Masukแสงอรุณแรกของวันใหม่ค่อย ๆ แผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทะเลทรายกว้างใหญ่ เส้นขอบฟ้าเปล่งประกายทองราวกับเทพสวรรค์จงใจมอบพรให้กับวันสำคัญวันเกิดของหลานจิ่วอวิ๋น ขบวนรถม้านับสิบคันเคลื่อนตัวออกจากเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ แถวเรียงยาวเหยียดทอดไกลสุดสายตา ไม่ต่างอะไรจากคาราวานการค้าของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง หากแต่แท้จริงแล้วภายในรถแต่ละคันกลับบรรจุไปด้วย พ่อครัวฝีมือเยี่ยม เครื่องครัวมากมาย ของขวัญนับไม่ถ้วน และบ่าวรับใช้กว่าร้อยชีวิตเพื่อรองรับงานเลี้ยงเพียงงานเดียว
ความยิ่งใหญ่อลังการครั้งนี้ หากเปรียบกับงานวันเกิดของเด็กน้อยทั่วไปแล้วก็เกินกว่าจะวัดได้ เพราะบรรยากาศกลับคล้ายงานพิธีของตระกูลใหญ่ผู้สูงศักดิ์ที่กำลังเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ในราชสำนัก
ภายในรถม้าที่ตกแต่งอย่างประณีตด้วยผ้าแพรหรูและกลิ่นหอมของกำยาน ซูจิ่งหลง และ หลานเยว่ นั่งเผชิญหน้ากัน ความเงียบกดดันครอบงำจนแม้แต่ลมหายใจก็ดูหนาหนัก ดวงตาคมของหลานเยว่จับจ้องไปยังชายตรงหน้า ไม่ใช่สายตาที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่น หากแต่เป็นจับผิด
ซูจิ่งหลง พยายามนั่งหลังตรงตามบุคลิกของตน แต่สีหน้าซีดเซียวแฝงความอ่อนแรงยากจะปกปิด ทุกครั้งที่รถม้าโยกไหว แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยกลับบาดลึกเข้าแผลภายในร่างของเขา เสมือนคมมีดนับสิบที่กรีดซ้ำลงไป กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ แผ่วลอยอยู่ในอากาศ แม้คนทั่วไปอาจไม่ทันได้กลิ่น แต่สำหรับ หลานเยว่ ผู้เป็นนักฆ่า มันคือสิ่งที่ชัดเจนจนไม่อาจปิดบัง
“ดูเหมือนวันนี้…เจ้าจะไม่ค่อยดีนัก”เสียงของนางเรียบนิ่ง ทุ้มต่ำไร้อารมณ์ หากแต่แฝงความเย็นเยียบที่ยากจะตีความว่าคือความห่วงใย หรือเพียงการกล่าวตามจริง ซูจิ่งหลงชะงักเล็กน้อย เขายกยิ้มบางบนริมฝีปาก แต่แววเจ็บลึกในดวงตากลับไม่อาจปิดบังได้ น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เปล่งออกมา พยายามกลบความอ่อนแอด้วยความมั่นคง“วันนี้…ข้าเพียงแค่สุขภาพไม่ดีเท่านั้น”
เขาสูดลมหายใจลึก ฝืนกลืนความเจ็บปวดที่กำลังกัดกินร่างกาย แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นประหนึ่งคำสาบาน“แต่วันนี้…ต้องเป็นวันที่เจ้ากับลูกมีความสุข ข้าตั้งใจทำทุกสิ่งเพื่อเจ้า”
คำพูดนั้นเป็นเสมือนดาบที่เขาฟาดฟันตัวเอง ยอมแบกรับความเจ็บปวดเพียงเพื่อแลกกับรอยยิ้มของสองแม่ลูกที่เขาหวงแหนมากที่สุดในโลก
“งั้นหรือ…” หลานเยว่เอ่ยเพียงสั้น ๆ ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ แต่ในดวงตาที่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง กลับมีประกายที่ต่างออกไปประกายคล้ายความกังวลที่ถูกซ่อนเร้นไว้อย่างแนบเนียน
เสียงหัวเราะสดใสของหลานจิ่วอวิ๋นที่ดังมาจากรถม้าด้านหลัง คล้ายสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดพาความอึดอัดให้จางหายไป รอยยิ้มของเด็กน้อยสะท้อนเข้าสู่ดวงตาซูจิ่งหลง ทำให้ความเย็นชาที่ครอบงำจิตใจเขามานานหลายสิบปีละลายไปจนหมดสิ้น
เมื่อกงล้อรถม้าหนักหยุดลง ณ ใจกลางทะเลทรายเวิ้งว้าง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่กลับเป็น งานรื่นเริงยิ่งใหญ่ประหนึ่งเมืองจำลอง
กระโจมผ้าแพรหลากสีสันเรียงราย พริ้วไหวไปตามแรงลม เสากลางปักสูงแขวนโคมไฟนับร้อยดวง ส่องประกายระยิบระยับประหนึ่งดาวฤกษ์ร่วงหล่นมาสถิตบนผืนทราย แม้ยามกลางวันก็ยังทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นราวงานเทศกาล กลิ่นหอมของอาหารนานาชนิดโชยฟุ้ง ทั้งเนื้อแพะย่างบนเตา ข้าวอบสมุนไพร ขนมหวานที่แต่งแต้มสีสันละลานตา ทุกอย่างล้วนถูกจัดเตรียมด้วยความประณีต
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยนับสิบดังแว่วไม่ขาดสาย พวกเขาคือลูกหลานของบ่าวไพร่ที่ซูจิ่งหลงพามาร่วมงาน ทุกครอบครัวสวมเสื้อผ้าใหม่สะอาดสะอ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความปลื้มปีติ ราวกับอยู่ในงานมหรสพกลางเมืองใหญ่
หลานจิ่วอวิ๋น เบิกตาโพลงด้วยความตื่นเต้น เขารีบคว้าแขนเสื้อของลุงแน่น พลางตะโกนด้วยน้ำเสียงสดใสที่กลั้นไว้ไม่อยู่“ท่านลุง…นี่มันอะไรกันหรือ?!”
หัวใจที่เคยเย็นชาของซูจิ่งหลงในวินาทีนั้นกลับอบอุ่นราวหิมะที่ละลาย เขามองเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนที่ไม่เคยมีใครได้เห็น รอยยิ้มบางแต้มบนใบหน้าคมเข้ม ราวกับเป็นรอยยิ้มที่เขาเก็บไว้ให้เพียงคนในครอบครัว“เจ้าชอบหรือไม่…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ล้วนจัดขึ้นเพื่อเจ้าเพียงผู้เดียว”
หลานจิ่วอวิ๋นหัวเราะเสียงดัง ดวงตาส่องประกายยิ่งกว่าแสงโคมไฟ เขาวิ่งตรงเข้าสู่กลุ่มเด็ก ๆ เสียงหัวเราะสดใสดังก้องกังวานไปทั่วทะเลทราย ราวเสียงดนตรีแห่งความสุขที่ไม่มีวันลบเลือนและในยามนั้น…ผู้คนที่ได้เห็นต่างไม่อาจเชื่อสายตาตนเอง ว่าบุรุษผู้โหดเหี้ยมแห่งโลกมืดซูจิ่งหลง สามารถพลิกทะเลทรายรกร้างให้กลายเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้มและความอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้…
กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยฟุ้งไปทั่วกลางทะเลทรายทำให้พ่อครัวเอกผู้ติดตามมากับขบวนรถม้า สูดลมหายใจลึก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความฮึกเหิม แววตาทอประกายประหลาดเมื่อได้กลิ่นอาหารที่บ่าวไพร่เตรียมไว้ เขาก้าวออกมาข้างหน้า ยกมือเช็ดเหงื่อพลางกล่าวเสียงดังฟังชัด“หึ…บ่าวไพร่พวกนี้ ชักจะเกินหน้าเกินตาไปแล้ว ถึงขั้นทำอาหารรอพวกเราเช่นนี้… แต่นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะไม่ยอมให้ใครดูแคลนฝีมือข้าได้!”
คำพูดนั้นเต็มไปด้วยไฟแห่งศักดิ์ศรี ราวกับนักรบที่กำลังเข้าสู่สนามรบ เขาไม่ยอมให้คนธรรมดามีฝีมือทัดเทียมตนได้เด็ดขาด เสียงฮือฮาของบ่าวไพร่ดังขึ้นทันที บ้างหลบสายตา บ้างก้มหน้าด้วยความอึดอัด
ซูจิ่งหลง ที่นั่งอยู่กลางกระโจมหลัก เงยหน้าขึ้นมองอย่างสงบ ดวงตาคมของเขากวาดมองเหล่าผู้คนรอบตัว เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นสะท้อนก้องกลางทะเลทราย ทำให้บรรยากาศโดยรอบคลายความกดดันลงบ้าง เขาขยับริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนเปล่งเสียงทุ้มออกมาอย่างอ่อนโยนจนน่าตกใจ
“พวกเจ้าจงทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้เต็มที่… แต่วันนี้ ข้าอยากให้ถือว่าเป็นวันพักผ่อนของพวกเจ้าด้วย”
เขาหยุดชั่วครู่ ราวกับต้องการให้ทุกคนซึมซับถ้อยคำ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นและอ่อนโยนไปพร้อมกัน“วันนี้มิใช่เพียงงานวันเกิดของเด็กน้อยผู้นั้น แต่เป็นวันที่ทุกคนควรได้ร่วมกันสร้างความทรงจำที่งดงาม จงกิน ดื่ม และหัวเราะไปพร้อมกับบุตรหลานของพวกเราเถิด”
วินาทีนั้น ความเงียบโรยตัวลงชั่วขณะ เหล่าบ่าวไพร่ที่เคยค้อมหัวอย่างหวาดกลัวกลับค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาหลายคู่สั่นไหวด้วยความไม่เชื่อหูตนเองตั้งแต่เมื่อใดกัน ที่นายท่านผู้โหดเหี้ยมไร้หัวใจ กลับเอ่ยถ้อยคำที่อ่อนโยนเช่นนี้ออกมาได้?
ราวกับว่าภูผาน้ำแข็งที่โอบล้อมหัวใจพวกเขามาตลอดหลายปี ได้เริ่มละลายลงเพราะรอยยิ้มบาง ๆ ของชายตรงหน้า บ่าวไพร่หลายคนถึงกับกลืนน้ำลาย สายตาที่เคยมองด้วยความหวาดหวั่นพลันเปลี่ยนเป็นความเคารพจากก้นบึ้งใจ
ในยามนั้นเอง ซูจิ่งหลง ไม่ได้เป็นเพียงเจ้านายผู้โหดเหี้ยม หากเป็นเสาหลักที่ทำให้เหล่าผู้ติดตามรับรู้ว่าเขาไม่ได้เพียงต้องการให้พวกเขารับใช้ แต่ยังต้องการแบ่งปันความสุขร่วมกัน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







