ในคราแรกนั้นคาดการณ์เอาไว้ว่าคงจะเดินทางถึงสำนักก่อนตะวันคล้อย แต่เป็นเพราะว่าหยางฉีมือหนักไปหน่อยทำให้มือสังหารนั่นฟื้นขึ้นมาช้ากว่าปกติ
เมื่อมือสังหารคนนั้นลืมตาขึ้นมาเห็นว่าคนที่นั่งล้อมตนเองอยู่เป็นใครก็สะดุ้งตัวโยน แต่เมื่อหาทางรอดก็พบว่าไม่มี ในตอนนี้ตนกำลังถูกเชือกมัดเซียนรัดอยู่ อีกทั้งยังมัดคนติดกับต้นไม้ไม่ให้มีทางหนี ยาพิษที่ซ่อนเอาไว้สามจุด ก็ถูกเอาออกไปหมด
"พวกเจ้าต้องการอะไร?"
หยางฉีทำหน้าปลาตายเป็นคำตอบ ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม่จึงไม่ลงมือสังหารแล้วรีบเดินทางเข้าสำนักเสียที
และในตอนที่มีโอกาสสังหารก่อนหน้าหนีหยางฉีก็เพียงรู้สึกว่าเซินฝูยังไม่ต้องการสังหารคนในตอนนี้เท่านั้น จึงได้ลงมือจัดการทำให้สลบไปก่อนที่จะประมวลผลได้
แต่หากหยางฉีตัดสินใจลงดาบแทนสันมือในตอนนั้น เซินฝูอาจจะส่งสายตาน่ากลัวมาให้ก็ได้
"ใครส่งพวกท่านมา?"
"คิดว่าข้าจะปริปากง่ายๆหรืออย่างไร"
จุดจบของการที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ อย่างไรแล้วโทษก็คือตายอยู่ดี ไม่ว่าจะถูกสังหารด้วยน้ำมือของคุณชายตรงหน้า หรือจะกลับไปหาผู้ว่าจ้างก็ไม่ต่างกัน
หากเป็นเช่นนั้นบอกหรือไม่บอกย่อมมีค่าเท่ากัน
เพราะอย่างไรแล้ว จุดจบก็คือตายเหมือนกัน
"หากคิดเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่าน แต่อย่าลืมว่าสำนักเจี๋ยเอินก็มีวิธีเค้นความจริงของสำนักเจี๋ยเอิน"
"ไร้สาระ ศิษย์นอกที่ยังไม่เคยแม้แต่จะเหยียบธรณีประตูของสำนัก จะเรียกว่าเป็นคนของเจี๋ยเอินได้อย่างไร"
ในความเป็นจริงแล้วคนที่อยู่ตรงนี้ หากไม่นับสายลับที่หลบซ่อนอยู่ ก็มีเพียงแค่หวังซิ่นเจียคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนของสำนักเจี๋ยเอิน
แต่คำพูดของมือสังหารนั้น ทำเอาเซินฝูแทบจะหลุดท่าทีสำรวม แม้ว่าชาตินี้เพิ่งจะเดินทางมาถึงตีนเขาของสำนัก แต่ชาติก่อนเซินฝูเป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักเจี๋ยเอิน
การที่คนตรงหน้ากล่าวว่าเซินฝูนั้นไม่ใช่คนของสำนักเจี๋ยเอินทำเอารู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา หากไม่ใช่ว่าจะใช้งาน คงได้ตัดคอทิ้งเสียให้สิ้นเรื่อง
"ปากดีเหลือเกินนะ"
เซินฝูยิ้มเหี้ยม มือสังหารงุนงงไปชั่วขณะ อยู่ๆบรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนไป หวังซิ่นเจียต้อนให้บ่าวเด็กทั้งสองคนไปนั่งรออีกทาง บุรุษแซ่หยางสองคนเห็นท่าไม่ดีเช่นกัน จึงพากันเดินตามไปด้วย ปล่อยให้มือสังหารปากดีคนนี้อยู่กับเซินฝูตามลำพัง
"เห็นทีแบบนี้ ท่านคงบอกเรื่องที่ข้าต้องการได้"
พัดหน้าตาประหลาดในมือถูกหุบลง เซินฝูไม่ได้ยิ้มแย้มอย่างเคยอีกต่อไป
"เช่นนั้นมาเริ่มเค้นความกันเลยดีหรือไม่"
เซินฝูนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ด้านหน้า มือสังหารมองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่นิ้วเท้าข้างหนึ่งจะถูกลิ่มดินโผล่จากพื้นทิ้มสวนขึ้นไปจนเล็บเท้าเปิด
"อึก..."
แผลที่นิ้วเท้านั้น ช่างเล็กน้อย และไกลจากความตายมากมาย ของแค่นี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกสะเทือนแม้แต่น้อย
แต่เมื่อจะอ้าปากพูดจาโอ้อวด นิ้วเท้านิ้วอื่นๆ ก็ถูกลิ่มแหลมทิ่มสวนจนเป็นแผลเหวอะหวะไปหมดเช่นกัน แม้จะบอกว่าการเจ็บปวดเช่นนี้ไม่ได้เข้าใกล้ความตายเท่าไหร่นัก แต่ย่อมไม่พ้นความเจ็บปวด ตอนนี้มือสังหารตรงหน้ากลั้นเสียงร้องจนหน้าเขียว
"ทั้งๆที่เป็นมือสังหาร มีจรรยาบรรณเหลือเกินนะ ข้าอดปลื้มใจแทนผู้ว่าจ้างไม่ได้เลย"
แม้จะพูดว่าในวันที่มีการทดสอบนั้น มีหลายคนให้ความสนใจเซินฝูมากเป็นพิเศษ แต่คนที่กล้าทำเรื่องโง่ๆเช่นนี้คงมีไม่กี่คน
และคนที่กล้าทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อว่าจ้างมือสังหารนับสิบคนบุกป่าของสำนักเจี๋ยเอินคงมีเพียงคนแซ่เจิ้งเท่านั้น
ราชวงศ์เองก็คงไม่ได้หวังผลตั้งแต่ครั้งแรก แต่หากงานสำเร็จตั้งแต่ตอนนี้ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เสียดายที่เซินฝูไม่ปล่อยให้คนแซ่เจิ้งได้สมหวังอย่างใจนึก
"ข้าพอรู้ว่าผู้ว่าจ้างเป็นใคร ข้าจะยอมส่งท่านกลับไป หากท่านรับปากจะส่งต่อข้อความของข้า"
"ไม่มีทาง... อึก..."
หากกลับไปก็ต้องตายอยู่ดี ฝากข้อความงั้นหรือ มือสังหารหน้าเหมือนนกพิราบหรืออย่างไร
"เช่นนั้นข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน"
จากที่ลิ่มดินเพียงแค่แทงทะลุนิ้วเท้า ขยับขึ้นมาเป็นฝ่าเท้าทั้งสองข้างของมือสังหาร ลิ่มดินนับสิบแทงทะลุหลังเท้าขึ้นมาเหมือนป่าหนาม เลือดจากบาดแผลไหลอาบฝ่าเท้าจนเปลี่ยนเป็นสีแดง
"แม้ข้าจะรู้อยู่แล้วก็ตามว่าท่านคงไม่ปริปาก แต่นี่ถือเป็นการฝากความแค้นไปถึงคนแซ่เจิ้งก็แล้วกัน"
ไม่รอให้มือสังหารคนนั้นประมวลผลสิ่งที่เซินฝูพูด ลิ่มดินจำนวนมากก็พุ่งแทงไปทั่วร่างกายของมือสังหาร หลีกเลี่ยงจุดตายเพื่อยื้อเวลาหวังให้มือสังหารคนนี้กลับไปถึงแคว้นจินเพื่อส่งสารให้สำเร็จเท่านั้น
เพียงแค่อีกฝ่ายยังมีแรงเหลือพอที่จะส่งสารถึงคนแซ่เจิ้งหน่อยก็เพียงพอแล้ว
แม้ว่าที่ฝ่าเท้าจะเป็นแผลเหวอะหวะ แต่เซินฝูไม่คิดจะทำให้มือสังหารคนนี้เดินไม่ได้แม้แต่น้อย แต่เพราะอย่างนั้นร่างกายส่วนอื่นที่ไม่ใช่จุดตายจึงถูกลิ่มดินแทงทะลุเสียหมด
เซินฝูกล่าวว่ารู้อยู่แล้วว่ามือสังหารไม่คิดจะปริปากพูด เพราะงั้นการกระทำนี้ ก็เพื่อสนองความต้องการของตัวเองเท่านั้น เป็นการลงโทษที่พูดว่าเซินฝูไม่ใช่คนของสำนักเจี๋ยเอิน
เลือดของมือสังหารคนนั้นไหลออกจากบาดแผลเยอะมากเสียจนน่ากลัว เซินฝูลุกขึ้นเดินออกห่าง เพราะกลัวว่าเลือดจะเปื้อนชุดของตนเอง
นอกจากมือสังหารคนนี้จะต้องเดินทางกลับแคว้นจินเพื่อส่งสารแล้ว ยังต้องนำร่างของพรรคพวกตนเองกลับไปด้วย แต่ศพที่กองกันจนได้ภูเขาเล็กๆนี่ ให้คนๆเดียวแบกกลับไปทั้งๆที่ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะใจร้ายเกินไปหน่อย
"หากเอากลับไปทุกร่างคงจะไม่ไหว เช่นนั้นก็เอากลับไปแต่หัวก็แล้วกัน"
เพียงแค่กระดิกนิ้ว หัวของเหล่ามือสังหารก็ถูกตัดกระเด็นออกจากร่าง ต่อหน้าต่อตามือสังหารคนสุดท้ายที่ยังรอดชีวิตอยู่
เพื่อนพ้องที่ทำภารกิจร่วมกันมามากมาย ตายตกต่อหน้าไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วย กระทั่งตัวเองยังเอาไม่รอด อีกทั้งยังต้องเห็นภาพที่น่าอดสูของเพื่อนร่วมรบที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนย่ำยีร่างไร้ลมหายใจอีก
ที่กล่าวว่าเอากลับไปแต่หัวคืออะไร...
เช่นนั้นร่างของพรรคพวกตนผู้ใดจะเป็นคนทำพิธีฝัง...
เมื่อศีรษะของเหล่ามือสังหารถูกตัวออก ร่างไร้วิญญาณของมือสังหารเกือบยี่สิบคนก็ค่อยๆจมลงไปใต้พื้นดิน
"ไม่ต้องห่วง คนเหล่านี้ข้าจะฝังให้เอง"
ศีรษะของมือสังหารทั้งหลายลอยตามหลังเซินฝูมา ภาพตรงหน้าตอนนี้ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับอสูรกายก็ไม่ปาน
ใบหน้านิ่งเรียบไม่แสดงอาการใดๆ จะมีหน่อยก็แค่เบ้ปากอย่างรู้สึกรังเกียจเท่านั้น แม้จะฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา แต่ก็ไม่มีเลือดสักหยดกระเด็นโดนชุดแม้แต่หยดเดียว
"หัวเหล่านี้ถือเป็นของต่างหน้า ฝากกลับไปแขวนที่จวนคนแซ่เจิ้งด้วย..."
มือสังหารจากไปแล้ว เหลือเพียงแค่กลุ่มของเซินฝูและสายลับของสำนักที่รอส่งทุกคนเข้าสำนักผ่านค่ายกล
ก่อนหน้านี้เหล่าสายลับถูกหวังซิ่นเจียบ่นจนหูชาเรื่องที่สะเพร่าปล่อยให้มือสังหารเป็นโขยงตามเข้ามาได้เกือบจะถึงค่ายกลที่เชื่อมกับสำนัก
"พร้อมหรือยัง"
เซินฝูสำรวจตัวเองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าชุดของตนไม่ได้เลอะเทอะจากการเล่นสนุกเมื่อครู่ก็พยักหน้ารับ หวังซิ่นเจียส่งสัญญาณให้สายลับคนหนึ่งเชื่อมค่ายกลเข้ากับประตูของสำนัก
เมื่อเชื่อมค่ายกลได้แล้ว อากาศด้านหน้าก็เกิดการสั่นสะเทือน ภาพที่เห็นตรงหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยเป็นผลจากการเชื่อมต่อค่ายกล
เพียงแค่ก้าวข้ามไป ก็จะได้กลับเข้าสู่สำนักเจี๋ยเอิน...
กลับมาอีกครั้ง...
เซินฝูกลับมา ณ สถานที่ที่จะเป็นที่ตายแห่งใหม่โดยไร้มลทิน
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในค่ายกล กะพริบตาเพียงครั้งเดียวภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนจากป่ารกทึบเป็นสถานที่ที่คุ้นตา
สำนักเจี๋ยเอินตั้งอยู่บนยอดเขาหลันอวิ๋น มียอดเขาเล็กใหญ่รายล้อม แต่ละยอดเขามีผู้อาวุโสคอยดูและ และเป็นที่อยู่ของ ศิษย์หลัก กับศิษย์ผู้สืบทอด
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาน้ำตาคลอ ราวกับว่านานเสียเหลือเกินที่จากไป บัดนี้ได้หวนคืนแล้ว
หวังซิ่นเจียไม่พูดหยอกล้อให้เสียบรรยากาศ เพียงแค่หันมายิ้มบางๆให้กับเซินฝู
"ยินดีต้อนรับกลับ"
.
.
.
มือสังหารคนสุดท้ายถูกส่งกลับมายังประตูทางเข้าแคว้นจิน พร้อมกับกระสอบผ้าเปรอะเปื้อนกระสอบใหญ่
ดวงตาของมือสังหารหนุ่มนั้นไร้แววไม่คล้ายกับมนุษย์ทั่วไป ร่างงกายเต็มไปด้วยบาดแผลและเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเช่นเดียวกันกับกระสอบผ้าที่นำติดตัวมา
สองเท้าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างที่ควรจะเป็น พวกมันพาเจ้าของร่างไปยังสถานที่ ที่เป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้
ในตอนนี้แม้ว่าจะยังเป็นช่วงที่คนพลุ่กพล่านอยู่ แต่ทว่ามือสังหารคนนี้ราวกับกำลังล่องหนทั้งๆที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
ไม่มีผู้ใดคิดสนใจ ไม่มีผู้ใดมองเห็น การเดินสวนกันราวกับเป็นการเดินผ่านอากาศ
แต่ในตอนนี้สิ่งที่มือสังหารจะต้องทำให้สำเร็จคือการส่งสาส์นของเซินฝูถึงศัตรูคนสำคัญตั้งแต่ชาติปางก่อน การส่งสาส์นนี้จะเรียกว่าเป็นการข่มขวัญก็ได้
ปกติแล้วพื้นที่วังหลวงนั้น แม้จะเป็นกำแพงวังก็ยังตั้งยามเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา แต่ไม่น่าเชื่อว่ามือสังหารหนุ่มจะสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่โดนตรวจสอบใดๆ ทหารที่เฝ้ายามก็ราวกับไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา
มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลค่อยๆเรียงศีรษะของเพื่อนร่วมรบทั้งหมดบนกำแพงวังหลวงเพื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่เรียงศีรษะครบทุกศีรษะแล้ว ก็ราวกับมนต์พรางตัวนั้นหายไป ด้านล่างเกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันทีเมื่อมีคนสังเกตุเห็นสิ่งแปลกประหลาดบนกำแพงวังหลวง
สตรีนางหนึ่งที่กำลังจะเดินผ่านรั้ววังเพื่อกลับจวนอย่างทุกวัน เมื่อเห็นความผิดปกติก็หันมามอง ก่อนที่จะกรีดร้องลั่น ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างหันมาให้ความสนใจแม่นางน้อยที่เหมือนจะเป็นลมล้มพับอยู่กับพื้น
ผู้คนหลายคนสังเกตุสิ่งที่มือสังหารทำก็ร้องโวยวายออกมาเช่นกัน บางคนก็มองตามสิ่งที่นางชี้ให้ดูก็พากันร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทหารยามจึงได้เร่งมือจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทหารหลายคนถูกส่งขึ้นไปยังจุดที่มือสังหารคนนั้นยืนอยู่ ตั้งใจจะกำจัดมือสังหารคนนี้ทิ้งเสีย
แต่เป็นเพราะความห่างชั้นของความสามารถ เรื่องราวจึงไม่ได้จบลงโดยง่าย ทหารหลายคนบาดเจ็บรุนแรง บางคนถึงขั้นเสียชีวิตหลังที่ต้องประมือกับมือสังหารคนนี้
เรื่องวุ่นวายจึงถึงหูของเจิ้งจวินเหลียงอย่างรวดเร็ว ทั้งวังแตกตื่น แทบทุกคนมุ่งหน้ามาที่กำแพงของวังหลวง เจิ้งจวินเหลียงเองก็รีบร้อนออกมาเมื่อเสิ่นกงกงได้กระซิบบอกว่าผู้ที่ก่อความวุ่นวายนั้นเป็นหนึ่งในมือสังหารที่จ้างวาน
เจิ้งจวินเหลียงเร่งรุดมาโดยไม่รอเหล่าข้าราชบริพารที่เร่งเท้าตามมาด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุก็เห็นผู้คนจำนวนมากมุงดูเหตุการณ์สยองขวัญที่มีมือสังหารผู้นั้นเป็นคนสร้างขึ้น เลือดจากศีรษะของมือสังหารที่ตายไปไหลอาบกำแพงสีสะอาดตาเป็นทาง
เจิ้งจวินเหลียงสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตแค้นจากมุมหนึ่ง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นมือสังหารคนนั้น เจิ้งจวินเหลียงผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เหล่าองครักษ์กรูเข้ามาปกป้องเจิ้งจวินเหลียงเอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่มือสังหารคนนั้นเพียงแค่มองด้วยสายตาโกรธแค้นเท่านั้น
"คนแซ่เจิ้ง"
เซินฝูบอกให้เอาศีรษะของพี่น้องมือสังหารแขวนประจานที่กำแพงจวนของคนแซ่เจิ้ง ดังนั้นมือสังหารจึงได้นำหัวมาเรียงที่สันกำแพงวังหลวง
เพราะนี่คือจวนของคนแซ่เจิ้ง
"อย่างไรแล้ววันหนึ่งข้าจะกลับมาสะสางแค้น จงรออย่างเจียมตนเถอะ"
ยังไม่ทันจะได้ประมวลผลเรื่องที่มือสังหารคนนั้นกล่าว ก็เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญขึ้นอีกครั้งต่อหน้าธารกำนัล
มีดสั้นในมือของชายที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด จ้วงแทงเข้าที่คอของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดพุ่งกระฉูดออกจากบาดแผลกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์พากันกรีดร้องอย่างเสียขวัญ เหล่าองครักษ์รีบพาองค์เหนือหัวให้ออกห่างจากจุดเกิดเหตุ เพราะเกรงว่าจะมีการลอบทำร้ายอื่นๆเกิดขึ้น
มือสังหารคนสุดท้ายค่อยๆทรุดตัวลง เนื่องจากส่วนคอเป็นแผลเหวอะหวะ ไม่สามารถหายใจต่อไปได้ ในที่สุดก็สิ้นชีพลง ท่ามกลางศีรษะของเหล่าพรรคพวกมือสังหารด้วยกัน
กว่าที่เหล่าทหารจะขึ้นมาถึงจุดเกิดเหตุ ตอนนั้นก็ไม่มีผู้กระทำผิดให้ลงโทษแล้ว ตรงจุดนั้นนอกจากศีรษะของเหล่ามือสังหาร ก็มีเพียงศพที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์
คำพูดที่ทิ้งเอาไว้ทำให้เจิ้งจวินเหลียงขบคิดหัวแทบแตก
มือสังหารกลุ่มใหญ่ถูกจ้างวานในชื่อของเสิ่นกงกงเพื่อไปลักพาตัวเซินฝูกลับมา แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วันมือสังหารคนนั้นกลับมาพร้อมกับแจ้งข่าวร้าย
เซินฝูไม่ได้กลับมา
และมือสังหารไม่มีผู้ใดเหลือรอดสักรายเดียว
อีกทั้งคำพูดทิ้งท้ายนั่น...
เจิ้งจวินเหลียงไม่สามารถระลึกได้แม้แต่น้อยว่าเซินฝูโกรธแค้นตนเองด้วยเรื่องอะไร
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ