Masukในขณะที่ ซูจิ่งหลง กำลังหัวหมุนกับการเตรียมงานวันเกิดให้หลานจิ่วอวิ๋น แต่แล้วกลับมีแขกที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมาปรากฏตัวที่ โรงประมูล ของตน
เสียง เอี๊ยด…เอี๊ยด… ของล้อรถเข็นดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถงอันโอ่อ่า ชายผู้มาปรากฏกายคือ จ้าวหย่งหยู เจ้าง่อยที่แม้ร่างกายอ่อนแอไม่สมประกอบ หากแต่กลับมิอาจบดบังกลิ่นอายอันบิดเบี้ยวและคุกรุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากใจอันดำมืดได้เลยรอบกายเขามีเหล่ายอดฝีมือเงียบงันรายล้อม แต่ละก้าวของล้อรถเข็นที่ขยับไปข้างหน้าราวกับมีเงาหมอกดำทอดคลุมบรรยากาศทั้งห้องจนหนักอึ้งซูจิ่งหลง เหลือบมองด้วยสายตาคม ก่อนจะเอ่ยคำสั่งเสียงเรียบ“พวกเจ้า…ออกไปก่อน”
บ่าวรับใช้ธรรมดาที่ไม่มีพลังฝีมือ ต่างรีบก้มหน้าถอยออกไปอย่างไม่กล้าเอื้อนเอ่ยแม้คำเดียว เหลือเพียงคนคุ้มกันฝีมือสูงที่ยืนประจำตำแหน่ง คอยจับตามองความเคลื่อนไหวทุกเสี้ยววินาทีบรรยากาศเงียบงันกดทับ จนแม้แต่ลมหายใจก็ดูหนักหน่วง ซูจิ่งหลง จ้องมองไปยังร่างที่นั่งอยู่บนรถเข็น สีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง แต่แววตาแฝงไปด้วยความระแวดระวัง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสุภาพให้เกียรติ ทว่าหนักแน่นดุจหินผา
“ข้า…คิดไม่ถึงเลย ว่าคุณชายจะให้เกียรติมาเยือนที่นี่ด้วยตนเอง” คำพูดนั้น ไม่ได้ให้เกียรติแก่ จ้าวหย่งหยู หากแต่ให้เกียรติแก่เงาของบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง…บิดาของมัน ผู้เป็นอัครเสนาบดีผู้ทรงอำนาจสูงสุดในราชสำนัก
ริมฝีปากที่เบี้ยวคดของ จ้าวหย่งหยู สั่นระริก ก่อนที่เสียงพร่าแหบหอบจะเล็ดลอดออกมาอย่างยากลำบาก“จะ…จง…เลิก…ยุง…กับ…นาง…ซะ…”
คำพูดแต่ละคำเหมือนถูกบีบออกมาจากช่องอก เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่บิดเบี้ยว เสียงขาดห้วงไม่ต่างจากลมหายใจที่สั่นเครือ แต่กลับแฝงด้วยโทสะอันเดือดดาลราวไฟนรกซูจิ่งหลง ยืนนิ่งเงียบ ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนมุมปากคมกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเฉียบ น้ำเสียงทุ้มลึกเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ“เห็นที…คงจะเป็นไปไม่ได้”สายตาของเขาทอดมองลงมา ราวกับกำลังมองสิ่งสกปรกไร้ค่า “เพราะนาง…และลูกของนาง…คือดวงใจของข้า”
คำพูดนั้นเปรียบเสมือนมีดคมกริบ เสียบแทงลงกลางอกของเจ้าง่อยในทันที จ้าวหย่งหยู เบิกตาโพลง ร่างกายที่อ่อนแรงพลันสั่นระริก เส้นเลือดขมับปูดโปน นัยน์ตาขุ่นมัวฉายประกายเลือด เขาเชิดหน้าขึ้น พยายามรวบรวมแรงทั้งหมดเปล่งเสียงออกมา แม้จะติดขัดแตกพร่า แต่โทสะที่พวยพุ่งกลับชัดเจนจนทุกผู้คนในที่นั้นสัมผัสได้
“เ-จ้า…เจ้า…ต่ำ! ขะ…ข้า…จะ-จะ…ไม่-ไม่…ยอม…ให้นาง…เป็น…ของเจ้า…เด็ด…ขาด!”
เสียงนั้นคล้ายเสียงสัตว์บาดเจ็บ คำพูดไม่สมบูรณ์ แต่แรงอาฆาตที่ปะทุออกมากลับชัดเจนจนบรรยากาศรอบโถงกดทับจนแทบหายใจไม่ออกทั้งโรงประมูลเงียบกริบ เหล่าลูกน้องไม่กล้าแม้แต่จะไอออกมา ขณะสายตาของ ซูจิ่งหลง ยังคงเย็นเยียบไร้ความสะทกสะท้าน ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับเด็กน้อยที่ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง
“ไอ้เด็กเหลือขอ… ไสหัวออกไปให้พ้นจากโรงประมูลของข้า! ข้าไม่อยากลงมือกับคนพิการ… จะเห็นแก่หนังหน้าของบิดาเจ้า สักครั้งก็แล้วกัน!”
คำพูดดุจคมดาบบาดลึกลงในหัวใจของ จ้าวหย่งหยู จนร่างบิดเบี้ยวบนรถเข็นสั่นสะท้านไปทั้งกาย ริมฝีปากคดเบี้ยวกระตุก พ่นลมหายใจติดขัดราวกับคนใกล้ขาดใจ ไม่ใช่เพราะหวาดกลัว…แต่เพราะไฟแค้นและความอับอายกำลังพลุ่งพล่านท่วมอก
“อั่ก…ไอ้…หนอนแมลง…สกปรก!” เขาสบถออกมาด้วยน้ำเสียงพร่าแตก สะอื้นปนสะบัดถ้อยคำออกมาอย่างยากลำบาก “แค่…มีบารมี…ในโลกมืด…นิดเดียว…กั่บ…กล้ามา…ดูถูก…ข้า!” ดวงตาแดงก่ำของเขาสั่นวูบด้วยความโกรธเกรี้ยว แววตานั้นไม่ต่างจากสัตว์บาดเจ็บที่พร้อมจะกัดตอบ แม้จะสิ้นหวังและไร้เรี่ยวแรงก็ตาม
“ฆ่า…ไอ้สารเลวนี่ซะ!” เสียงคำสั่งของ จ้าวหย่งหยู ก้องสะท้านไปทั่วโถง ร่างบนรถเข็นบิดเบี้ยวตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงพร่าซูจิ่งหลง หรี่ตาคมวาว เขายกดาบขึ้นช้า ๆ แววตาเยียบเย็นประหนึ่งมีดคมที่พร้อมจะตัดขาดลมหายใจของเจ้าง่อยตรงหน้าในวินาทีนั้น เขาตั้งใจจะจบเรื่องนี้ที่นี่แต่ทันใดนั้น!ฉัวะ!โลหิตสีเข้มพุ่งกระเซ็นจากแผ่นหลังของเขาเอง ความเจ็บปวดแล่นวาบจนกล้ามเนื้อเกร็งแน่น ดาบในมือแทบหลุดร่วง ซูจิ่งหลง โซเซเล็กน้อย ก่อนจะตวัดสายตาคมดุไปด้านหลังทันที
ที่นั่น คือหนึ่งในคนสนิท ผู้ที่เขาชุบเลี้ยงไว้ด้วยความไว้ใจนับสิบปี มือของมันยังคงกำคมมีดเปื้อนเลือด ริมฝีปากยกยิ้มเย็นเยียบเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหักหลัง“นายท่าน…ของรางวัลจากนายน้อยผู้นี้มันช่างล่อใจนัก” บรรยากาศภายในโถงพลันกลายเป็นความโกลาหล เสียงฝีเท้าของเหล่าผู้คุ้มกันดังก้อง ทุกคนล้วนเฝ้าจับจ้องราวกับจะรอดูว่าเจ้าของโรงประมูลผู้เกรียงไกร…จะล้มลงตรงนี้จริงหรือไม่
แต่ผิดคาดใบหน้าคมเข้มของ ซูจิ่งหลง ไม่ได้มีแววสั่นไหวแม้แต่น้อย เขาไม่แม้แต่จะฟังคำแก้ตัวไร้สาระของคนทรยศ ความเจ็บปวดถูกกลืนหายไปภายใต้ความโกรธเยียบเย็นที่ลุกโชนขึ้นมาท่วมอก เพียงชั่วพริบตา เขาสะบัดแขนที่กำมีดสั้นอันเล็กเรียวออกมา ฉัวะ! คมมีดเสือกผ่านลำคอของผู้ทรยศ ศีรษะของมันถูกเฉือนจนหลุดกระเด็น ร่วงลงมากลิ้งกลุกอยู่บนพื้นหินเย็น เสียงโลหิตไหลนองทำให้ทั้งโถงเงียบกริบ
สายตาของ ซูจิ่งหลง ยังคงแข็งกร้าว เขาไม่เหลียวมองศพ ไม่เสียเวลานึกถึงความหลัง ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนสนิทแต่เป็นเพียง เศษสวะที่ทรยศ ซึ่งต้องถูกกวาดล้าง
โลหิตยังหยดไหลจากบาดแผลบนแผ่นหลัง แต่ความองอาจของเขากลับไม่คลอนแคลนแม้แต่น้อย ร่างสูงใหญ่ยืนหยัดราวกับภูผาเย็นเยือก เสียงทุ้มก้องต่ำดังออกมาชัดเจนโลหิตสาดกระเซ็นอาบพื้นหินเย็น กลิ่นคาวโชยแรงจนบรรยากาศรอบด้านพลันขมุกขมัว ร่างสูงใหญ่ของ ซูจิ่งหลง ยืนนิ่งดุจภูผา แม้แผ่นหลังจะเปื้อนเลือด แต่สายตาคมเข้มกลับเย็นเยียบกว่าคมดาบ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลึก
“จำเอาไว้…ใครก็ตามที่คิดหักหลังข้าหากวันนี้ข้ายังมีลมหายใจ แม้เพียงเสี้ยวเดียว ข้าจะฆ่าล้างโคตรมันให้สิ้น พ่อแม่ ลูกเมีย พี่น้อง…ไม่มีผู้ใดจะเหลือรอด!”
เสียงนั้นดังก้องสะท้อนทั่วโถงใหญ่ ราวกับวิญญาณจากขุมนรกกำลังสาปแช่ง ทุกผู้คนที่ยืนอยู่เหมือนถูกกดทับด้วยแรงมหาศาล หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบทะลุอก ใบหน้าของผู้ที่เพิ่งแอบคิดหักหลังพลันซีดเผือด สั่นสะท้านจนแทบยืนไม่อยู่
ไม่มีผู้ใดกล้าคิดว่า คำพูดนี้เป็นเพียงคำขู่…เพราะนี่คือถ้อยคำจากชายที่ทั้งเมืองหลวงต่างรู้จักดี บุรุษผู้ไร้หัวใจ และทุกคำที่เอ่ยล้วนเป็นจริงทุกประการ
หนึ่งในผู้ติดตามที่ก่อนหน้านี้ยังมีใจโลเล รีบทรุดตัวลงกับพื้น โขกศีรษะก้องรัว ๆ น้ำเสียงสั่นระริก แต่เปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก“ปกป้องนายท่าน! อย่าให้ไอ้ชั่วพวกนี้แตะต้องร่างนายท่านได้เป็นอันขาด!”
เสียงนั้นเป็นเสมือนสัญญาณปลุกขวัญ เหล่าลูกน้องที่ยังภักดีต่างกรูกันเข้ามาล้อมร่างซูจิ่งหลงแน่นหนา สายตาของพวกมันสะท้อนทั้งความหวาดหวั่นและบ้าคลั่ง เพราะรู้ดีหากไม่ภักดีจนถึงที่สุด วันนี้ไม่ใช่แค่ชีวิตพวกมันที่จะดับสิ้น แต่ทั้งตระกูลอาจต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







