LOGINอิงตัดสินใจมาคุยกับท่านปู่ที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน นางมีแผนการอยู่ในใจ นางไม่ได้เดินเข้าทางด้านหน้าโรงเตี๊ยม แต่นางเดินเข้ามาทางที่ลู่เจินเคยพามาครั้งแรก นางให้พี่อู่ถงมาแจ้งก่อนหน้านี้แล้ว ว่าจะแวะมาคุยเรื่องการทำบะหมี่
ซิ่วอิงเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมลี่อิน เจียวจู ตงฮวนและหานเกอ เมื่อมาถึงก็เห็นคนยืนรอนางอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เขาจะพานาง ไปยังห้องทำงานของท่านปู่ เฉินเจ๋อหยวนนั่งรอนางพร้อมลู่เฉิง อีกทั้งเฉินซีฮัน เฉินจางหย่งและเฉินเจียวหมิง อีกมุมหนึ่งมีลู่ไฉ่นั่งอยู่กับลู่เจิน “คารวะท่านปู่ ท่านลุงลู่” ทั้งห้าคนโค้งคำนับให้อย่างมีมารยาท ก่อนจะนั่งลงยังเก้าอี้ที่ถูดจัดเตรียมไว้ให้ เฉินเจ๋อหยวนส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโอน “เจ้าตกลงจะมาทำบะหมี่ขายที่โรงเตี๊ยมฟู่จินแล้วรึ” ? “เจ้าค่ะ แต่ว่าข้ามีแบบแผนมาเสนอด้วยเจ้าค่ะ” ชายชราคิ้วขมวดเข้าหากัน นางบอกว่ามีแบบแผน แค่ทำบะหมี่ต้องมีแบบแผนด้วยหรือ นางช่างมีเรื่องให้เข้าประหลาดใจอยู่ตลอดเวลา “อย่างไร?” “ที่จริงข้ามีอาหารมากมายที่จะนำเสนอ และพร้อมที่จะทำขายที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน แต่ว่าเรื่องนี้เราต้องคุยกันอย่างจริงจังและจริงใจ” “จริงจังและจริงใจ!” ทุกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “นั่นก็คือการทำการค้าร่วมกัน อย่างซื่อตรงและยุติธรรม เพราะถึงข้าจะเป็นเด็ก ก็จะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ทุกคนมองไปที่นางกันเป็นจุดเดียว เมื่อนางลุกขึ้นเดิน และพูดไปด้วย “แบบแผนของข้าก็คือ หนึ่งให้ข้ามีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็น ในส่วนของอาหาร เรื่องอื่นข้าไม่ยุ่งแน่นอน ตงฮวนเจ้าจดรายละเอียดให้ข้า” “ขอรับนายหญิงน้อย” ทุกคนถึงกับหลุดขำกับท่าทางจริงจังของพวกเขา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม ในความรอบคอบของนาง ตงฮวนจดรายละเอียดอย่างขะมักเขม้น แต่ว่าเด็กคนนี้รู้หนังสือด้วยหรือ? “สองข้าจะทำให้โรงเตี๊ยมฟู่จินโด่งดังและขึ้นชื่อเรื่องอาหารเลิศรส” “ข้าจะนำสินค้ามาส่งในรุ่งเช้าของทุกวัน ทางโรงเตี๊ยมฟู่จิน สามารถจัดบริการให้กับลูกค้า ได้อย่างไร้กังวล เพราะข้าปรุงขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว รสชาติรับรองว่าอร่อย พอมาถึงก็ยกขึ้นเตา และขายได้ทันที จดทันมั้ยตงฮวน?” “ทันขอรับ” “สามราคาสินค้า ข้าจะคิดอย่างยุติธรรม เพราะข้าจะทำสัญญาผูกขาด ส่งให้โรงเตี๊ยมฟู่จินที่เดียวเท่านั้น” “สี่ แค๊ก ๆ” หานเกอเห็นนางคอแห้ง ก็รีบรินน้ำชาแล้วลุกขึ้นมาส่งให้นาง “น้ำชาขอรับนายหญิงน้อย” ซิ่วอิงรับมาดื่มก่อนจะส่งถ้วยชากลับไป ทุกคนในห้องต่างกลั้นขำ กับท่าทางเล่นใหญ่ของพวกเขา “สี่ ราคาสินค้าไว้รอแผนการตลาดเสร็จ ข้าจะส่งมาให้ท่านปู่พิจารณาอีกทีเจ้าค่ะ” “ห้า ข้าจะทดลองทำให้ทุกคนชิม ว่าสนใจอาหารชนิดใดบ้าง เพราะว่าอาหารข้ามีมากมาย” “ทำให้ทุกคนลองชิม!” ทุกคนร้องออกมาพร้อมกันด้วยความตื่นเต้น ข้อไหนก็ไม่สำคัญเท่าข้อนี้ เฉินเจ๋อหยวนใจเต้นระริก เขารอแทบไม่ไหวแล้ว คนอื่น ๆ ก็ตาเป็นประกาย อยากรู้ว่านางมีอาหารอะไรบ้างมานำเสนอบ้าง “หก หลังจากได้ชิมอาหารแล้ว ข้าจะให้ทุกเลือกว่าจะเอาอะไรบ้าง” “เจ็ด เราต้องแจกใบประกาศ ให้คนรู้อย่างทั่วถึง ว่ามีอาหารที่เลิศรสที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน อยากให้ทุกคนมาลอง อะไรประมาณนั้นเจ้าค่ะ หมดแล้วทุกคนมีข้อไหนสงสัยอยากถามข้าหรือไม่เจ้าคะ?” “เจ้าจะทำอาหารให้ชิมเมื่อใด?” ชายชราถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “วันนี้เจ้าค่ะ ข้าเตรียมมาเรียบร้อยแล้ว” “เตรียมมาแล้วอยู่ไหน?” “เราไปห้องครัวกันเถอะเจ้าค่ะ” “ไป ๆ ข้าหิวแล้ว” ชายชราลุกพรวดพราดขึ้นอย่างคล่องแคล่วว่องไว ตามด้วยลู่เฉิง จากนั้นทุกคนก็ทยอยเดิน ลงไปชั้นล่างที่เป็นห้องครัว เมื่อมาถึงก็เห็นอู่ถง อู่จิ้ง อู่หย่ง ยืนรออยู่ ซิ่วอิงเดินไปขอบคุณสามพี่น้องสกุลอู่ จากนั้นนางก็เดินสำรวจครัวอย่างละเอียด จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้น “ท่านลุงลู่ไฉ่ในฐานะที่ท่านเป็นพ่อครัวใหญ่อยู่ที่นี่ ข้าเชื่อว่าท่านก็คงมีฝีมือ ในการทำอาหารอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นท่านมีสิทธิ์ ติชมมากกว่าใคร และข้าก็จะน้อมรับคำติชมโดยไร้การโต้แย้งใด ๆ” “ถ้าเช่นนั้นทุกคนเชิญนั่งเลยเจ้าค่ะ อาหารที่ข้าจะนำมาส่งให้ ข้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว สดใหม่วันต่อวันแน่นอน ท่านลุงลู่ไฉ่ปกติเช้า ๆ คนนิยมสั่งอะไรเจ้าคะ?” ซิ่วอิงหันไปถามพ่อครัวใหญ่ประจำโรงเตี๊ยมฟู่จิน “ส่วนใหญ่ก็เป็นโจ๊กและซาลาเปา” ซิ่วอิงได้ฟังก็ยกยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นมาลองชิมโจ๊กของข้าดูบ้างเจ้าค่ะ” อู่ถงรีบยกหม้อโจ๊กขึ้นมาวางบนเตาให้นาง “นี่เป็นซาลาเปาไส้ผักและไส้หมู เวลาข้านำมาส่งจะเป็นแบบนี้นะเจ้าคะ แล้วท่านก็นำใส่เข่ง แล้วนำนึ่งแบบนี้ ก็เป็นอันเสร็จเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงหยิบซาลาเปามาวางเรียงกันในเข่งสำหรับนึ่ง แล้วปิดฝาจากนั้นนำไปตั้งในเตา “โจ๊กอันนี้มีชื่อว่า ราชาแห่งโจ๊ก” “ราชาแห่งโจ๊ก!” ทุกคนร้องขึ้นมา กับชื่ออาหารของนาง เหตุใดอาหารของนาง เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้และพระราชาตลอดเลย ซิ่วอิงเห็นสีหน้ามีคำถามของแต่ละคนก็เอ่ยอธิบาย “ที่จริงแล้วชื่ออาหาร ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับราชาและฮ่องเต้ แต่ว่าหากเรามั่นใจว่าอาหารของเราอร่อยหาใครเทียบได้ เราก็ต้องตั้งชื่อให้มันเหนือกว่าอาหารธรรมดาทั่วไป อันนี้เรียกว่าการตลาดเจ้าค่ะ” “หลังจากที่ข้านำโจ๊กมาส่ง ท่านไม่ต้องทำอะไร เพียงเติมน้ำต้มสุก และคนไปเรื่อยช้า ๆ แบบนี้เจ้าค่ะ โจ๊กจะต้องไม่ข้นจนเกินไป หมั่นเติมน้ำต้มสุก และคนให้เข้ากัน จากนั้นเวลาเราถามลูกค้า เราต้องถามแบบนี้เจ้าค่ะ ตงฮวนมาเป็นลูกค้า” ซิ่วอิงหันบอกตงฮวนให้มาสาธิตให้ดู ตงฮวนเดินออกมาอย่างมั่นใจ เพราะฝึกฝนกับนางมาเป็นอย่างดี “รับอะไรดีเจ้าค่ะคุณลูกค้า” “ข้าเอาโจ๊กหนึ่งถ้วย” “ทางโรงเตี๊ยมของเรามีโจ๊กทำพิเศษ ชื่อว่าราชาแห่งโจ๊ก ทางเราใส่ไข่ หมูสับ และเห็ดหอม มีอะไรที่ลูกค้าไม่ชอบ ไม่อยากให้ใส่หรือไม่เจ้าคะ? “ไม่มียกมาเลยข้าหิวแล้ว” ตงฮวนตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “ได้ ๆ รอสักครู่เจ้าค่ะ” “ฮ่าฮ่า ซิ่วอิง ตงฮวนข้าชอบเจ้าสองคนจริง ๆ ฮ่าฮ่า” เฉินเจ๋อหยวนปล่อยขำออกมา เพราะท่าทางการแสดงของตงฮวนนั้น สมจริงมาก แต่เพราะว่าเขาเป็นเด็ก จึงดูน่าขบขันเสียมากกว่า คนอื่น ๆ ก็พากันกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ ซิ่วอิงก็เล่นเป็นธรรมชาติมาก “จากนั้นเราก็ตักใส่ถ้วยแบบนี้ แล้วตอกไข่ใส่ลงไป ก่อนตอกไข่ใส่ในโจ๊ก โจ๊กต้องร้อนจริง ๆ นะเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นเวลาลูกค้าคนผสมกัน จะทำให้มีกลิ่นคาวได้เจ้าค่ะ ทีนี้เราก็ใส่หมูสับโรยแบบนี้ ตามด้วยเห็ดหอม ขิงซอย ต้นหอมผักชี กระเทียมเจียว และผงพริกไทย เป็นอันเสร็จเจ้าค่ะ เจียวจูนำไปให้ลูกค้า” ซิ่วอิงเอ่ยบอกเจียวจู จากนั้นนางก็ตักใส่ถ้วยอีกหลายใบ และนำไปให้ทุกคนได้ชิม “โอ้โฮ! ซิ่วอิงหน้าตาอาหารของเจ้า งดงามน่ากินมาก” ลู่ไฉ่เมื่อเห็นอาหารตรงหน้า ก็เอ่ยชมจากใจจริง เขาที่เป็นพ่อครัวมานาน ไม่เคยประดิษฐ์ประดอยอะไรเช่นนี้ “นี่มัน! รสชาติของสวรรค์ชัด ๆ” แค่คำแรกเขาถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่ได้เขาต้องขอกราบนางเป็นอาจารย์ เฉินเจ๋อหยวนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ชักช้า ใช้ช้อนตักเข้าปากทันที “สุดยอด นี่มันโจ๊กในจินตนาการณ์ของข้าเลย ซิ่วอิงข้ามีหลานชายอยู่สามคน เจ้าอยากได้คนไหนเลือกเลย” “ห้ะ…” ซิ่วอิงชะงักกับคำพูดของชายชรา แต่ว่านางมาจากยุคไหน เรื่องแบบนี้ไม่มีเขินอายอยู่แล้ว “ท่านปู่ข้าเป็นคนโลภมาก เหมาหมดทั้งสามคนเลยเจ้าค่ะ” “แค๊ก ๆ” สามบุรุษสำลักโจ๊กขึ้นมาทันที เพราะไม่อยากเชื่อว่านางจะตอบออกมาเช่นนี้ นี่นางรู้ความหมายหรือไม่ ตอบออกมาได้เหมาหมด พวกเขาไม่ใช่สินค้าหรือผักสดในตลาดหรอกนะซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู กลับมาที่จวนอีกครั้ง แล้วตรงไปยังโรงครัวเพื่อทำอาหาร อยู่ในมิติแปลกมากเลย ร่างกายเหมือนอิ่มทิพย์ ไม่รู้สึกหิวอะไรเลย อาจเพราะเป็นมิติเทพ ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหาร แต่พอกลับออกมาเช่นนี้ นางก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที“ซิ่วอิงข้ารู้สึกหิวมากเลย”“ข้าก็เหมือนกัน”“งั้นวันนี้พวกเราจัดเต็มไปเลย ฉลองวันเกิดอายุครบ15ปี และฉลองที่พวกเราสำเร็จพลังปราณ ขั้นสูงสุด เพราะฉะนั้นข้าจะทำเนื้อย่าง และจะทำเค้กด้วย” ซิ่วอิงเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง พอพูดถึงเนื้อย่างตงฮวนและหานเกอก็รีบเข้ามาร่วมวง “สตรีคนงามข้าขอหมูสามชั้นได้หรือไม่?” ตงฮวนรีบหยอดคำหวานทันที“สตรีผู้งามล้ำเหนือผู้ใดในใต้หล้า ข้าขอกุ้งตัวโต ๆ และเนื้อย่างแบบไม่สุกมาก”“เชอะ! พวกเจ้าเป็นบุรุษที่อยู่เป็นจริง ๆ” เจียวจูส่ายหน้าอย่างรู้เท่าทันพวกเขา“ข้าไม่ได้บอกสตรีไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าบอกซิ่วอิงผู้เลอโลมต่างหากเล่า?” ตงฮวนตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท“นี่เจ้าเต่าโบราณล้านปี!”“หยุด! หยุดเถิดข้าขอร้อง ข้าเหนื่อยจะฟังแล้ว” ซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าและเริ่มรำคาญ เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิงและเฉินจางหย่ง ก็ต่างพากันหัวเราะออ
พวกเขาเฝ้ามองแสงที่ครอบร่างของพวกเขาทุกวัน เวลาผ่านไปห้าวันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ออกมา ยามนี้ทุกคนนั่งไม่ติด เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าเหตุใดพวกเขาถึงยังไม่ออกมา พวกเขาจะฝึกพลังนานเพียงใดกันนะ“ท่านปู่ข้าเป็นห่วงพวกเขามากเลยขอรับ” เฉินซีฮันเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อก่อนเขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาง แต่มายามนี้ ชีวิตกระวนกระวาย เหมือนขาดอะไรไป “นั่นสิห้าวันแล้วที่พวกเขาเข้าไปฝึก หากใช้เวลาเป็นเดือนจะทำอย่างไร?” เฉินเจียวหมิงเอ่ยอย่างวิตกกังวลไม่ต่างกัน “ข้าว่าไม่นานก็คงออกมาแล้วละ พวกเจ้าดูแสงพวกนั้นสิ ค่อย ๆ จางลงแล้ว” เฉินจางหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ให้ทุกคนดู เมื่อทุกคนมองไปดู ก็เห็นว่าแสงเริ่มลดลงจริง ๆ พวกเขาต่างมายืนจ้องมองตาไม่กะพริบ ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขารู้สึกว่ายาวนานเหมือนห้าปี ก่อนที่การรอคอยจะสิ้นสุดลง เมื่อแสงที่เปล่งประกายได้จางหายไป ก่อนพวกเขาทั้งห้าคนจะลุกขึ้น และก้าวเดินมาที่พวกเขานี่มันอะไรกัน! ผ่านไปเพียงห้าวัน พวกเขาเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ซิ่วอิง ลี่อิน เจียวจู สวยสดงดงามดั่งเซียนน้อยมาจุติยังโลกมนุษย์ ตงฮวนหล่อเหล่าสง่างาม ดั่
เด็กทั้งห้าคนกลับถึงจวน ด้วยความสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าวสารอาหารแห้ง ทางร้านจะมาส่งทีหลัง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านยุ่งจนหัวหมุน พวกเขาทั้งห้าคนเห็นทุกคนเริ่ม ตุนเสบียงและอาหารเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยพวกเขา ก็ซื้อได้ในราคาปกติ หากรอไปซื้อในช่วงฤดูหนาว พ่อค้าคงขึ้นราคาเป็นแน่ “ป้าหวังที่จวนเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” “ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ” ซิ่วอิงยกยิ้มอย่างพอใจ “ช่วงนี้ข้าฝากท่านป้าและลุงฮุ่ยช่วยดูแลจวนด้วยเจ้าค่ะ พี่อู่ถง พี่อู่จิ้ง พี่อู่หย่ง ต่อไปท่านทั้งสามคนช่วยดูแลเรื่องทั่วไปในจวน หากต้องการซื้ออะไรเพิ่ม หากจำเป็นก็ซื้อได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะฝากเงินไว้กับป้าหวัง พี่ซูผิงว่าง ๆ ก็ช่วยสอนเด็กๆ หัดคัดอักษรทีเจ้าค่ะ กระดาษและหมึก มีพร้อมไม่ต้องกังวล ช่วงนี้พวกข้ามีเรื่องให้ทำมากมาย หากวันไหนข้าไม่ได้ทำอาหาร ป้าหวังพาทุกคนทำเลยนะเจ้าคะ ให้ทุกคนได้กินอย่าปล่อยให้หิว เพื่อรอพวกข้าเจ้าค่ะ” “ขอรับ/เจ้าค่ะ ซิ่วอิงสั่งงานทุกคน เพราะตอนนี้นางและสหายมีเรื่องให้ทำมากมาย จึงไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน “ท่านลุงช่วงนี้ยังไม่เป็ดให้ย่าง ท่านสามคนไปขนฟืนที่ช่างตัดต้นไม้มาไว้ที่จวนเจ้า
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเหยียนฟางว่า หมู่บ้านเหยียนฟางมีผีร้าย ข่าวลือเรื่องนี้ทำเอาผู้คนขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ใช่เพียงทหารคนเดียวที่พบ แต่เป็นทหารหลายสิบคน รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอ ซิ่วอิงและสหาย ที่ออกมาสั่งของที่ตลาด พอได้ยินข่าวนี้ ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ด้วยความสะใจ สมน้ำหน้า! “ฮ่า ๆ ข้าละสะใจจริง ๆ” หานเกอเอ่ยขึ้น “ใช่สมน้ำหน้า ไปรบกวนวิญญาณคนตาย ก็ต้องเจอดีแบบนี้” เจียวจูเสริมขึ้น “ซิ่วอิงวิญญาณพวกเขา ยังไม่ไปเกิดใหม่อีกเหรอ?” ลี่อินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าคิดว่าพวกเขา คงยังเป็นห่วงสมบัติอยู่ เลยยังไม่จากไปไหน” “ซิ่วอิงข้าคิดแผนออกมาได้แล้ว” ตงฮวนเอ่ยขึ้นด้วย ท่าทางเจ้าเล่ห์ “แผนอะไรรึ?” ซิ่วอิงหันมาถามอย่างสนใจ “ก็แผนไปสำรวจพื้นที่แถบนั้นนะสิ” “แต่ว่าตงฮวนเจ้าไม่กลัวผีรึ?” เจียวจูถามขึ้น “จะกลัวทำไมวิญญาณเหล่านั้น เป็นคนในครอบครัวของเราที่ถูกฆ่า ข้าดีใจเสียอีกหากว่าจะได้พบพวกเขาอีก” ซิ่วอิงฟังจากที่ตงฮวนพูดก็ครุ่นคิด แผนของเขาดีมากเลยทีเดียว ตงฮวนเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถฟังและวิเคราะห์ ได้อย่างดีเยี่ยม“แล้วจะไปสำรวจยังไง ไม่ใช่ว่าพวกเ
เช้าวันนี้มีประกาศจากทางการว่า มีแจ้งเบาะแสว่าพบเจออดีตฮ่องเต้ หลบหนีอยู่ที่หมู่บ้านไฉ่หลิน ทางการจึงจำเป็นต้อง ส่งคนไปตรวจสอบ อู่ถงรีบเข้ามารายงานอีกเช่นเคย เพราะเขามีหน้าไปจ่ายของที่ตลาด จึงพบเห็นทางการออกมาปิดประกาศข่าวสาร ให้ผู้คนได้รับรู้ “นายหญิงน้อย ดูเหมือนทางการจะออกมาติดประกาศแจ้งข่าวขอรับ” “แจ้งว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” “แจ้งว่าพบเจอ อดีตฮ่องเต้หลบหนีไปอยู่แถว ๆ หมู่บ้านไฉ่หลินขอรับ” ซิ่วอิงจากที่กำลังผัดผัก ก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ทางการคงอ้างเหตุผลนี้ เพื่อเข้าไปตรวจค้นสมบัติ ที่หมู่บ้านไฉ่หลินเป็นแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และดูเหมือนท่านเจ้าเมือง จะทำการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ “แล้วยังมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?” “ไม่มีแล้วขอรับ” เขาตอบเสร็จก็เดินไปยกของลงจากรถวัวเทียมเกวียน ซิ่วอิงจึงหันมาหาสหาย ที่ช่วยงานกันอยู่ในครัว “ท่านเจ้าเมืองคงเริ่มให้ทหารไปสำรวจพื้นที่แล้ว ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ก่อนหน้านี้ข้าได้ฝันเห็น วิญญาณของทุกคนที่จากไป บิดาของข้ายังบอกอีกว่า พื้นที่แถบนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่” “จริงเหรอซิ่วอิง” หานเกอถามขึ
เฉินซีฮัน เฉินเจียวหมิง เฉินจางหย่ง ยังคงปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงของพวกนาง ซิ่วอิง ลี่อินและเจียวจู หลังจากชำระร่างกายเสร็จ ก็ให้พี่อู่ถงและพี่อู่จิ้งมาเปลี่ยนน้ำให้ และให้พวกเขาเข้าไปชำระร่างกาย นางนึกเห็นใจสามพี่น้องสกุลอู่ ที่ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งและไม่ปริปากบ่น คงเพราะนางรับทุกคนมาอยู่ด้วย พวกเขาเลยรู้สึกเกรงใจ จึงพยายามทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้มีคนมาเพิ่มแล้ว นางจะให้คนมาช่วยงานพวกเขา จะได้ไม่ไปหนักที่พวกเขาสามคนจนเกินไป ขนาดยามนี้ดึกมากแล้ว พวกเขายังทนรอรับใช้ นางรู้สึกซาบซึ้ง น้ำใจพวกเขาจริง ๆ อีกไม่นานเรือนพักก็จะสร้างเสร็จ ทุกคนจะไม่ต้องอยู่กันอย่างแออัดอีกต่อไป จวนที่ท่านปู่ให้คนมาสร้าง นางก็บอกช่างให้ทำใหญ่ไปเลย และมีเรือนแยกอีกหลายหลัง เพราะที่ดินกว้างมากจึงสามารถทำได้ ซิ่วอิงนอนคิดเรื่องราวจนผล็อยหลับไป พร้อมลี่อินและเจียวจู พวกเขาเมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำ ก็มอง เด็กน้อยทั้งสามคนอย่างเอ็นดู เป็นเพียงเด็กแค่10ขวบ แต่ต้องมาทำอะไรมากมายเช่นนี้ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง พวกเขาล้มตัวลงนอนก่อนจะพากันหลับไป วันต่อมาที่โรงเตี๊ยมฟู่จิน วันนี้ทุกอย่างด







