"เสียใจด้วย เจ้าเด็กนั่นบิดาหวงน่าดู"
ทันทีที่เสี่ยวซื่อเข้าใจถึงเจตนาของมือสังหารที่ประจัญหน้ากันอยู่ก็เริ่มโจมตีทันที
เสี่ยวซื่อพ่นลูกไฟยักษ์ใส่กลุ่มมือสังหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลาเพี้ยงเสี้ยวอึดใจ ในจังหวะที่ทุกคนกำลังชุลมุน เสี่ยวซื่อคาบเสี่ยวเล่อและแสี่ยวเมิ่งวิ่งไปอีกทาง เพื่อเปิดทางให้หวังซิ่นเจียและเซินฝูได้ต่อสู้อย่างเต็มที่
ส่วนเสี่ยวซื่อเอง แม้ว่าจะเก่งกาจมากเพียงใด แต่การปกป้องลูกน้อยของมันนั้นสำคัญกว่าเป็นไหนๆ อย่างไรตรงนั้นก็มีผู้เก่งกาจอยู่มากมาย อบ่างไรแล้วก็คงไม่คณามือหรอก
กลุ่มมือสังหารแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเช่นเดียวกันเมื่อเห็นว่าหมาป่าดำตัวเมื่อครู่คาบบ่าวเด็กหนีไปคนละทาง อย่างน้อยฝั่งใดฝั่งหนึ่งอาจทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จได้
หวังซิ่นเจียจิ๊ปากอย่างขัดใจ ไอ้หมารู้มากนั่น มันไม่คิดจะให้เสี่ยวเมิ่งกับเสี่ยวเล่อได้ลองสู้ในสถานการณ์จริงแม้แต่น้อย แทนที่จะได้สั่งสอนจากเหตุการณ์นี้เสียหน่อย
มือสังหารที่ยังอยู่ประจัญหน้ากันตรงนี้มากกว่าสิบคน ดังนั้นในตอนแรกที่คิดว่าจะให้พ่อบ้านหยางเป็นกองหลังนั้นอาจจะต้องทิ้งไป หวังซิ่นเจียสร้างมีดสั้นขึ้นมาอันหนึ่งแล้วโยนให้พ่อบ้านหยาง
"ใช้ได้หรือไม่"
"คุณชายหวังโปรดวางใจ"
พ่อบ้านหยางแม้ว่าที่ผ่านมาจะจับแต่มีดทำครัว แต่หากต้องเปลี่ยนจากแล่ปลามาแล่คน ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ท่าทางจับมีดสั้นนั้นทะมัดทะแมงยิ่งกว่าตอนจับมีดทำครัวเสียอีก
หยางฉีที่มีอาวุธเป็นกระบี่เล่มยาวหนึ่งเล่มอยู่แล้ว เตรียมตั้งท่าโจมตี มือสังหารหลายคนก็เล็งมาที่หยางฉีเป็นเพราะในการทดสอบนั้นหยางฉีพ่ายแพ้ให้กับเซินฝู
แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ตกอยู่ในสายตาของเซินฝูเป็นที่เรียบร้อย
"ของข้าล่ะขอรับ"
"อะไร"
"อาวุธ"
เซินฝูถามหน้าตาย เหมือนเป็นการกวนประสาทกันมากกว่าที่จะเป็นความต้องการจริงๆ หวังซิ่นเจียทำหน้าปลาตายกลับไปก่อนจะหันไปสนใจมือสังหารตรงหน้าแทน
ไม่ต้องรอสัญญาณโจมตีจากที่ใด หยางฉีเปิดฉากสู้กับมือสังหารคนหนึ่งที่ตรงดิ่งเข้ามาทันที
เซินฝูยกมือขึ้นสูง เศษดินจำนวนมากรวมตัวกันก่อเป็นลิ่มแหลมหลายร้อยอัน สะบัดมือไปข้างหน้าครั้งหนึ่ง ลิ่มดินแหลมๆพุ่งไปยังทิศทางที่มีสังหารหลายคนยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
มือสังหารสองคนล้มลงกับพื้น ร้องด้วยความเจ็บปวด หวังซิ่นเจียพุ่งเข้าบั่นคอมือสังหารคนหนึ่งที่มัวแต่ยืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วด้วยสายตาตกตะลึง
เพียงแค่อึดใจเดียวทัศนียภาพของมือสังหารคนนั้นก็เปลี่ยนไป เมื่อคมดาบของหวังซิ่นเจียตัดศีรษะของมือสังหารคนนั้นในการฟันเพียงครั้งเดียว
ฝั่งของมือสังหารลดจำนวนไปหนึ่งคน แต่ยังเหลือจำนวนอีกไม่น้อยเช่นกัน เมื่อหลายคนมองเห็นความสามารถของหวังซิ่นเจียและเซินฝูแล้ว ก็เปลี่ยนไปโจมตีหยางฉีแทน ปล่อยให้ผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจ เป็นหน้าที่ของมือสังหารคนอื่นที่มีความสามารถทัดเทียมกันไป
มือสังหารสองคนพุ่งเข้าหาหยางฉีหวังจะปลิดชีพเพื่อลดจำนวนของอีกฝั่ง และยังมีอีกคนที่เห็นว่าหยางฉีเป็นดั่งหมูในอวย คงจะจัดการง่ายกว่าใครจึงพุ่งเข้ามาหาหยางฉีเช่นเดียวกัน
แต่ก่อนที่จะได้ลงมือสู้กับหยางฉี มีดสั้นเล่มหนึ่งก็ถูกเขวี้ยงมาจากด้านหลังของหยางฉี ปักเข้ากลางหน้าผากไปครึ่งเล่ม มือสังหารคนนั้นล้มลงและสิ้นใจภายในอึดใจต่อมา
เป็นพ่อบ้านหยางที่เป็นบุคคลนอกสายตาของเหล่ามือสังหาร เซินฝูที่หันมาเห็นเข้าพอดีแอบร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
ในตอนนี้พ่อบ้านหยางเสียอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของตนเองไปแล้ว ดังนั้นหยางฉีจึงได้เหยียบกระบี่ของมือสังหารที่ถูกจัดการเมื่อครู่ ก่อนจะใช้เท้าส่งมันให้พ่อบ้านหยาง
ทางของหยางฉีตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วเพราะมีพ่อบ้านหยางคอยช่วยเหลือ แต่ในฝั่งของเซินฝูและหวังซิ่นเจียนั้นมีมากกว่าเป็นเท่าตัว มือสังหารสองคนที่ถูกลิ่มดินทำให้บาดเจ็บทั้งคู่ ตอนนี้ฮึดสู้และสามารถยืนประจัญหน้ากับเซินฝูได้แล้ว
แต่ถึงจะมีความกล้าที่จะยืนเผชิญหน้ากัน ไม่ได้แปลว่ามีความมั่นใจว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะ ตอนนี้เสียพวกพ้องไปแล้วสองคน ถือว่าเป็นการสูญเสียที่พอรับได้ หากเทียบกับระดับของภารกิจครั้งนี้ ดังนั้นเหล่ามือสังหารจึงรอให้พวกพ้องของตนเองที่ตามหมาป่าตัวเมื่อครู่ไปจับตัวประกันให้ได้สักคนก่อนแล้วจึงจะล่าถอยกลับไป
หากได้ตัวประกันมาไว้ในมือแล้ว เรื่องก็คงง่ายขึ้น เซินฝูคงจะยอมตามไปด้วยหากแลกกับชีวิตผู้ติดตามที่ดูมีความสำคัญไม่น้อย
หวังซิ่นเจียสร้างกระบี่จากพลังธาตุนับสิบเล่ม ก่อนจะบังคับให้มันพุ่งเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ห้าคนที่รุมล้อมตนเองอยู่
เนื่องจากกระบี่ของหวังซิ่นเจียพุ่งโจมตีจากหลายทาง เช่นนั้นจึงได้มีพลาดท่าบาดเจ็บกันไปไม่น้อย แต่ก็ยังฮึดสู้เพราะคิดว่าพวกพ้องที่แยกไปอีกทางต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน
"คุณชายขอรับ!!"
"ท่านอาจารย์!!"
แต่ดูเหมือนว่าเหล่ามือสังหารนั้นจะหวังสูงเกินไปหน่อยที่คิดว่าพวกพ้องของตนเองจะสามารถจับตัวประกันได้สักคน
เสียงเรียกของเสี่ยวเล่อและเสี่ยวเมิ่งดังขึ้นจากทิศทางที่วิ่งหนีไปเมื่อครู่ คนทั้งคู่หันขวับไปตามเสียงเรียก ในตอนแรกเหล่ามือสังหารลอบยิ้มอย่างยินดี เมื่อคิดว่าเสียงนั่นเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กทั้งสอง
กระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งใกล้เข้ามาจึงได้พากันทำหน้าเครียด
เสียงฝีเท้าที่วิ่งควบเข้ามานั้น ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของมนุษย์อย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีเสียงลากของหนักตามกันมาติดๆ
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่กำลังมุ่งหน้ามานั้นเป็นอะไรก็แตกฮือกันไปคนละทาง
เหล่ามือสังหารที่ตามไปจับตัวประกันเมื่อครู่สี่คน ถูกเผาจนลำตัวไหม้เกรียมเหลือเพียงส่วนของศีรษะที่ทำให้รู้ว่าเป็นใคร ถูกหมาป่าตัวใหญ่ลากมากับพื้น บางร่างไม่มีแขนขา เพราะระหว่างทางได้หลุดหายไปเพราะทั้งร่างไหม้ไปหมดแล้วต้องถูกลากมาบนพื้นที่มีหินขรุขระบางส่วน
เซินฝูและหวังซิ่นเจียที่เห็นว่าเด็กทั้งสองคนปลอดภัยก็โล่งใจ ส่วนศพของมือสังหารที่เสี่ยวซื่อคาบมาด้วยนั้นย่อมเป็นฝีมือของมันอย่างแน่นอน เมื่อมันทำอะไรบางอย่างสำเร็จแล้ว ย่อมต้องอยากโอ้อวดเป็นธรรมดา
มือสังหารที่เหลือนั้นมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง เป็นเพราะพวกเขาประมาทไป และคงหลงลืมไปว่าแม้ว่าเสี่ยวเล่อที่เป็นเป้าหมายตัวประกันนั้น แม้จะมีระดับพลังที่ต่ำที่สุด แต่มีสัตว์เลี้ยงที่มีพลังระดับดารา เรียกได้ว่ามีพลังสูงเสียยิ่งกว่ามือสังหารบางคนเสียอีก
หัวหน้ามือสังหารส่งสัญญาณมือให้ถอยเสียก่อน เพราะในตอนนี้ฝั่งของตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฝั่งของตนเสียพรรคพวกไปแล้วถึงหกคน นี่เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียที่หนักหนาเกินกว่าจะรับได้ และในตอนนี้หัวหน้ามือสังหารเพิ่งจะฉุกคิดได้ว่าเป็นเพราะเหตุใดการที่รับภารกิจโจมตีคนของสำนักเจี๋ยเอินจึงได้ค่าจ้างสูงกว่าปกติ
ที่แท้ก็เป็นเพราะสำนักเจี๋ยเอินนั้นมีแต่อสูรกาย
ขนาดเด็กที่เป็นศิษย์ใหม่ยังเก่งกาจไม่น้อย แม้จะไม่ได้แสดงฝีมือใดๆ แต่การที่ได้ครอบครองสัตว์อสูรนั้นก็นับว่าเก่งกาจได้แล้ว
มือสังหารค่อยๆเปลี่ยนรูปแบบเป็นการตั้งรับเพื่อที่จะล่าถอย แต่เซินฝูไม่คิดจะให้เป็นไปดังที่พวกมันคาดหวัง เช่นเดียวกับหวังซิ่นเจีย ทั้งคู่สบตากันเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้งอย่างไม่ออมมือ
ฝั่งของพ่อบ้านหยางและหยางฉีก็ไม่น้อยหน้า แม้ว่าจะไม่ได้เก่งกาจเช่นเซินฝูและหวังซิ่นเจีย แต่ก็สามารถรับมือกับมือสังหารแบบหนึ่งต่อหนึ่งได้อย่างสูสี
โชคดีที่มือสังหารเหล่านั้นเสียสมาธิจากการปรากฏตัวของเสี่ยวซื่อเมื่อครู่ ทำให้พ่อบ้านหยางได้เปรียบ คมกระบี่ของพ่อบ้านหยางเฉือนเข้าที่คอของมือสังหารที่เป็นคู่ปรับได้แม่นยำราวกับจับวาง เลือดอุ่นๆพุ่งกระฉูดออกจากลำคอของมือสังหารตรงหน้า เพียงอึดใจเดียวก็สิ้นลม
มือสังหารที่สู้อยู่กับหยางฉีเมื่อเห็นว่าสหายของตนตายลงต่อหน้าก็คิดหาทางหนีจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบเช่นนี้
"พ่อบ้านหยางสุดยอด!"
"ที่แท้ท่านพ่อบ้านก็เก่งกาจเช่นนี้..."
เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อเอ่ยชม กระทั่งเสี่ยวสุ่ยและเสี่ยวซื่อยังอดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้ อยู่ที่จวนของหวังซิ่นเจีย พ่อบ้านหยางเป็นผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งบ่อยเป็นอาจิน จนคนในจวนจะลืมไปแล้วว่าแท้จริงพ่อบ้านหยางก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน
พ่อบ้านหยางที่ได้ยินคำชมก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แน่นอนว่าที่ผ่านมาไม่ได้แสดงฝีมืออะไรนอกจากการทำอาหาร อีกทั้งยังโดนพวกตัวแสบประจำจวนคอยก่อกวน ที่ไม่ตอบโต้อย่างรุนแรงเพราะเห็นว่าเป็นเด็กต่างหากเล่า
แต่ในอนาคตย่อมมีบางครั้งที่เสี่ยวเมิ่งก่อกวนจนต้องเอากระบี่ไล่ตีไปทั่วทั้งยอดเขาอย่างแน่นอน
หยางฉีไล่ตามมือสังหารที่ใช้อาศัยช่วงที่ละสายตาไปมองพ่อบ้านหยาง ลอบโจมตีจนเกือบเสียหลักแล้วล่าถอยไป เช่นเดียวกันกับหวังซิ่นเจียและเซินฝูที่ตามกลุ่มมือสังหารไปอย่างไม่ลดละ
ในตอนนี้สิ่งที่เหล่ามือสังหารคิดคือการหนีจากคนกลุ่มนี้ให้พ้นเสียก่อน อย่างไรแล้วภารกิจในครั้งนี้ก็คงไม่สำเร็จอย่างที่คิดเอาไว้
อีกทั้งสูญเสียพวกพ้องไปไม่น้อย เรียกได้ว่าแม้ค่าจ้างจะมากมายเพียงใด แต่ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่นิดเดียว
แม้ในตอนนี้ภายนอกจะดูเหมือนว่าตนเองควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่แท้จริงแล้ว ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีทึบนั้นเคร่งเครียดเพียงใด มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ ยิ่งในระหว่างที่กำลังหลบหนีนั้น ยิ่งได้ยินเสียงของพรรคพวกกรีดร้องอย่างเจ็บปวดยิ่งตอกย้ำว่าการที่ตอบรับภารกิจนี้มา เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์
เสียงฝีเท้าของเพื่อนร่วมรบค่อยๆหายไปทีละหนึ่ง กระทั่งเหลือเพียงแค่ฝีเท้าของตนเอง...
หากเป็นเช่นนั้น แปลว่าพรรคพวกที่มาด้วยกันไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแล้วนอกจากตน
เหี้ยมโหดนัก
หัวหน้ามือสังหารเร่งฝีเท้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตามทัน แต่ยิ่งเร่งรีบเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าวนอยู่ที่เดิม ทิวทัศน์ที่คุ้นตา ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นคู่กันเช่นนั้น เหมือนเห็นมาแล้วสองครั้งเป็นอย่างต่ำ
"เห็นหรือไม่ นี่คือการทำงานของค่ายกลของสำนักเรา"
หัวหน้ามือสังหารนั้นหยุดชะงักรีบหาที่กำบังเมื่อได้ยินเสียงพูดจากด้านล่าง ในตอนที่ตนเองกำลังหลบหนี ได้ใช้วิชาฝ่าเท้าเพื่อเคลื่อนที่โดยการเหยียบบนกิ่งไม้ เมื่อเหลือบลงไปก็เห็นกลุ่มของหวังซิ่นเจียยืนอยู่
หวังซิ่นเจียชี้ให้ลูกศิษย์ทั้งสองคนดูมือสังหารที่เคลื่อนที่ผ่านจุดที่พวกตนยืนอยู่มาแล้วสามสี่รอบ เด็กน้อยทั้งสองเงยหน้ามองอย่างตื่นเต้น
อีกทั้งยังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับค่ายกลต่างๆที่สำนักเจี๋ยเอินติดตั้งเอาไว้อย่างไม่กั๊ก ราวกับว่าไม่เกรงกลัวหากมือสังหารสักคนจะเอาความลับนี้ออกไปโพนทะนา
ข้างกันกับกลุ่มของหวังซิ่นเจียมีศพของพรรคพวกมือสังหารนอนกองทับกันเป็นผู้เขาขนาดย่อม โดยมีหมาป่าตัวใหญ่ยืนจ้องทำท่าเหมือนน้ำลายจะหก
หัวหน้ากลุ่มมือสังหารกำมือแน่นอย่างแค้นเคือง ขนาดพวกตนมีกันเกือบยี่สิบคนยังเอาชนะคนกลุ่มเล็กๆของเจี๋ยเอินไม่ได้ หนำซ้ำพรรคพวกที่ตายไป อาจจะได้เป็นอาหารของสุนัข ไม่เหลือกระทั่งร่างเอาไว้ให้ฝัง
ในขณะที่กำลังจ้องมองอย่างแค้นเคืองก็หลงลืมไปว่าตอนนี้อยู่ในถิ่นของศัตรู และคนที่เป็นเป้าหมายของพวกตนในตอนแรกนั้นไม่ได้รวมกลุ่มอยู่ด้วย หัวหน้ามือสังหารคิดจะหนีเอาตัวรอดก่อนแล้วจึงกลับมาสะสางหนี้แค้น
แต่เพียงแค่หันหลังกลับก็เผชิญหน้ากับเซินฝูที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
"จะ เจ้า!!"
เซินฝูไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ใช้พลังธาตุโจมตีให้พัดเอาร่างของหัวหน้ามือสังหารคนนั้นร่วงลงจากต้นไม้สูง ร่างของมือสังหารคนสุดท้ายตกอยู่ตรงหน้าของกลุ่มหวังซิ่นเจียแล้วในตอนนี้
"ค่ายกลที่เชื่อมต่อกันเช่นนี้มีมากกว่าร้อยจุดในป่า เพื่อสร้างเขาวงกต และมีแค่ไม่กี่อันที่สามารถพาไปยังทางเข้าของสำนักได้"
ส่วนใหญ่เอาไว้เพื่อดักจับผู้ประสงค์ร้ายอย่างเช่นครั้งนี้
แต่การที่จะบังคับให้ค่ายกลเชื่อมต่อกันได้นั้นไม่ใช่ว่าผู้ใดก็ทำได้ เป็นหน้าที่ของสายลับที่แฝงตัวอยู่ในป่า คอยปรับเปลี่ยนทิศทางของค่ายกล
หากยังไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดใหญ่โตอย่างครั้งนี้ ก็เพียงแค่ส่งออกไปนอกป่าเท่านั้น แต่หากเกิดการลอบโจมตีแล้ว หนึ่งในสิ่งที่สายลับของเจี๋ยเอินชื่นชอบเหลือเกินคือการสร้างเขาวงกตให้คนเหล่านั้นอยู่ในป่าแห่งนี้จนกระทั่งตายไป หรืออย่างดีก็เชื่อมค่ายกลไปยังหน้าผา เป็นการกำจัดผู้ประสงค์ร้ายต่อสำนักอย่างเงียบเชียบ
"ดังนั้นผู้ที่เข้ามาในป่าแห่งนี้แล้ว หากเหล่าสายลับไม่มีใจจะปล่อยออกไป ก็ต้องติดอยู่ในป่าแห่งนี้จนตาย"
"ข้าเองก็อยากเป็นสายลับ"
เสี่ยวเมิ่งเมื่อเห็นหนทางสบายในภายภาคหน้าก็เอ่ยขึ้นมาทันที หากต้องอยู่แค่ในป่า หน้าที่ก็มีเพียงแค่กลั่นแกล้งคนไปวันๆ เป็นเช่นนั้นน่าสนุกมากเลยไม่ใช่หรือ
"เสียใจด้วย เจ้าเป็นศิษย์ของข้า และข้าไม่ชำนาญค่ายกล"
หรือพูดก็คือหากอยากจะเป็นสายลับให้กับสำนักเจี๋ยเอินจะต้องเรียนสร้างค่ายกลกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ แต่หวังซิ่นเจียที่รับลิงทะโมนเหล่านี้มาเป็นศิษย์นั้นไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องค่ายกลแม้แต่นิดเดียว
เสี่ยวเมิ่งเมื่อได้ยินก็ทำหน้ายู่
เซินฝูเมื่อจัดการทิ้งร่างมือสังหารลงมาจากต้นไม้สูงแล้วก็ตามลงมาติดๆ มือสังหารคนนั้นถดตัวหนีอย่างกลัวตาย ยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องค่ายกลของสำนักเจี๋ยเอินจากหวังซิ่นเจียเมื่อครู่แล้วยิ่งมองไม่เห็นทางรอด ดังนั้นจึงคิดจะกลืนพิษเสียให้จบเรื่อง
แต่หยางฉีไวกว่านั้น ในฐานะที่เคยฝึกเพื่ออยู่อย่างลับๆล่อๆมาก่อน จึงชิงพุ่งเข้ามาสับคอเพื่อให้มือสังหารคนนั้นสลบไปทันที
เซินฝูเห็นการกระทำของหยางฉีแล้วก็หันไปยิ้มให้อย่างชอบใจ
"สายตากว้างไกลนักฉีเกอ"
คำชมที่กึ่งหยอกเย้านั่น หยางฉีฟังแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก สะบัดหน้าหนีแล้วเดินไปอีกทางเพื่อเลี่ยงการสนมนากับเซินฝู
"ไม่ฆ่าหรือ?"
หวังซิ่นเจียเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเซินฝูไม่ยอมลงมือเสียที เซินฝูส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะแสยะยิ้มแสดงใบหน้าที่ดูแล้วน่าขนลุกไม่เบา
"เขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ"
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ