Masukครั้งแรกที่ จ้าวหย่งหยู ถูกเข็นออกจากจวน ทุกย่างก้าวของล้อรถเข็นยังคงแผ่กลิ่นอายสง่างาม คุณชายผู้สูงศักดิ์ราวกับมีอำนาจอันมิอาจแตะต้อง แม้ร่างพิการไม่สมประกอบ แต่บารมีบิดาที่อยู่เบื้องหลังกลับทำให้ผู้คนต้องก้มหัว
ทว่า…เมื่อมันถูกเข็นกลับเข้ามาอีกครั้ง ภาพตรงหน้ากลับเปลี่ยนเป็นสิ่งที่น่าหดหู่ยิ่งนักไม่ต่างจากสุนัขบาดเจ็บไร้เจ้าของที่พยายามกระเสือกกระสนหาทางกลับบ้าน ใบหน้าถูกทุบจนแหลกยับ เลือดเกรอะกรังเปรอะเปื้อน ดวงตาเหลือกลอยเหมือนผู้สิ้นสติ ฟันหักหลุดหมดปาก เศษไม้แตกยังปักคาเต็มผิวหน้าและไรผม ทุกลมหายใจขาดห้วงราวกับจะดับสิ้นได้ทุกเมื่อ
จ้าวเจี้ยนกั๋ว อัครเสนาบดีผู้เกรียงไกร เมื่อเห็นสภาพนั้นกับตาตนเอง หัวใจอันเข้มแข็งที่ผ่านศึกมาไม่รู้กี่สมรภูมิกลับสั่นสะท้านราวจะถูกฉีกขาด เขาถลาเข้ามา คว้าร่างบุตรชายไว้ด้วยมือที่สั่นเทา เสียงที่เปล่งออกมาดังก้องสะท้อน ราวสัตว์ป่าที่กำลังคำรามด้วยความเจ็บปวด
“ลูกพ่อ! ใคร…ใครมันบังอาจทำร้ายเจ้าเช่นนี้!”
น้ำเสียงนั้นแตกพร่า เต็มไปด้วยความรักและโทสะประหนึ่งจะฉีกแผ่นดินให้ขาดสะบั้น ตั้งแต่หย่งหยูเกิดมา เขาไม่เคยแม้แต่จะเงื้อมือขึ้นตี ไม่เคยเอ่ยวาจาหยาบกับบุตรชายสักครั้ง มีเพียงถ้อยคำอ่อนหวานปลอบประโลมราวกับทะนุถนอมแก้วตาดวงใจที่ไม่อาจแตกสลาย แต่บัดนี้…แก้วตาดวงใจกลับถูกบดจนเหลือเพียงเศษซากที่เปื้อนโลหิต
“หย่งหยู…มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า! บอกพ่อมา!” จ้าวเจี้ยนกั๋วเอ่ยซ้ำ น้ำเสียงเจือทั้งความสิ้นหวังและเดือดดาล
แต่บุตรชายที่เคยพร่ำบ่นฟ้องทุกเรื่อง ไม่เคยปิดบังความทุกข์จากบิดา บัดนี้กลับทำได้เพียงหอบหายใจรวยริน ตาลอยไร้ร่างสั่นระริกไม่ต่างจากเชลยศึกผู้ใกล้สิ้นลม ไม่อาจเปล่งเสียงใดนอกจากเสียงครางต่ำ ๆ แผ่วเบา ราวกับวิญญาณกำลังถูกดูดกลืน
ความเงียบอันกดดันปกคลุมทั่วเรือนใหญ่ ขุนนาง ข้ารับใช้ ต่างไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกตัว ลมหายใจหนักอึ้งของอัครเสนาบดีดังก้องราวพายุที่พร้อมถล่มเมือง ทุกคนรู้ดีเพลิงโทสะครั้งนี้ หากปะทุออกมา…ไม่ใช่เพียงผู้ที่แตะต้องบุตรชายเขาจะถูกลากไปชำระบัญชี หากแต่อาจลุกลามไปจนทั่วทั้งแผ่นดิน!
“คนผู้นั้น…คือ ซูจิ่งหลง ขอรับ”
เสียงของลูกน้องเอ่ยขึ้นอย่างหวาดหวั่น ราวกับกลัวว่าเพียงการเอ่ยนามนั้น จะเป็นการเรียกปีศาจออกมาจากเงามืด
จ้าวเจี้ยนกั๋ว สะบัดหน้าหันขวับ ดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยความตกตะลึงและโกรธแค้นทันที ใบหน้าแข็งกร้าวของเขาเคร่งตึง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อนเอ่ยเสียงต่ำลึก“เจ้า…เจ้าเพิ่งว่าอะไรนะ?”
เขาไม่อาจเชื่อหูตนเอง ชื่อที่ถูกกล่าวหานั้น มันไม่ควรถูกโยงเข้ามาในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ซูจิ่งหลง สหายผู้เป็นคู่ค้า ผู้ซึ่งเขามอบหมายภารกิจที่สกปรกที่สุดให้จัดการแทนตนอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เขาอยากปลิดชีพผู้ใด ไม่เคยต้องเปื้อนมือเอง เพราะชายผู้นั้นคือดาบเงาที่จัดหานักฆ่ามือหนึ่งมาลงมือ ทุกครั้งงานสะอาดหมดจด ไม่เคยสาวถึงตัวเขา และเขาก็ตอบแทนอีกฝ่ายด้วยทองคำและบารมีไม่รู้จบ ต่างฝ่ายต่างพึ่งพา เสมือนสองเสาที่ค้ำจุนซึ่งกันและกันในเงามืด
สายตาของจ้าวเจี้ยนกั๋วเลื่อนกลับมามองบุตรชายอีกครั้ง ร่างที่ถูกทุบตีจนเหลือแต่เศษซากนั้นแทบไม่เหลือเค้าเดิม ใบหน้าแตกยับ ร่างกายสั่นเครือ ดวงตาลอยไร้สติ เลือดและน้ำลายคละคลุ้งในปาก ฟันหลุดหายไปจนแทบไม่เหลือ…ภาพนั้นทำให้หัวใจบิดามันเจ็บร้าวแทบขาด แต่ในขณะเดียวกัน…แววตาของเขาก็เริ่มฉายแววผิดหวังและบิดเบี้ยว
“หย่งหยู…เจ้า…เจ้า” เขาพึมพำในลำคอ เสียงเต็มไปด้วยความขมขื่นในใจเขาเจ็บปวดปานถูกฉีกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยากฆ่าให้เรียบ ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของตน แต่ส่วนอีกด้านหนึ่ง…กลับไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เจ็บแสบ ลูกชายของเขา อาจเป็นฝ่ายก่อเรื่องขึ้นเอง จนไปกระตุ้นให้เสือในเงามืดอย่างซูจิ่งหลงลงมือ
เขารู้ดี…แม้ตนจะเป็นอัครเสนาบดี มีอำนาจสูงส่งสุดในราชสำนัก สามารถบัญชาชีวิตผู้คนได้เพียงประโยคเดียว แต่ซูจิ่งหลงเองก็คือราชาในโลกมืด ผู้กุมทั้งอำนาจ เงินตรา และชีวิตของนักฆ่านับร้อยนับพัน หากวันหนึ่งต้องห้ำหั่นกันจริง ๆไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่าผู้ใดจะแพ้หรือชนะ
สีหน้าของจ้าวเจี้ยนกั๋วบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเกรี้ยวปนสับสน ใบหน้าที่เคยสง่างามและเยือกเย็นยามว่าราชการ บัดนี้ฉายชัดถึงความเดือดดาลที่แทบเก็บกักไม่อยู่ เขาเม้มริมฝีปากจนเลือดซึม ขณะกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
“หย่งหยู…ลูกพ่อ” เขาสะอื้นพร่า ดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นสะท้าน “เจ้ารู้หรือไม่…เรื่องที่เจ้าก่อขึ้นครั้งนี้…มันอาจไม่ใช่แค่แผลบนเนื้อหนัง แต่เป็นแผลที่แทงลึกลงไปในเสาหลักของจวนเรา!”
บุตรชายที่ใกล้สิ้นสติหาได้เอ่ยคำตอบใดออกมา นอกจากเสียงหอบหายใจรวยรินดังสะท้อนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ราวกับเป็นคำตอบอันโหดร้ายที่สุดในตัวมันเอง
ในค่ำคืนเดียวกันนั้น เสียงคำสั่งของซูจิ่งหลง ดังก้องกังวานไปทั่วเรือนใหญ่“เผามันให้สิ้น…ธุรกิจอันโสมมของจ้าวเจี้ยนกั๋ว บ่อนพนัน โรงทาส โรงสุรา…อย่าให้เหลือแม้แต่เศษเถ้า จงทำให้ทั้งเมืองหลวงจดจำว่า การล่วงเกินข้า คือการผลาญตัวเองให้มอดไหม้ไปทั้งตระกูล!”
เหล่าลูกน้องภักดีรับคำด้วยเสียงกึกก้อง ดวงตาแข็งกร้าวเปล่งประกายคลุ้มคลั่งราวกับกำลังจะออกล่ากลางราตรีไม่นานนัก เมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองในยามค่ำคืน พลันถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงแห่งความอาฆาต บ่อนการพนันที่เคยคลาคล่ำด้วยเสียงหัวเราะล่มจมกลายเป็นเพียงซากเถ้าดำ โรงทาสที่เต็มไปด้วยเสียงร้องคร่ำครวญของผู้ถูกจองจำ ถูกไฟกลืนกินจนสิ้น โรงสุราที่มัวเมาด้วยกลิ่นเหล้าและหญิงงามแปรเปลี่ยนเป็นกองเพลิงสว่างไสว เปลวไฟโหมกระหน่ำราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ถูกปลดปล่อย
ภายในวันเดียว…ธุรกิจมืดทั้งหมดที่ จ้าวเจี้ยนกั๋ว สร้างขึ้นด้วยเลือดและน้ำตาของผู้อื่น ถูกลบหายไปจากเมืองหลวงราวกับไม่เคยมีอยู่แต่เขาในฐานะอัครเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่อาจแม้แต่จะปริปากออกมาได้ว่าธุรกิจอันโสมมเหล่านั้นเป็นของตน
รุ่งเช้าวันถัดมา หลังเพลิงโหมเผาผลาญธุรกิจมืดไปทั้งเมืองหลวง บรรยากาศยังคลุ้งไปด้วยกลิ่นควันและเถ้าถ่าน แต่แทนที่จะส่งคนไปเจรจา อัครเสนาบดี จ้าวเจี้ยนกั๋ว กลับ ถ่อสังขารมาด้วยตนเอง
เสียงเกราะเงินกระทบพื้นหินดังก้องในความเงียบยามเช้า บริวารนับสิบรายล้อมตัวบุรุษผู้ครองอำนาจสูงสุดในราชสำนัก ใบหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยแรงกดดันที่แม้แต่ขุนนางในวังยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตา แต่เมื่อมาถึง โรงประมูลของซูจิ่งหลง ร่างสูงใหญ่ที่เปรอะโลหิตยังคงนั่งเด่นกลางโถงกว้าง สายตาคมเย็นเฉียบจับจ้องมา ราวกับไม่สะทกสะท้านต่อเงาอำนาจของเสนาบดีแม้แต่น้อย
จ้าวเจี้ยนกั๋ว กลั้นลมหายใจลึก สีหน้าแปรเปลี่ยนจากโกรธาเป็นยิ้มบางที่เต็มไปด้วยการเสแสร้ง“น้องพี่… เราจะฆ่าฟันกันให้ตกตายกันไปข้างหนึ่งเชียวหรือ? ข้าคือผู้กว้างขวางในโลกสว่าง ส่วนเจ้าคือผู้กว้างขวางในโลกมืด ดั่งสุภาษิตโบราณ… น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า หากต่างฝ่ายต่างเอาแต่กัดกัน เกรงว่า…จะไม่เหลือผู้ใดได้ประโยชน์”
คำพูดนั้นแฝงด้วยทั้งการประนีประนอมและการยอมจำนน เพราะเขารู้ดีว่า หากยังอยากหากำไรในโลกมืด ต้องกดกลืนศักดิ์ศรีลงเสียก่อน
ซูจิ่งหลงเอนตัวเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวูบไหวเพียงชั่วขณะ ก่อนริมฝีปากโค้งขึ้นนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้มเย็นชา เสียงทุ้มลึกไร้แววอารมณ์ดังขึ้นกลางโถงที่เงียบสงัด“ข้าหวังว่า…ลูกชายของท่าน…จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับข้าอีก”
ทุกถ้อยคำเรียบง่าย ราบเรียบ แต่กลับเหมือนคมดาบที่กรีดลึกลงกลางใจเสนาบดีผู้สูงศักดิ์เตือนชัดเจนว่าแม้ต่างฝ่ายจะมีผลประโยชน์ผูกพัน แต่หากบุตรชายสวะผู้นั้นยังกล้าก่อปัญหาอีกครั้ง… ซูจิ่งหลง จะไม่มีวันไว้หน้าอีกเป็นครั้งที่สอง
บรรยากาศรอบโถงจึงคล้ายมีหมอกเย็นหนาทึบห่อหุ้ม เสือสองตัวต่างจ้องตากันไม่กะพริบ ถึงแม้จะไม่ใช่การประลองด้วยอาวุธ แต่ทุกคำที่เปล่งออกมา…ก็หนักหน่วงดั่งเสียงฟ้าผ่า
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







