ทุกคนสุ่มหาหอสุราแห่งหนึ่ง ไม่ว่าช่วงเวลาแบบไหนก็มักมีคนที่ร่ำรวยเงินทอง ด้วยเหตุนี้ แม้ในหอสุราจะไม่นับว่าคึกคัก แต่ก็มีคนกินอาหารกันอยู่หลายโต๊ะขณะเตรียมจะรับประทานอาหาร หลิงเชี่ยนเอ๋อร์มองซ่งรั่วเจินที่ปลอมตัวเป็นสาวใช้พลางกล่าวว่า “เจ้าไปบอกให้เสี่ยวเอ้อร์ยกชามาอีกกา”ก่อนหน้านี้นางก็สังเกตเห็นแล้วว่าสาวใช้ผู้นี้รู้วิชาแพทย์ ไม่เพียงเท่านี้ พวกฉู่อ๋องยังดูจะคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างมากราชครูกู้เป็นญาติกับตระกูลซ่ง จะรู้จักสาวใช้ของตระกูลซ่งก็ไม่แปลก แต่ด้วยนิสัยของฉู่จวินถิงก็ยังสนิทสนมกับสาวใช้คนหนึ่งมากเช่นนี้นับว่าแปลกจริงๆคิดไปคิดมาก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว...สาวใช้ผู้นี้เป็นคนข้างกายซ่งรั่วเจินคิดถึงตรงนี้ หลิงเชี่ยนเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าน่าขัน ซ่งรั่วเจินคงกังวลว่าฉู่อ๋องจะไปชอบแม่นางคนอื่นขณะอยู่ข้างนอก แต่ตนเองไม่สามารถตามมาด้วยได้จึงให้ซ่งจิ่งเซินลงใต้มาค้าขาย ทั้งยังให้เขาพาสาวใช้ข้างกายนางตามมาด้วยสินะ?“คิดไม่ถึงว่าซ่งรั่วเจินผู้นี้จะมีฝีมืออยู่จริงๆ!”หลิงเชี่ยนเอ๋อร์แค่นหัวเราะ ก่อนนี้ได้ยินมาตลอดว่าฉู่อ๋องดีต่อซ่งรั่วเจินอย่างยิ่ง ปกป้องนางไปเสียทุกอย่าง กร
“แม่นาง เมื่อครู่ข้าปากไวไปหน่อย เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”เสี่ยวเอ้อร์พูดออกมาแล้วค่อยนึกได้ว่าเจ้านายของซ่งรั่วเจินก็มาค้าขายเหมือนกัน พูดจาแบบนี้มิเท่ากับด่าเจ้านายของอีกฝ่ายไปด้วยหรอกหรือ?ซ่งรั่วเจินกลับแบมือด้วยสีหน้าไม่แยแส “ไม่เป็นไร พ่อค้าย่อมหากำไรอยู่แล้ว ข้าเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ”เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินดังนั้นก็พลันรู้สึกสนิทสนมขึ้นมาไม่น้อย ยามพูดจาก็ระวังตัวน้อยลงหลายส่วน“ใช่ไหม? ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ว่ามันแปลกจริงๆ นายอำเภอของพวกข้าเดิมทีเป็นขุนนางเปี่ยมเมตตาที่ใครต่อใครล้วนสรรเสริญ แต่หลังเกิดอุทกภัยที่เมืองผิงหยาง เขาก็เหมือนเปลี่ยนนิสัยไปเลยอย่างไรอย่างนั้น”“รวมหัวกับพ่อค้าของทางการ ปล่อยให้พวกพ่อค้าเพิ่มราคาสินค้า รอจนถึงตอนที่พวกข้าตระหนักถึงความผิดปกติอยากไปซื้อเสบียงก็ไม่ขายเสบียงกันแล้ว”“หลังจากนั้นพอนำเสบียงออกมาอีกที ราคาก็เพิ่มเป็นสามเท่า ชาวบ้านอย่างพวกข้าเดิมทีก็แค่หาเลี้ยงครอบครัวหาเช้ากินค่ำ อยู่ดีๆ ก็แพงขึ้นขนาดนี้ จะมีปัญญาซื้อเสียที่ไหน?”“โชคดีที่เจ้านายของพวกข้าจิตใจดี ข้าทำงานอยู่ที่นี่ ยามปกติถ้ามีอาหารเหลือยังแบ่งปันให้พวกข
ซ่งรั่วเจินใคร่ครวญพลางกล่าว โดยทั่วไปแล้ว นิสัยคนเราไม่มีทางเปลี่ยนไปปุบปับโดยไม่มีเหตุผล หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นกะทันหัน“เจ้าหมายความว่า...อาจถูกข่มขู่?”ฉู่จวินถิงครุ่นคิดพลางกล่าว ในเมื่อเป็นขุนนางที่ดีที่ใครต่อใครล้วนชมเชย จะต้องไม่ยอมรับเงินสกปรกเป็นแน่ แต่ยามนี้กลับปล่อยปละละเลย กระทั่งยังช่วยพวกเขา ความเป็นไปได้ว่าถูกข่มขู่จึงมีมากที่สุดแล้วซ่งรั่วเจินพยักหน้าน้อยๆ “ใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้เช่นนี้ แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรยังต้องรอให้ท่านอ๋องตรวจสอบ”ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นหยางก็รุดกลับมารายงานข้อมูลที่ไปสืบทราบมาได้“ท่านอ๋อง ข้าน้อยสืบทราบมาว่าราคาเสบียงอาหารที่นี่เพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่า เนื่องจากขาดแคลนเสบียงอาหาร ราคาแทบจะเพิ่มขึ้นเมื่อผ่านไปไม่กี่วัน ดังนั้นชาวบ้านแทบจะนำเงินทั้งหมดที่มีออกมาซื้อเสบียงไปกักตุนไว้หมดแล้ว”“ไม่เพียงเท่านี้ สถานการณ์บริเวณใกล้เคียงเมืองผิงหยางยังเลวร้ายกว่านี้ ได้ยินว่าราคาเสบียงของที่นั่นน่าตระหนกนัก แทบจะบีบคั้นให้ชาวบ้านต้องอดตายเลยชัดๆ”อวิ๋นหยางมีสีหน้าปั้นยาก ขณะที่เขาไปสืบข่าว เห็นส
เมื่อซ่งรั่วเจินพูดจบ ฉู่เทียนเช่อก็เหลือบมองนางครู่หนึ่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม “ที่นี่เป็นที่ที่สาวใช้อย่างเจ้ามีสิทธิ์กล่าววาจาได้งั้นหรือ?”หลิงเชี่ยนเอ๋อร์เองก็มองพินิจซ่งรั่วเจินด้วยเช่นกัน สาวใช้นางนี้ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก แม้แต่เรื่องแบบนี้ยังกล้าจะพูดสอด!“สาวใช้เยี่ยงเจ้าไฉนเลยจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ หากแม้นปรารถนาจะอวดภูมิ ก็ควรรู้จักกาลเทศะที่เหมาะสม”น้ำเสียงโอหังแฝงด้วยความรังเกียจ ทว่ากลับมีความดูแคลนอยู่มากกว่านั้น ทำให้ซ่งรั่วเจินมั่นใจว่าท่าทีสงบเสงี่ยมไม่ต้องการชิงดีชิงเด่นกับผู้ใดก่อนหน้านี้ของหลิงเชี่ยนเอ๋อร์ ล้วนเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเมื่อครู่นางมัวแต่ครุ่นคิดถึงสถานการณ์ของเมืองไห่เทียน จึงลืมไปว่าตนเองในยามนี้เป็นเพียงแค่สาวใช้นางหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์กล่าววาจาใดให้มากความจริง ๆฉู่จวินถิงปรายตามองหลิงเชี่ยนเอ๋อร์แวบหนึ่ง “ยามนี้เป็นเวลาแห่งการรับฟังและรวบรวมความคิดเห็น ทุกคนล้วนกำลังหาหนทางแก้ไข เหตุใดจึงต้องถือสาเรื่องพรรค์นี้?”“จวินถิง ข้ารู้ว่าเจ้ามิใส่ใจเรื่องชนชั้นวรรณะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่นางก็เป็นเพียงสาวใช้ไร้ปัญญานางหนึ่งเท่านั้น ไฉนเลยจะสาม
เมื่อทุกคนได้ฟัง ก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ในใจกระตุกวูบ “มิเพียงเท่านั้น พ่อค้าผู้มั่งคั่งเหล่านี้ย่อมต้องมีเครือข่ายติดต่อกัน มิต้องรอให้เราไปถึง เกรงว่าพวกเขาก็คงได้รับข่าวและเตรียมการรับมือล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว” ฉู่จวินถิงกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง นี่เองก็เป็นเหตุผลที่เขาคัดค้านข้อเสนอของฉู่เทียนเช่อก่อนหน้านี้ หลายเรื่องมิอาจมองเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า วิธีการแก้ไขเพียงแค่ปลายเหตุ แต่ไม่จัดการที่ต้นเหตุ หากเป็นเพียงเมืองเดียวก็อาจนับว่าเป็นวิธีที่ใช้ได้ แต่หากเป็นสถานการณ์ในวงกว้างเช่นนี้ย่อมใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน เมื่อราชครูกู้ได้ฟังการวิเคราะห์ของฉู่จวินถิงและซ่งรั่วเจิน ก็พลันตระหนักได้ว่าเด็กทั้งสองแม้อายุยังน้อย แต่กลับพิจารณาเรื่องราวที่ต้องแก้ไขได้อย่างรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของเขาจึงฉายแววพึงพอใจออกมา “หากเราต้องการแก้ไขเรื่องนี้ ก็ควรไปดูสถานการณ์ของนายอำเภอเสียก่อน” ราชครูกู้กล่าว ทุกคนต่างพยักหน้าไปตาม ๆ กัน แท้จริงแล้ว สถานการณ์ในเมืองไห่เทียนผู้ที่รู้ดีที่สุดย่อมเป็นนายอำเภอ หากพวกเขาไปสอบถามสักหน่อยก็คงทราบเรื่องราวทั้งหมด
พวกเขาสบตากัน ในใจต่างรู้ดีว่าต้องมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ “ดูเหมือนที่ทุกคนกล่าวกันว่าก่อนหน้านี้นายอำเภอเป็นนายอำเภอที่ดูแลเอาใจใส่ชาวบ้าน ทุกคนต่างชมเชยเขา คงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงทำให้กลายมาเป็นเช่นนี้” ซ่งจิ่งเซินขมวดคิ้วแน่น “ก่อนหน้านี้ ข้าเคยติดต่อพูดคุยกับตระกูลเจียงแห่งเมืองไห่เทียน หัวหน้าตระกูลเจียงเป็นคนหยิ่งผยองก็จริง แต่ในเมื่อสามารถก้าวขึ้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองได้ การจะถือดีก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร” “แม้ตอนนั้นข้าจะไม่เคยเจอกับนายอำเภอเมืองไห่เทียน แต่ตอนที่หัวหน้าตระกูลเจียงกล่าวถึงเขา ก็ยังแสดงความเกรงใจต่อนายอำเภออยู่บ้าง” “สถานการณ์ในตอนนี้ มันผิดแปลกไปจริงๆ” ซ่งรั่วเจินพินิจมองเรือนเบื้องหน้าแห่งนี้ ระหว่างนั้นมีพลังงานมืดกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากทิศหนึ่งภายในเรือน ตั้งแต่ที่นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาในเรือนแห่งนี้ นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป แต่ทว่าก่อนหน้านี้กลับไม่พบสิ่งอัปมงคล จึงตั้งใจที่จะออกมาหาให้ทั่วสักรอบ แล้วก็เจอจริง ๆ “น้องหญิงห้า เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?” ซ่งจือ
เขาไม่อาจทนมองดูญาติคนสุดท้ายจากไปต่อหน้าต่อตาเพราะเหตุผลนี้ได้จริง ๆ จึงจำต้องยอมตกลง และแล้วอาการของบุตรชายก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เขาจนปัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องทุกอย่าง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะสมคบคิดกับพวกคนชั่ว เพราะเหตุนี้จึงกลายเป็นดั่งเช่นในวันนี้ เขารู้สึกละอายต่อประชาชนทั้งเมือง หลังจากนั้น เขาเองก็เคยลองพยายามอีกครั้ง แต่กลับพบว่าไม่มีประโยชน์แม้แต่นิดเดียว แม้จะส่งบุตรชายไปยังเมืองอื่น แต่ก็ยังคงป่วยหนักเช่นเดิม เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้หนทาง เขาจึงทำได้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือนำทรัพย์สินที่สามารถบริจาคได้ทั้งหมดออกไปบริจาค… ฉู่จวินถิงและราชครูกู้ต่างตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด พวกเขาเดาไว้ว่าจ้าวชิงหยวนต้องมีเรื่องลำบากใจ แต่กลับไม่คิดเลยว่าเรื่องลำบากใจของเขาจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เมื่อชะตาชีวิตของครอบครัวต้องถูกนำมาแขวนไว้กับชีวิตของผู้คนทั้งเมือง กลับกัน ไม่ว่าใครก็คงจะเลือกได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น บุตรสาวของเขายังต้องสังเวยชีวิตไปแล้วเพราะเรื่องนี้ ผู้ที่วางแผนเรื่องทั้งหมดนี้ ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป
ซ่งรั่วเจินมองกลุ่มไอมรณะที่อยู่ภายในห้อง ดวงตาแข็งกร้าว คนสารเลวรกโลกพวกนี้ เรียนวิชาศาสตร์ลี้ลับมาใช้ทำร้ายผู้คน! ไอมรณะที่รุนแรงเช่นนี้ ไม่ว่าใครที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ พลังชีวิตก็ย่อมจะถูกกัดกร่อนทีละน้อย จนมีสภาพย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะจ้าวเฮ่าเจี๋ยเป็นชายหนุ่ม อีกทั้งยังอยู่ในวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พลังหยางเพิ่งจะแข็งแกร่งถึงที่สุด หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวหรือผู้อาวุโส คงทนรับไม่ไหวและสิ้นใจไปนานแล้ว “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?” จ้าวชิงหยวนรีบรุดเข้ามาอย่างร้อนรน ทันทีที่ก้าวเข้าห้องก็พุ่งตรงไปอยู่ข้างกายจ้าวเฮ่าเจี๋ยทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “เฮ่าเจี๋ย มีอะไรหรือ? เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” จ้าวเฮ่าเจี๋ยส่ายหน้า พลางมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความรู้สึกปลอดภัยเกิดขึ้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขารู้สึกเสมอว่าภายในห้องราวกับมีพลังงานมืดกลุ่มหนึ่งปกคลุมอยู่ แต่เมื่อเขาถามผู้อื่น ทุกคนต่างบอกว่าไม่มีอะไรแบบนั้น และถึงขั้นคิดว่าเขาป่วยหนักจนเสียสติไปแล้ว แต่เขาเห็นมันได้จริงๆ! ไม่เพียงแต่จะมองเห็น เขาถึงขั้นรู้สึ
ฉู่จวินถิงสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของซ่งรั่วเจิน ไหวพริบบ่งบอกว่ามีปัญหาซ่งรั่วเจินส่ายหน้าเบาๆ “เพียงแต่ได้ยินจงเฟยพูดเรื่องบูชาเซียนโบตั๋นจึงรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าใช่เซียนโบตั๋นที่หม่อมฉันรู้จักหรือไม่”นางเคยได้ยินเรื่องเซียนโบตั๋นมาก่อน เป็นสิ่งที่สตรีบูชาจริง เซียนบุปผา มีสรรพคุณช่วยคืนความอ่อนเยาว์ เพียงแต่ภายในนี้กลับมีเคล็ดลับบางอย่าง ทำให้คนเสพติดอย่างง่ายดาย สุดท้ายลุ่มหลงจนยากจะถอนตัวขึ้นมาได้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีหากเป็นคนฝีมือโหดเหี้ยม ก็สามารถใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนโชคชะตาได้ น่ากลัวอย่างมากจงเฟยมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ตนเองเก็บไว้บูชาเองก็พอ ทว่านางกลับนำมามอบให้ฮองเฮา แปลกเกินไปแล้วกระมัง“พูดให้ฟังเถอะ”ฉู่จวินถิงกลับไม่รีบร้อนจากไป เอียงหูฟัง รอฟังคำพูดของว่าที่ฮูหยินอย่างอารมณ์ดีแท้จริงแล้ว ไม่ว่าเจินเอ๋อร์พูดอะไร เขาล้วนอยากฟัง“หม่อมฉันเคยเห็นเซียนโบตั๋นมาก่อน ทำให้สตรีงดงามอ่อนเยาว์ผ่านการบูชาอาหาร หากจริงใจมากเพียงพอ ยังสามารถใช้เลือดเป็นเครื่องบูชาได้ ผลลัพธ์ดีมากนัก”“เพียงแต่จะทำให้สตรีลุ่มหลง กลายเป็นรีบร้อนอยากได้ผลลัพธ์ จากนั้นยากจะถอนตัวขึ
วังหลังวันนี้ซ่งรั่วเจินและฉู่จวินถิงเข้าวังไปขอบพระทัยความเมตตาด้วยกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นความครึกครื้นทั้งภายในภายนอกตำหนักของฮองเฮายังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงตวนเฟยดังออกมาจากภายใน“ระยะนี้น้องหญิงจงเฟยงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว คนเองก็สดใสมีชีวิตชีวามากเป็นพิเศษ ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่ง ข้าถามนางว่าใช้เคล็ดลับอะไร นางก็ไม่ยอมบอกข้า ต่อมาข้ายังเห็นด้วยตนเอง”ตวนเฟยมองเซียนโบตั๋นข้างห้องบรรทมของฮองเฮาแวบหนึ่ง สายตาสะท้อนแววละโมบ“ที่แท้นางก็ตั้งใจขอเซียนโบตั๋นจากพระผู้ทรงศีล เพื่อรักษาความเยาว์วัยของสตรี ทำให้งดงามมีเสน่ห์!”เพียงถ้อยคำนี้พูดออกมา สนมคนอื่นก็ตาร้อนผ่าว ความเปลี่ยนแปลงของจงเฟยในระยะนี้ พวกนางล้วนเห็นอยู่ในสายตา ฝ่าบาทเองก็ประทับค้างแรมกับจงเฟยที่นั่นติดต่อกันหลายคืน ใครจะไม่อิจฉากันเล่า?สนมภายในวังมีไม่น้อย พวกเขาทำเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ปกติทำทุกวิธี ก็ไม่แน่ว่าจะได้ผลบัดนี้ได้เห็นจงเฟยได้รับความโปรดปรานมากขึ้นทุกที แต่ละคนร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว“เดิมทีคิดว่าจงเฟยจะซ่อนไว้ คิดไม่ถึงเลยว่ายังมอบให้ฮองเฮาอีกด้วย น้องหญิงจงเฟยจริงใจต่อฮองเอาจริงๆ!
“บัดนี้ข้าและองค์หญิงเพียงแต่มีปัญหากันเล็กน้อยเท่านั้น รอข้าไปอธิบายให้ชัดเจน ทั้งหมดย่อมกลับมาเป็นเหมือนเดิม”เสิ่นหวยอันพูดอย่างมีเหตุผล ชนิดที่ว่าหน้าตายังเผยแววลำพองใจ “เจ้าคิดดูให้ดี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก่อเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมา ป่านนี้คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”“ส่วนข้า ก็แค่ถูกโบย สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างว่องไว หรือเจ้าไม่เข้าใจความหมายกันเล่า?”“ตกลงเจ้าจะพูดอะไร?” เสิ่นจวินเจ๋อหรี่ตาลง สังเกตเห็นปัญหาแล้ว เสิ่นหวยอันมั่นใจในตนเองเกินไป“เหตุที่องค์หญิงทำเช่นนี้ ก็เพราะหึงหวงเท่านั้น” เสิ่นหวยอันหัวเราะเบาๆ ลูบแต่งผมและพูด “องค์หญิงมีจิตปฏิพัทธ์ต่อข้า เพียงแต่เห็นซ่งปี้อวิ๋นอยู่ข้างกายข้ามาโดยตลอด เข้าใจผิดคิดว่าข้าและนางมีความสัมพันธ์กัน นี่ถึงเป็นเช่นนี้”“ระหว่างสตรีย่อมหนีไม่พ้นความหึงหวง นี่คือเรื่องธรรมดาอย่างมาก เพียงแต่องค์หญิงอารมณ์รุนแรงอยู่บ้าง นี่ถึงโบยข้า”“หากไม่รัก นางก็คงไม่โมโหถึงเพียงนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”เสิ่นจวินเจ๋อชะงักไปในทันใด ครู่ต่อมาคิดว่าสายตาของฉู่มู่เหยาไม่น่าจะแย่ถึงเพียงนี้ เพียงแต่ลองคิดดูแล้วเขาก็เริ่มไม่มั่นใจเพราะเสิ่นหวยอันมั่นใจในตน
ได้ยินคำพูดของอวิ๋นเฉิงเจ๋อ ภายในสายตาอวิ๋นเนี่ยนชูเปี่ยมความแปลกใจ มากที่สุดคือต้องการรู้เหตุผลทั้งหมดตกลงเป็นเพราะอะไร?เพราะเหตุใดหลายปีมานี้ ทั้งๆ ที่นางแสดงความชอบของตนออกมาไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ทว่าญาติผู้พี่กลับหลบเลี่ยงนางมาโดยตลอด นางต้องการคำตอบหนึ่ง กลับไม่ได้รับทั้งๆ ที่ดีต่อนางถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่ภายในใจมีนางมาโดยตลอด เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?อวิ๋นเฉิงเจ๋อเอ่ยปากพูดเสียงขมปร่า นี่ถึงพูดความคิดที่เก็บซ่อนไว้ภายในใจตลอดหลายปีมานี้ออกมา...อวิ๋นเนี่ยนชูได้ยินทั้งหมดนี้ สายตาสะท้อนแววเหลือจะเชื่อ ยากจะเชื่อได้ว่าทั้งหมดนี้ถึงขั้นยังมีเรื่องที่นางไม่รู้มากถึงเพียงนี้“ดังนั้น...พวกเราไม่ใช่ญาติพี่น้องแท้ๆ?”อวิ๋นเนี่ยนชูเผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด นี่คือเรื่องที่นางไม่เคยรู้ หลายปีมานี้ญาติผู้พี่ก็ไม่เคยพูดมาก่อนอวิ๋นเฉิงเจ๋อพยักหน้า “ปีนั้นข้าถูกทิ้งไว้ที่ประตูเรือนด้านหลัง หากไม่ใช่ท่านแม่ใจดีรับเลี้ยงข้า ข้าคงตายไปตั้งนานแล้ว...”หลายปีมานี้เขาเคยคิดอยู่หลายค่ำคืน บิดามารดาแท้ๆ ของเขาเป็นใคร เหตุใดต้องทิ้งเขา บางครั้งก็เกลี้ยกล่อมตนเอง คิดถึงปัญหาเหล่านี้ไปล้วนไ
เพียงเอ่ยปาก โทสะทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาแล้วความเจ็บปวดและอึดอัดใจที่สั่งสมอยู่ภายในใจล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้อวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ยินอวิ๋นเนี่ยนชูพูดเช่นนี้เป็นครั้งแรก มองนางตวาดถามไล่เรียงตนเอง ภายในใจเปี่ยมความรู้สึกผิด“ขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า”เห็นสายตาเปี่ยมความรู้สึกผิดของฝ่ายชาย อวิ๋นเนี่ยนชูตาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เดิมทีทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของท่านอยู่แล้ว! เหตุใดท่านไม่บอกข้าเร็วสักหน่อย ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้ข้าฝืนได้ลำบากมากเพียงใดหรือไม่?”“ในเมื่อท่านไม่พูดมาโดยตลอด เหตุใดไม่เก็บเอาไว้ชั่วชีวิตเล่า?”น้ำตานางไหลลงมา ตลอดหลายปีมานี้ไม่ตอบรับความรู้สึกนาง นี่ทุกข์ใจมากเพียงใด?นางอยากบริภาษเขาแรงๆ อยากทุบตีเขา ชนิดที่ว่าอยากไม่สนใจเขาอีก ทำให้เขาเสียใจภายหลังไปชั่วชีวิตเพียงแต่ ยามได้เห็นของเหล่านั้นที่เขาซ่อนไว้ภายในห้อง รวมถึงภาพเหมือนของนางที่วาดไว้นับไม่ถ้วนยามค่ำคืน นางก็อยากร้องให้อย่างอดไม่ได้...“เป็นความผิดของข้าเอง ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า เจ้าตีข้าด่าข้าโทษข้า ล้วนสมควรทั้งสิ้น”อวิ๋นเฉิงเจ๋อสืบเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ภายในสายตาเปี่ยมความเอ็
“อะไรนะ?” อวิ๋นเนี่ยนชูชะงัก ภายในสายตาสะท้อนความตกตะลึงทั้งๆ ที่ตลอดมาล้วนเป็นนางตอแยญาติผู้พี่หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้นางทำเช่นนี้มาโดยตลอด คาดว่าญาติผู้พี่ก็คงไม่ชอบนาง ทว่าได้ยินคำพูดของมารดาแล้ว เหตุใดญาติผู้พี่ถึงผลักทั้งหมดนี้ลงบนศีรษะของเขาเล่า?“เฉิงเจ๋อพูดว่าเขาพยายามสอบสร้างผลงานก็เพื่อจะได้คู่ควรกับเจ้า จะได้มีโอกาสสู่ขอเจ้า”“หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ข้าจะต้องไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าคบหากัน บัดนี้ผ่านเรื่องมามากถึงเพียงนี้ ความคิดของแม่ก็เปลี่ยนไปไม่น้อย”“หากเจ้าชอบเฉิงเจ๋อจริง ข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่หากเจ้าไม่ชอบ...”สีหน้าจางเหวินสับสน ก่อนหน้านี้เคยเห็นท่าทางของเด็กทั้งสอง ไม่ว่ามองอย่างไรเนี่ยนชูก็ไม่คล้ายไม่ชอบเฉิงเจ๋อ“ข้าชอบญาติผู้พี่เจ้าค่ะ” อวิ๋นเนี่ยนชูตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าชอบญาติผู้พี่มาโดยตลอด”มองเห็นท่าทางมุ่งมั่นของลูกสาว จางเหวินรู้สึกเอือมระอาระคนโชคดีอยู่บ้าง “ช่างแล้วๆ น้ากู้ของเจ้าพูดถูกแล้ว ลูกหลานมีความสุขของลูกหลาน พวกเจ้าคบหากันก็เป็นพวกเจ้าสร้างขึ้น”“แม้ว่าปีนั้นเฉิงเจ๋อทำไม่ถูก ไม่สมควรเกิดความคิดต่อเจ้า แต่ข้าล้วนเห็นความพยายามของเขาตลอดหลา
ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงเขาพยายาม เขาเชื่อว่าตนเองจะต้องมีอนาคตแน่ตระกูลตกต่ำ บิดามารดาจากไปก่อนวัยอันควร เดิมทีเขาก็เป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจตายที่ข้างถนนตั้งนานแล้ว บัดนี้ไม่เพียงมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านน้ายังเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขา เขาไม่มีวันอกตัญญูเขาคิด...รออีกหน่อย รอจนเขามีความสามารถ รอจนเขาฉายแววโดดเด่น บางทีอาจมีโอกาสขอท่านน้าแต่งงานกับเนี่ยนชูทว่า ขณะเขากำลังตรากตรำร่ำเรียนอยู่นั้น ในที่สุดก็ได้รับคำชมจากอาจารย์ ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง อาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงเองก็ชื่นชมว่าเขาจะต้องมีโอกาสสอบผ่านขุนนางแน่ ตอนเขาคิดว่าตนเองอาจจะสามารถตอบรับความรู้สึกของเนี่ยนชูได้ กลับได้ยินท่านน้าและแม่นมพูดสนทนากันที่แท้...เขาไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบิดามารดาลูกของมารดาตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนเขาคือเด็กที่วันนั้นถูกทิ้งไว้หน้าประตูเรือนด้านหลังของมารดาเดิมทีมารดาก็ยากจะยอมรับความเจ็บปวดได้ อีกทั้งยังสงสารเขา หมอพูดว่าร่างกายนางเสียหาย ภายภาคหน้ายากจะมีลูกได้อีก นี่ถึงรับอุปการะเขา ประกาศต่อโลกภายนอกว่าเขาเป็นลูกของตนเขาเป็นแค่เด็กถูกทิ้งคนหนึ่ง เศษสวะที่ไม่ยอมหนาว
ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ข้าเคยไม่สนับสนุนเจ้าตั้งแต่ยามใด? แต่ไหนแต่ไรมาข้าล้วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้า”ก่อนหน้านี้นางทำนายมาก่อนแล้ว ภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่มากมาย อวิ๋นเฉิงเจ๋ออ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องนี้ ไม่มีความรับผิดชอบมากเพียงพอเพียงแต่ หากไม่เคยผ่านความทุกข์ของผู้อื่น ก็ไม่สามารถตัดสินตามใจได้อวิ๋นเฉิงเจ๋อกลายเป็นเช่นนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประสบการณ์ที่เขาเคยเจอมาในช่วงหลายปีมานี้เรื่องเดียวกัน บางคนมีความรับผิดชอบที่แข็งแกร่งมาก ไม่ได้รับผลกระทบใด แต่บางคนคิดอ่านอย่างละเอียด ยากจะสามารถรับได้ใต้หล้ากว้างใหญ่ รวมทุกสรรพสิ่งไว้แล้ว ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะตนเอง นางย่อมไม่วู่วามสอดมือเข้าไปอวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไรข้าก็ไม่ใส่ใจแล้ว หากไม่พูดเรื่องนี้ออกมา ข้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่”“ตอนนี้ท่านป้าจ้างกำลังอยู่กับท่านแม่ข้า รอกลับไปแล้วค่อยหาโอกาสพูดเถอะ”ซ่งรั่วเจินจิกนิ้วทำนาย ภายในสายตาเผยแววประหลาดใจ เปลี่ยนคำพูด “ดูท่าแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกจากปากของตนแล้วล่ะ”อวิ๋นเนี่ยนชูสงสัย “หมายความว่าอะไร?”“ญาติผู้พี่เจ้าพูด
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที