ภายในเรือนฝั่งตะวันตก สายตาของบัวไล่มองไปทั่วครัว มันเทียนหรือมันนกยาวเกือบศอกมีอยู่ประมาณห้าหัว หัวกลอยขนาดเท่าลูกมะพร้าวน้ำหอมอีกสามหัว เผือกหอมอีกสี่หัว ข้าวสารจ้าวมีอยู่ไม่ถึงห้ากำมือลักษณะคงเป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ เพราะดูจากข้าวของเครื่องใช้ในครัวแล้วข้าวสารก็น่าจะต้องตำเอง และข้าวสารเหนียวที่มีอยู่ไม่ถึงหยิบมือ
เฮ้อ! ชีวิต ไม่ใช่แค่กลับมาอยู่ในยุคโบราณอย่างเดียวแต่เธอต้องกลับมากินพืชโบราณพวกนี้อีกด้วย บัวตัดสินใจเลือกเผือกมาปอกเปลือกแล้วหั่นเพื่อต้มใส่ข้าว ถ้าต้มเฉพาะข้าวมีหวังกินไม่อิ่มกันแน่ กลอยใช้เวลาทำนานกว่าจะได้กิน เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน
จากนั้นก็ก่อไฟ
ตาย! กว่าจะก่อไฟติดถ้าไม่ได้เรียนวิชานักศึกษาวิชาทหารมาเธอคงแย่แน่ หม้อที่มีก็เป็นหม้อดินทั้งหมด ทัพพีก็ไม่มีเธอจะต้องใช้ไม้พายและกระบวยเล็กแทน เครื่องปรุงน่ะหรือมีแค่เกลือ กับน้ำตาลก้อนที่ทำจากอ้อยเท่านั้น ผงปรุงรส ซอสต่าง ๆ หรือแม้แต่น้ำปลาหรือน้ำมันพืชก็ยังไม่มี แล้วแบบนี้จะทำอาหารอร่อยได้อย่างไรกัน สงสัยถึงเวลาที่เธอต้องกินคลีนแล้วกระมัง คลีนที่แปลว่าไม่มีอะไรจะกิน
ไม่แปลกใจว่าทำไมสามีและลูกถึงได้ผ่ายผอม แต่ว่าทำไมเธอถึงอ้วนเอา ๆ
อืม ลืมไปว่าเจ้าของร่างเดิมนี้ชอบแย่งข้าวและอาหารสามีกับลูกกิน แม้แต่กล้วยสุกสามลูกที่เด็กทั้งสองกินหมดนางยังหวงไว้กินเองพอลูกกินหมดก็ไล่ตีจนตัวเองล้มหัวกระแทกพื้นจนวิญญาณออกจากร่างกลายเป็นเธอที่เข้ามาอยู่แทน ตายเพราะปากจริง ๆ
ก่อไฟเสร็จล้างมือด้วยมะขามเปียกขัดถูตามซอกนิ้วและเล็บให้สะอาด จากนั้นเติมน้ำใส่หม้อดินแล้วยกขึ้นตั้งไฟ นำข้าวซ้อมมือมาซาวน้ำรอน้ำเดือดจึงใส่ข้าวสารลงไปเติมเกลือเล็กน้อยคอยคนไม่ให้ข้าวติดก้นหม้อ
น้ำดื่มบนเรือนใส่ตุ่มหรือหม้อดินเล็ก ๆ มีฝาปิดและกระบวยที่ทำจากกะลามะพร้าวไว้ตักดื่มกิน แหล่งที่มาของน้ำดื่มนั้นก็คงหนีไม่พ้นน้ำตามบ่อดินในท้องนาเป็นแน่
ครู่ต่อมาเผือกกับข้าวก็ส่งกลิ่นหอมฉุย บัวปล่อยหม้อข้าวให้เดือดปุดไปพลาง ๆ แล้วเดินลงบันไดลิงของบ้านที่มีอยู่เพียงสามขั้นเพื่อหาว่าข้างล่างพอจะมีอะไรใส่ข้าวต้มได้อีกบ้าง เธอจำได้ว่าข้างเรือนมีพืชที่กินได้อยู่หลายอย่าง
สิ่งที่เธอลืมไปอีกอย่างก็คือที่นี่ไม่มีรองเท้าใส่ เท้าเหยียบดินรู้สึกจักจี้เป็นบ้าเธอจะต้องหาสิ่งที่มาทดแทนมันให้ได้ ไม่อย่างนั้นเดินไปไหนมาไหนคงลำบาก ดีหน่อยที่ทางขึ้นบันไดมีตุ่มน้ำไว้สำหรับล้างเท้า
สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณบ้าน ถัดขึ้นไปมีบ้านคนที่มีลักษณะเดียวกันอีกสองสามหลังและไกลออกไปก็มีบ้านคนถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบ้านเธอเป็นหลังสุดท้ายพอดี เธอตาลุกวาวเมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการ มันคือต้นเตยหอมที่อยู่ข้างตุ่มน้ำใช้ขนาดเล็กและมีกอกล้วยน้ำว้าขนาดใหญ่อยู่ข้างกัน บริเวณบ้านมีสมุนไพรอีกหลายชนิด บัวเดินตรงไปแล้วใช้มีดตัดมาหนึ่งใบ นำมาหั่นใส่ข้าวต้มเพื่อให้มีกลิ่นหอมเพิ่มอีกและสีเขียวอ่อนจากใบเตยเล็กน้อย มีข้าวต้มแบบนี้ถ้ามีคะน้าปลาเค็ม ผัดผักบุ้งไฟแดง หรือยำไข่เค็มก็คงจะดี คิดมาแล้วก็หิว
สองพี่น้องได้กลิ่นของข้าวต้มหอมไปถึงห้องนอนอดใจไม่ไหวก็แอบมายืนดูอยู่ข้างประตู โผล่แค่หน้าออกมาคนพี่ยืนซ้อนหลังคนน้อง สมิงหลับไปสักพักแล้วหลังจากดื่มยาสมุนไพรและยาแก้ปวดที่น้องชายเอามาให้เมื่อตอนเช้า ขาของเขาไม่ได้ทำการผ่าตัด เพราะที่นี่ไม่มีหมอฝีมือดี หมอที่มีอยู่จึงทำแค่เพียงเข้าเฝือกไม้ไผ่และทาด้วยน้ำมันเลียงผาและให้ทานแค่ยาแก้ปวดเท่านั้น เขายังไม่รู้ว่าจะกลับมาเดินได้ปกติอีกครั้งหรือไม่
บัวเห็นลูกทั้งสองมายืนอออยู่ตรงประตูก็ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากทำข้าวต้มเสร็จ เธอก็เอาปลาตากแห้งที่อยู่ในกระด้งที่สามีตากแห้งไว้ใต้ชายคามาย่างไฟให้สุกเกรียมน่ากิน
หนึ่งปีให้หลัง จากบ้านที่มีเพียงสองห้องตอนนี้สมิงได้ขยับขยายเพิ่มอีกสองเป็นสี่ห้องใหญ่และต่อเติมส่วนที่เป็นห้องครัวออกไปอีกหนึ่งห้อง บัวจัดบ้านให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น ห้องนอนของเธอกับสามีบัวแยกออกมาต่างหาก ตอนนี้บ้านของสมิงกลายเป็นร้านขายเครื่องจักสานที่ทำจากกกและผักตบชวา และครอบครัวของเขาก็มั่งคั่งกว่าใครในเมืองนี้ เขามีควายตัวผู้สองตัวและเกวียนอีกหนึ่งเล่มเอาไว้ขนกกและผักตบชวา ส่วนเครื่องจักสานจำพวกรองเท้า และกระเป๋า มีลูกค้าประจำมารับอยู่แล้ว พลอยทำให้เครื่องจักสานของป้าชื่นที่ทำจากไม้ไผ่ขายดีไปด้วย เมืองอื่น ๆ รู้จักหมู่บ้านนี้ดีมากขึ้นในฐานะเมืองแห่งจุดกำเนิดรองเท้าและกระเป๋าจากต้นกกและผักตบชวาสมิงประคองภรรยาที่ท้องได้แปดเดือนมานั่งบนแคร่ช้า ๆ“เจ้านั่งตรงนี้ก่อนพี่จะไปเอาเก้าอี้มาให้ บอกให้หยุดทำก่อนก็ไม่เชื่อฟัง” ถึงจะท้องแก่แต่ก็ยังอยากช่วยลูกและสามีทำงาน สมิงจึงไปยกเก้าอี้ที่เอนหลังได้มาให้ เพราะตอนนี้เมียรักนั่งตั่งไม้เหมือนเดิมไม่ได้แล้ว“ทีท่านพี่ล่ะเจ้าคะ ก็ไม่เคยฟังข้าเช่นกัน” ตอนเขาขาหักก็ดื้อไม่น้อยเช่นกัน“พูดแล้วยังจะมาเถียง เดี๋ยวตบด้วยปากสักทีสองที” สมิงพูดพลางยิ้ม
“ยังไงข้าก็ไม่กลับ” บัวปั้นหน้าให้เป็นปกติทั้งที่รู้ว่าตอนนี้มันกำลังขึ้นสีแดงเพราะเธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวลามไปถึงใบหู “เจ้าไม่กลัวท้องไม่มีพ่อรึ” สมิงย่างสามขุมเข้ามาใกล้จนกายทั้งสองเกือบแนบชิดกัน “ทำไมต้องกลัวเจ้าคะ” บัวแหงนหน้าคุยกับเขา สมิงทำลอยหน้าลอยตาแล้วพูดขึ้น “คืนนั้นข้าปล่อยหมิงน้อยเข้าไปในท้องเจ้าเป็นล้านเลยนะ หรืออาจจะหลายล้านก็เป็นได้เพราะข้าไม่ได้ปล่อยแค่ครั้งเด…” “หยุด ห้ามพูดออกมาเด็ดขาด” บัวขัดขึ้นไม่ให้เขาพูดทะลึ่งออกมาอีก หมิงน้อยอย่างนั้นหรือ ตายแล้ว! บัวชมพู เจ้าเป็นแพทย์ภาษาอะไรถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทขนาดนี้ลืมไปว่าคนที่นี่เขาไม่รู้จักคุมกำเนิดกัน เธอคิดไปเองว่าบัวมีลูกสองแล้วต้องทำหมัน แต่มันไม่ใช่ คนที่นี่เขายังไม่รู้จักการทำหมัน โอย ๆ คิดแล้วก็ทำหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้ ทำไมต้องมาตกม้าตายตอนจบด้วย “ท่านพี่ทำไมไม่ป้องกันเล่า” ทำหน้าย่นว่าคนตัวสูงตรงหน้า “เอ๊า จะให้ป้องกันทำไมก็บัวเป็นเมียพี่” อีกอย่างป้องกันอะไรกันเขาไม่รู้จัก สมิงทำหน้าทะเล้นใส่เธอแล้วยิ้มก
สมิงสะพายเอาผ้าขาวม้าที่ห่ออาหารและน้ำดื่มใส่กระบอกไม้ไผ่พร้อมทั้งเสื้อผ้าคนละชุดแล้วพาลูกทั้งสองออกเดินทางตั้งแต่ตีห้า เมฆเดินนำหน้าพ่อเพราะเขาให้ลูกสาวขี่หลังในมือของเขามีกระบองหนึ่งอันเพื่อใช้เป็นไฟส่องทางเสียงเขียดทรายร้องระงมอยู่ในท้องนาที่เต็มไปด้วยน้ำ ความจริงเขาอยากเดินทางตั้งแต่เมื่อวานแล้วหากไม่ติดว่ากลับจากบ้านอุ่นเรือนเพื่อเอารองเท้าไปขายก็คงเดินทางกันแล้ว “ท่านพ่อข้าอยากเดินเองเจ้าค่ะ” ละอองบอกพ่อเมื่อเห็นว่าทางเดินสะดวกมากขึ้น อีกอย่างพ่อของเธอถือของพะรุงพะรังเธอจึงคิดสงสารพ่อ แค่เธอกับพี่ชายแอบเห็นท่านพ่อแอบนอนร้องไห้เกือบทุกคืนพวกเขาก็สงสารมากพออยู่แล้ว ผ่านไปครึ่งชั่วโมงท้องฟ้าเริ่มคลายความมืดออกเรื่อย ๆ ลูกทั้งสองยังเดินได้อย่างไม่รู้เหนื่อย พวกเขาคงรู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่จะได้เจอหน้าแม่ “ท่านพ่อนั่นดาวอะไรหรือขอรับ” เมฆเอ่ยถามเมื่อมองเห็นดาวดวงใหญ่ที่กำลังส่องแสงทอประกายอยู่บนท้องฟ้า “ดาวประกายพรึก” สมิงบอกลูกชาย จากนั้นจึงหันไปมองลูกสาว “เจ้าขี่หลังพ่อหรือไม่” เห็นขาสั้น ๆ เดินแกมวิ่งตามพ่อแล้วก็สงสาร “ไม
“ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าคิดว่ามันจบแล้วเจ้าค่ะ เวลามันอาจจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น” สองมือปาดน้ำตาตัวเองแล้วลุกขึ้น “ข้าจะไปหาผักตบชวามาสานรองเท้าเจ้าค่ะ” บัวเพิ่งรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้มีผักตบชวาอยู่ในลำน้ำเป็นจำนวนมาก เธอจึงอยากนำมาสานรองเท้าและขายให้คนในหมู่บ้านนี้ จะได้ช่วยให้ฐานะของครอบครัวดีขึ้น ว่าจบบัวก็เดินลงเรือนไป เธอต้องเข้มแข็งเธอจะอ่อนแอไม่ได้ “เฮ้อ!” ล้อมถอนหายใจแรง ๆ หมดปัญญาไม่รู้จะช่วยลูกอย่างไรดี เรื่องแบบนี้คนอื่นทำแทนไม่ได้ด้วยสิ บัวเดินตามถนนไปอย่างเงียบ ๆ ในหัวตอนนี้มีแต่ภาพลูก ๆ ที่คอยวิ่งเล่นเมื่อตอนที่เธอทำงาน ภาพที่พวกเขาร้องตามเธอไปทุกที่ ภาพที่เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สามี และภาพที่เขาคอยนอนกกกอดเธอทุกคืน ภายใต้ผ้าคลุมหน้าอันมิดชิด น้ำตามันยังหลั่งไหลออกมาไม่หยุดทั้งที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ จะเข้มแข็งแต่เธอก็ทำไม่ได้ แพทย์หญิงอย่างเธอไม่เคยกลัวอะไรง่าย ๆ ไม่เคยกลัวผี ไม่เคยกลัวแม้แต่ความตาย แต่ทำไมเธอต้องมาอ่อนไหวกับเรื่องแค่นี้ด้วย เธอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บัวกำลังก้มเงย ๆ
สายแล้วแต่บัวยังนั่งนิ่งอยู่ในตัวเรือนที่ผนังกรุด้วยใบตองพลวงหลังคามุงด้วยหญ้าคาคล้ายกับบ้านของเธอที่อยู่กับลูกและสามี ใบหน้าเธอดูเศร้าหมอง ทำไมอาการของเธอตอนนี้ถึงเหมือนคนอกหัก อกหักเพราะหลงรักสามีตัวเอง เกิดมาไม่เคยรักใครด้วยสิไม่คิดว่าคนอกหักจะอาการหนักขนาดนี้ มันเจ็บจุก หายใจลำบากคล้ายคนกำลังจะจมน้ำ คิดถึง โหยหาจนนอนไม่หลับน้ำตาที่ไหลแล้วไหลอีกจนตอนนี้แทบไม่มีน้ำตาจะให้ไหล คิดถึงลูก คิดถึงพ่อของลูก ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ใครจะต้มน้ำให้อาบ ใครจะถูตัวให้ ใครจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเขากิน ‘ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า ถ้าเจ้ามีวิธีรักษาให้ข้าเดินได้อีกครั้งข้าจะเลิกกับเจ้า’ยิ่งคิดถึงคำพูดของเขาน้ำตาก็ยิ่งไหลเอื่อย ๆ ออกมาเป็นสาย นานหลายนาทีกว่ามันจะหยุดลง เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายชั่วยาม “เฮ้อ!” บัวนั่งถอนหายใจถ้านับก็น่าจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมัง พ่อแม่กับพี่สาวได้แต่มองอย่างเห็นใจ “อาการน่าเป็นห่วงนะเจ้าคะ” จันทน์หอมพูดขึ้น เห็นน้องสาวเอาแต่นั่งร้องไห้ไม่พูดไม่จาก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องตาม จากที่ก่อนหน้าเคยไม่ชอบน้องสาวตัว
เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอปากรู้สึกขมปร่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาเหมือนคนถูกสาปให้ก้าวขาไม่ออกไปชั่วขณะ จู่ ๆ ร่างกายก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ในหัวมึนตื้อไปหมด“ท่านพ่อข้าอยากไปหาท่านแม่เจ้าค่ะ” ละอองพูดขึ้นข้าง ๆ ผู้เป็นพ่อ ลุกขึ้นเขย่าแขนพ่อเบา ๆ แต่สมิงยังคงยืนนิ่ง“ท่านแม่คงกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เราไปหาท่านแม่ในครัวกันเถอะเดี๋ยวค่อยไปแปรงฟัน” เมฆชวนน้องสาวเหมือนเช่นทุกวันหลังจากตื่นนอน ทั้งสองกำลังจะเดินตามกันเข้าไปในครัว แต่สมิงคว้าแขนลูกสาวไว้ได้ก่อน “ละออง เมฆ” เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาเบาหวิว “เจ้าคะ/ขอรับ” “แม่ของพวกเจ้าไม่อยู่แล้ว” สมิงพูดออกมาเหมือนคนสิ้นหวัง ไม่คิดว่านางจะใจแข็งได้ถึงเพียงนี้ เมื่อคืนเขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันสื่อความรู้สึกที่มีต่อเธอออกไปอย่างชัดเจนและมากพอที่จะรั้งเธอให้อยู่ด้วยแล้ว แต่เขาคิดผิดเธอไม่เคยมีใจให้เขาตั้งแต่ต้นจริง ๆ ใช่ เธอไม่ได้มีใจตั้งแต่ต้นและก็ไม่เคยมีเลย เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แม่ของลูก ไม่ใช่คนที่อยู่กับเขามาเป็นสิบปี เธอถึงไม่รู้สึกอะไรเลยแล้วเธอเป็นใคร? “ท่านพ่อโกหกข้า ข้าจะไปตามหาท