนเอง ทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมาล้วนเปี่ยมด้วยความปรารถนาลึกซึ้งที่ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดรู้
“คนผู้นี้…ช่างน่ารำคาญนัก” เสียงของหลานเยว่ดังขึ้นเรียบนิ่ง ใบหน้าสงบเย็นจนยากจะคาดเดาความคิดในใจ ทว่าเมื่อเธอหันมาสบตากับเขา น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยกลับอ่อนโยนลงเพียงเล็กน้อยอ่อนโยนที่สุดเท่าที่ซูจิ่งหลงเคยได้ยินจากนาง
“ข้ามีเรื่อง…อยากขอร้องให้เจ้าช่วย”
หัวใจที่เคยแข็งกร้าวพลันเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก เขาเคยเชื่อว่านางเป็นสตรีที่ด้านชา ไร้ซึ่งความรู้สึก แต่เพียงถ้อยคำสั้น ๆ นี้กลับทำให้กำแพงแข็งแรงในใจเขาพังทลายลงอย่างไม่เหลือ เขารีบเงยหน้ามองนางเต็มตา เอื้อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มที่สะท้อนทั้งความร้อนรนและความจริงใจ
“หลานเยว่…เจ้าบอกข้าเถิด! ต่อให้ต้องบุกน้ำ ลุยไฟ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะทำเพื่อเจ้า!”
แต่สายตาของนางกลับไม่ได้หยุดอยู่ที่เขา หากทอดมองออกไปยังลานกว้างที่เด็กชายตัวน้อย หลานจิ่วอวิ๋น กำลังหัวเราะเสียงใส วิ่งเล่นกับบ่าวรับใช้อย่างเบิกบาน รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นบนเรียวปาก รอยยิ้มที่โลกภายนอกไม่เคยได้เห็นมาก่อน รอยยิ้มที่มีไว้เพียงเพื่อมอบให้ลูกชายของนางแต่ผู้เดียว
“อีกสามวัน…จะเป็นวันเกิดของหลานจิ่วอวิ๋น ข้าไม่รู้เลยว่าในฐานะแม่…จะต้องทำเช่นไรเพื่อให้เขามีความสุขที่สุด ข้าหวังว่าเจ้า…จะช่วยข้าสร้างภาพความทรงจำที่ดีให้แก่เขา”
คำขอนั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ไม่ใช่การเอาชีวิต หากแต่เป็นเพียงความปรารถนาของแม่ผู้หนึ่ง ที่อยากให้บุตรชายมีรอยยิ้มในวันสำคัญ แต่สำหรับซูจิ่งหลงคำขอนี้กลับมีค่ามากกว่าทุกสมบัติในแผ่นดินริมฝีปากที่เคยชินกับการออกคำสั่งตัดสินชีวิตผู้คนมากมายสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนเขาจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ราวคำสัตย์สาบานที่ไม่มีวันหวนคืน
“เจ้าโปรดวางใจ… ข้าจะทำให้ลูกชายของเจ้า…มีความสุขที่สุดในวันนั้น”
ความร้อนผ่าวซ่านไปทั้งอก ความรู้สึกที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้สัมผัสอีกครั้งในวัยสี่สิบต้น ๆ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนความหวัง ความปรารถนา และความรักที่เปราะบางจนเขาเองก็หวาดหวั่น เขาไม่รู้ว่านางจะมองเขาเช่นไร อาจเพียงใช้เขาเป็นเครื่องมือ แต่สำหรับซูจิ่งหลงแล้ว… เพียงการได้มีส่วนร่วมในความทรงจำล้ำค่าของแม่ลูกผู้นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตที่ด้านชามายาวนานกลับมีแสงสว่างอีกครั้ง
เขาก้าวลงจากรถม้าเมื่อกลับถึงจวน สีหน้าเงียบขรึมที่เคยเป็นดั่งกำแพงน้ำแข็งบัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความเบิกบานและความหวัง แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบเสี้ยวหน้าคมเข้ม รอยยิ้มบางจางปรากฏขึ้น รอยยิ้มที่แทบไม่เคยมีใครได้เห็น ราวกับละลายความเย็นชาที่กักขังหัวใจเขามานานหลายสิบปี
ทันทีที่เข้าถึงเรือนใหญ่ เขารีบสั่งการลูกน้อง น้ำเสียงที่เคยกร้าวกระด้างกลับแฝงความอบอุ่นผิดวิสัย
“เตรียมทุกสิ่งให้สมบูรณ์ที่สุด สถานที่ต้องงดงาม อาหารต้องเลิศรส ของขวัญสำหรับหลานจิ่วอวิ๋น…ข้าต้องการให้เป็นสิ่งที่เขาจะไม่มีวันลืม หากทำสำเร็จ…รางวัลของพวกเจ้าจะสมบูรณ์กว่าครั้งใด ๆ”
ลูกน้องต่างรับคำด้วยความนอบน้อม หนึ่งในนั้นกล้าเอ่ยสิ่งที่เก็บงำไว้มานาน เสียงสั่นพร่าก้องขึ้นกลางความเงียบ “นายท่าน…เหตุใดไม่ถือโอกาสนี้ บอกความในใจต่อแม่นางหลานเยว่เล่า? พวกเรายินดีช่วยสร้างสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้ท่านได้เปิดเผยความรู้สึก”
ความเงียบโรยตัวทั่วทั้งเรือน ทุกลมหายใจราวกับหยุดชะงักเพื่อรอฟังคำตอบจากผู้เป็นนายร่างสูงใหญ่ของซูจิ่งหลงสั่นสะท้านเล็กน้อย มิใช่เพราะโทสะ หากแต่เพราะบางสิ่งที่กดทับในใจมาเนิ่นนานความกลัว ใช่…เขา บุรุษผู้ไม่เคยสะทกสะท้านต่อคมดาบหรือสายตาศัตรูนับร้อย กลับหวาดหวั่นต่อคำเพียงสามคำที่ไม่เคยกล้าเอื้อนเอ่ย ข้ารักเจ้า
เสียงทุ้มต่ำพร่าหลุดออกมาช้า ๆ สั่นเครือราวกับถูกบังคับ “จ…จริงดังเจ้าว่า… ข้า…ควรจะเผยความในใจของข้า…ให้นางได้รับรู้อีกสักครั้ง…”
สิ้นคำ ใบหน้าของซูจิ่งหลงที่ปกติสุขุมแน่วแน่ กลับเผยร่องรอยสั่นไหวชัดเจน ราวกับชายผู้กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตศัตรูที่มีนามว่า ความรัก
แต่ถึงจะยากเพียงใด อย่างน้อยเขายังมี ความหวังหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะรับรู้ถึงความจริงใจที่เขามอบให้หวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะได้ก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของนาง แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี
ทว่าอีกฟากหนึ่ง ผู้ที่ไม่มีแม้กระทั่งเศษเสี้ยวของความหวัง ก็คือ จ้าวหย่งหยูเจ้าง่อยผู้มีจิตใจบิดเบี้ยวราวกับถูกก่อร่างจากขุมนรก หลานเยว่…คือสตรีนางแรกที่มันเผลอหลงรัก แต่ความรักที่ครั้งหนึ่งอ่อนโยน กลับบิดเบี้ยวกลายเป็นไฟริษยาในทันทีที่เห็นนางทอดรอยยิ้มให้ชายอื่น และเมื่อมันเห็นความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซูจิ่งหลงค่อย ๆ แนบชิดขึ้นทีละน้อย ไฟแค้นก็ยิ่งโหมแรงจนแทบกลืนกินสติ
หัวใจของจ้าวหย่งหยูในยามนี้เต็มไปด้วยความเดือดดาล มันไม่อาจยอมรับความจริง ไม่อาจทนเห็นนางหันเหความสนใจไปหาผู้อื่น ดวงตาที่เบิกกว้างสั่นระริกไปด้วยความบ้าคลั่ง ริมฝีปากกัดแน่นจนเลือดซึม เสียงหัวเราะแหบพร่าหลุดออกมาแผ่วเบา คล้ายสัตว์ร้ายถูกขังที่กำลังจะขาดใจ
“นาง…นางกล้าทำกับข้าเช่นนี้รึ? ข้า…ข้าจะไม่มีวันยอม! ต่อให้โลกทั้งใบต้องแตกสลาย ข้าก็จะลากนางลงไปในนรกพร้อมข้า!”
ไฟริษยากำลังกัดกินหัวใจของมันจนมืดบอด ขณะที่ซูจิ่งหลงกลับกำลังทุ่มเททุกสิ่งเพื่อสร้างรอยยิ้มเล็ก ๆ ให้แก่สองแม่ลูกที่เขารักสุดหัวใจ หนึ่งคนเดินอยู่บนเส้นทางแห่ง ความหวัง แต่อีกคนกลับจมลึกในห้วงเหวแห่ง ความสิ้นหวัง
และชะตากรรมก็ดูเหมือนกำลังสานเส้นทางของสองบุรุษนี้ให้หักมาชนกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







