Masukบรรยากาศในวันวานหวนคืนกลับ ประหนึ่งบุปผาที่แห่งเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาได้ฟื้นคืน แม้อาจแตกต่างไปเมื่อเขาและนางไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกที่มีต่อกัน เขาจะกอดนางจูบนางเมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น
ไป๋เหม่ยหลานไม่สามารถปฏิเสธหัวใจตน จำได้ว่าเมื่อก่อนนั้นนางมักหลบเลี่ยงสายตา เพื่อไม่ให้ผู้ใดรู้ความจริงว่านางคิดอย่างไรกับท่านอาจารย์
นางกำลังปลาบปลื้มยินดีอยู่กับช่วงเวลาอันอบอุ่นใต้แสงอรุณในยามซื่อบนโลกมนุษย์ นางจ้องมองคิ้วเข้มหนาเหนือดวงตาเรียวรี รอยยิ้มบนมุมปากหนาหยักได้รูปที่แปรเปลี่ยน เขาแลดูนิ่งขรึมขึ้น กระทั่งมือหนาเลื่อนผ่านไปข้างหลัง เลยพ้นศีรษะของนางไป นัยน์ตาลุ่มลึกทอประกายสีชาด
“ไม่พบกันนาน เซียนปักษา”
ในน้ำเสียงเยียบเย็น มือที่จับหมับเข้าคอปักษาทำไป๋เหม่ยหลานลนลาน หวาดกลัว
“ท่านอย่าทำร้ายอี้เจ๋อ! เขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาช่วยเหลือข้า เขาช่วยชีวิตข้านะ”
“อ้อ... งั้นหรือ?”
ถึงแม้ว่ายินเฟิงเป็นผู้บอกกับเทพปักษาไม่ให้นางล่วงรู้เรื่องการสกัดดวงวิญญาณจากร่างโครงกระดูกนั้นเป็นฝีมือของเขา เพราะนางจะเสียใจเป็นอย่างมาก ภายในจิตใจกลับร้อนรุ่มดังไฟ เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบจากเทพปักษาซึ่งเสวยสุขกับไป๋เหม่ยหลานแต่เพียงผู้เดียว
กลิ่นอายปีศาจไม่มีผู้ใดมองเห็นนอกเสียจากนางและชายตรงหน้า มือหนาจับคอเซียนปักษาเหมือนจับนกตัวเล็ก ๆ อี้เจ๋อถีบขาสั่นเทา
“ท่านอาจารย์ยินเฟิง! ข้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใจกับท่าน ข้าสาบานว่าข้าไม่ได้บอกอะไรนาง...”
“ก็ไม่ใช่เรื่องนั้นเสียหน่อย ข้ากำลังคิดว่า...” เขาเลื่อนสายตาจากนางไปทางนกน้อยในกำมือ “กาลเวลาเนิ่นนานแสนไร้ค่า อุตส่าห์ตามหาศิษย์รักของข้ามาเก้าพันปี เจ้ากลับมาหานางได้ทุกเมื่อ ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ”
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว... ขออภัยท่านอาจารย์ อย่าโกรธเคืองข้า...” อี้เจ๋อพร่ำเพ้อภาษาเทพหากผู้อื่นคงฟังเป็นภาษานก มันส่งเสียงร้องโวยวายกระพือปีกเมื่อถูกจับกุมตัว บ่าวรับใช้เดินผ่านไปเร็ว ๆ ด้วยความหวาดกลัว ส่วนเจ้าของมือหยาบจับคอนก อีกข้างหนึ่งเอาไพล่หลังเดินกลับเข้าเรือน ไป๋เหม่ยหลานจับกระโปรงของนางยกขึ้นให้พ้นปลายเท้า รีบตามสามีไป
ปลายเท้าหนาใต้อาภรณ์สง่างามสีนิลก้าวมาถึงห้องครัว ใกล้กับเตาไฟ อี้เจ๋อดิ้นไม่หลุดจากพันธนาการของท่านอาจารย์ผู้จับเขาด้วยไอปีศาจมหาศาล เทพในร่างนกคงไร้หนทางหนี
ยินเฟิงหันไปบอกแม่ครัวร่างท้วม นางกำลังต้มผักทำอาหารให้ทุกคนในเรือน
“ต้มนกนางนวล บำรุงร่างกายดี น้ำต้มกระดูกเทพปักษา ไม่แน่ใจว่าเป็นยาอายุวัฒนะหรือไม่?”
“ท่านนำสหายข้าไปต้มน้ำแกงไม่ได้นะ ไม่ได้เด็ดขาด!”
“เจ้าเอาไปถอนขนก่อน ค่อยเอาไปต้ม” เจ้าของจวนยื่นนกให้หญิงร่างท้วม หาได้รู้ว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกันเรื่องเทพปักษา แม่ครัวเพียงทำตามหน้าที่
“เจ้าค่ะท่านอ๋อง”
เฉียนฟานอ๋องเลือดเย็นถึงเพียงนี้! แม้ศิษย์ตนก็นำไปต้มทำน้ำแกงได้ ไป๋เหม่ยหลานไร้หนทางช่วยเหลือสหาย นั่งลงกับพื้นไม้ สองมือรวบกอดขาท่านอ๋อง ละล่ำละลักกล่าว
“ท่านอย่าทำร้ายอี้เจ๋อ! เขาช่วยเหลือข้าเอาไว้มาก ข้าไม่ต้องไปเกิดเป็นนางบำเรอในกองทัพ ข้าไม่ต้องไปเป็นโสเภณีก็เพราะอี้เจ๋อ ได้โปรดเถิดท่านอาจารย์ ไว้ชีวิตอี้เจ๋อด้วย ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดเมตตาไป่ไป๋ อี้เจ๋อด้วย”
หัวใจยินเฟิงพาลเจ็บปวดไปด้วยกับนาง พยายามบีบน้ำตาเรียกร้องความเมตตาสงสาร ซึ่งมันก็ได้ผล ขณะแม่ครัวกำลังรอคำสั่งจากท่านอ๋อง มือหยิบมีดปังตอขึ้นมารอเชือดคอเจ้าอี้เจ๋อ เขาพลันคว้าคอมันกลับมา ก้มหน้าลงบอกใบหน้าหวานเว้าวอนของร่างงามที่กอดขาเขาแน่น
“เรียกข้าสามี... หรือเย็นนี้จะกินนกทอด?”
“สามี” ในน้ำเสียงอ่อนหวาน ไป๋เหม่ยหลานกะพริบกระบอกตาร้อนผ่าว เงยหน้าขึ้นมองเงื้อมมือมัจจุราช เมื่อเขายอมไว้ชีวิตสหายของนางด้วยแววตาเยือกเย็น หากไม่ยอมปล่อยมือที่เปี่ยมด้วยไอหยินปีศาจ
ส่วนเทพปักษายามนี้น่ะหรือ คอพับคออ่อน แสร้งเป็นนกหมดสติไปเสียแล้ว
-----------
‘เราล้วนบำเพ็ญตนเพื่อบรรลุสัจธรรมแห่งชีวิต เจ้ารู้หรือไม่? แม้สิ่งเล็ก ๆ ก็นับว่ามีลมหายใจ เหล่าเซียนจึงมีเมตตาธรรมต่อพวกมันสม่ำเสมอ’
เหตุใดท่านอาจารย์ยินเฟิงผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาราวโพธิสัตว์เดินดิน ถึงได้กลายเป็นอ๋องใจดำ อี้เจ๋อก็เป็นหนึ่งในศิษย์ท่านอาจารย์ บำเพ็ญตนมาก่อนนาง เรียกว่าเป็นรุ่นพี่เซียนของนาง ท่านอาจารย์จะจับเขาไปถอนขนต้มน้ำแกง!
ไป๋เหม่ยหลานไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของอาจารย์ยินเฟิง ยามนี้หาได้มีรอยยิ้มให้นางแม้สักน้อย ทั้งที่ใจของเขาเฝ้าคิดถึงนางไม่น้อยไปกว่า
บางครั้งนางมองเห็นว่านัยน์ตาคู่คมแปรเป็นสีชาด เขาส่ายหน้าไปมา ชะโงกคอมองหานางด้วยสีหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ เขาไม่ละวางตาไปจากนาง เหมือนกลัวว่านางอาจสลายไปในอากาศได้ทุกเมื่อ เขาจะคอยเรียกหานาง
“ภรรยา ข้าจะอาบน้ำ เจ้าให้บ่าวไปเตรียมน้ำแล้วตามข้ามา” ในน้ำเสียงอ่อนโยน มือขวาขยับวางพู่กันไม้ลงบนแท่นหยกอันเล็ก อีกข้างหนึ่งปล่อยจากการจับรั้งชายอาภรณ์ ด้วยความระมัดระวังไม่ให้ชายเสื้อเลอะเทอะจากการเขียนตัวอักษรด้วยหมึกพู่กัน
อาจารย์ยินเฟิงมีกิริยาสง่างาม เขาเหลือบตาขึ้นมองหานาง สังเกตเห็นว่าดวงตาคู่สวยใสจับจ้องเขาไม่เลิกรา
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ? ข้าจะอาบน้ำ”
“อ้อ... เจ้าค่ะ”
ร่างบางในชุดสีชมพูหวานก้าวเดินออกจากห้องไป หลังเอาแต่เฝ้ามองสามี นางเรียกบ่าวให้เตรียมน้ำอาบในถังไม้ให้เจ้าของจวน กว่าจะนึกขึ้นได้
“อาบน้ำ!”
นางโวยวาย มองหาสาวใช้อีกคนเพื่อที่นางจะไถ่ถามเอาความ นางไม่รู้ว่านางควรทำยังไง การปรนนิบัติสามีคือต้องให้นางอาบน้ำให้เขาด้วยหรือ นางจะทำเป็นไหมเล่า
ตอนพิเศษ : เศษใบชาในถ้วยกระเบื้องที่มีควันลอยฉุยสลายไปในเวหา อาภรณ์สีนิลสะบัด ยินเฟิงปัดมือเบา ๆ ร่ายเวทปีศาจอย่างระวัง หลังปัดชาใบเล็กไม่ให้ระคายคอภรรยา ขณะก้มหน้ามองนางชักชวนเขาสนทนาไปเรื่อยเปื่อยในฝั่งตรงกันข้าม ชาบนโต๊ะไม้ไม่พร่องไป นางไม่ดื่มมันเสียที“ไยเจ้าไม่รีบดื่มชาให้หมดถ้วยเสีย เย็นหน่อยก็จะไม่อร่อยแล้ว”“เจ้าค่ะ” นางยิ้มพลางยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปาก เหลือบตามองสามีที่ชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกท้องนทีมืดสนิท บิดาสงสัยว่าบุตรชายของเขาออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหน ไม่ทันสังเกตเห็นน้ำในถ้วยหายไป“เจ้าไม่ควรลืมดื่มชาเป็นอันขาด”“ข้าอาจลืมก็ได้”“ไม่ได้”ยินเฟิงได้คำตอบจากภรรยาในรอยยิ้มมีเลศนัย“ข้าจะลืมแน่...”หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าอธิบายเหตุผลของตน ไม่ใช่ว่าไม่อยากตามใจนาง ซึ่งไม่เป็นผล เมื่อได้พูดคุยเรื่องบุตรกันทีไร ยากจะหาข้อสรุป...ไป๋เหม่ยหลานมิได้เชื่อฟังสามี นางกำลังนึกถึงช่วงเวลาสำคัญ ร้อยกว่าปีที่ผ่านพ้นมา ความเจ็บปวดทรมานจากการคลอดบุตรเพียงครั้ง ไม่เทียมเท่าความสุขล้นในอกมารดาบุตรชายตัวน้อย ‘อี้เฉิน’ เป็นบุตรชายที่น่ารักใคร่ นางเฝ้ามองเจ้าตัวน้อยนอนหลับใหล ในร่างของทารกและเ
หลังผ่านพ้นงานวิวาห์ในภพภูมิปีศาจ ร่างอรชรในอาภรณ์สีชาดงดงามพลันหายไปพร้อมกลุ่มไอหยินไป๋เหม่ยหลานตั้งใจไปนำของวิเศษมาให้สามี เพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงาน นางใส่ใจกับการเป็นปีศาจและปรมาจารย์ปีศาจ สามีของนักเป็นอย่างมากทว่าระหว่างทางมีปีศาจจิ้งจอกฝีมือเก่งฉกาจเข้ามาขวางทาง ยื้อแย่งก้อนหินน่าอัศจรรย์ไป นางตบะไม่ถึงปีศาจตนนั้น ไม่ได้ของวิเศษจากถ้ำประหลาดที่ได้ยินมาว่ามันเพิ่มกำลังวังชา ทำให้ร่างกายแข็งแรงอายุยืนนานไปอีกนับหมื่นปี นางกลับเมืองเหยียนมือเปล่า พร้อมความเศร้าหมองจนนางเกือบจะร้องไห้ออกมาอย่างผู้อ่อนแอ ขณะปลายเท้าล่องลอยในเวหา หยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง“วันนี้ข้าไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ไปทำเรื่องสำคัญก็คว้าน้ำเหลว ข้าควรมีวันหยุดเสียบ้าง” เสียงหวานบ่นพึมพำ กรงเล็บสีนิลสะอาดกรีดกรายผ่านริมฝีปากสีชาด การผัดหน้างดงามของนางจึงกลายเป็นเรื่องง่ายดาย นางหันไปกล่าวกับสามีที่เหยียบยืนบนพสุธาตามหลังนางมาไม่นาน“ปีศาจควรมีวันหยุดพักผ่อน”“ปีศาจไม่มีวันหยุด”“แล้วจะต้องเหน็ดเหนื่อยไปตลอดกาลเลยหรือ? แค่เฉพาะการบำรุงบำเรอใจสามีอสรพิษในภพภูมิปีศาจ ร่างของข้าแทบป่นเป็นเถ้าธุลี”“นับตั้งแต่เราส
“ย่อมได้ เมื่อใดก็ได้ทั้งนั้น เราจะไปเยี่ยมบิดาของเจ้าด้วยกัน เราสาม...” รับปากแล้วมือหนาพลันปลดเปลื้องอาภรณ์ กองหล่นบนพื้นไม้เป็นเงามัน เลื่อนสายตามองไปทั่วทุกอณูกายขาวผ่องงาม หน้าท้องแบนราบปรากฏกลุ่มอายสีดำวนเวียนอยู่เหนือสะดือสวยยินเฟิงเข้าใจภรรยาว่าคงไม่คุ้นชินกับร่างกายซึ่งค่อย ๆ กลายเป็นอสรพิษร้าย ที่มีความอิจฉาริษยาเช่นปีศาจสตรี นางใจร้อน ไม่โอนอ่อนตาม นางกำลังตั้งครรภ์ อารมณ์แปรปรวนไม่น้อยขณะมือเรียวลูบบ่ากว้างของบุรุษร่างกำยำ สตรีในอาภรณ์งดงามสีนิลปักทอด้วยลวดลายอสรพิษ เผยอริมฝีปากรับจูบอ่อนหวานของสามีจูบของนางกลับกลายเป็นเร่าร้อนเมื่อเขาเป็นฝ่ายริเริ่ม หลังมื้ออาหารในทุกเช้าค่ำ นางคืบคลานเข้าหา หากสามีไม่เป็นฝ่ายเปิดศึกสู้รับกับนางบนฟูกนอนยับเยิน พร่ำบอกคำรักด้วยการสานราคะ จนกว่าจันทราสีชาดจะลับคล้อยไปในความมืดของเมืองเหยียนในภพภูมิปีศาจ ซึ่งไม่เคยพบแสงตะวันเมื่อสะโพกกลมกลึงยกขึ้น บุรุษร่างกำยำถูกผลักติดกับหัวเตียงไม้สนแดง นางใช้พลังเวททั้งหมดบังคับให้เขาอยู่ใต้อาณัติ ลวดลายที่สลักอย่างงดงามเหล่านั้นกลายเป็นอสรพิษที่มีชีวิต เลื้อยไหลผ่านฟูกนอนและสองเรือนร่างที่สอดประสาน
“ท่านจะไม่สูญเสียข้าไป ส่วนข้าก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามท่าน ข้ามีความคิดว่า...” สองมือเรียวผลักอกสามีให้ออกห่างนาง นัยน์ตาสีชาดเบิดกว้างทอประกายชิงชัง “ทำลายใบหน้าหล่อเหลาของท่านเสีย น่าจะสิ้นเรื่องกระมัง”ไม่พูดเปล่า กรงเล็บสีนิลผงาดกางขึ้น ขณะดวงตาคู่สวยสีชาดสั่นไหวลังเล แม้ใจนางปรารถนาจะกรีดใบหน้าหล่อเหลาให้เสียโฉมนัก ด้วยความโง่เง่าของนาง ยังคิดว่าสมควรตัดเจ้ามังกรร้ายทิ้งไปให้หมดทั้งยวง เพราะคงมิใช่เพียงใบหน้าคมคาย บุรุษผู้นี้สามารถสรรค์สร้างความสำราญใจให้สตรีสามีเพียงจับข้อมือเล็ก ๆ ของนางไว้ จูบกรงเล็กและเขี้ยวขาวคมตรงมุมปากสีชาด“เก็บเขี้ยวเล็บของเจ้าไว้ขบกัดสามีจะดีกว่าไหมเล่า? ข้ายังมิได้ต้อนรับการกลับมาของเจ้าเลย ศิษย์ไป๋”แววตารุ่มร้อนทอประกาย จ้องมองแก้มแดงซ่านของภรรยา หลบเลี่ยงสายตาของเขาไปไป๋เหม่ยหลานอดกลั้นจิตใจ มองผ่านหน้าตาบานกว้างสลักลายอสรพิษและปีศาจ สุดสารพัดจะจินตนาการ ท้องนภาปรากฏดวงดาราทอแสงระยิบระยับ ไม่ต่างไปจากยามราตรีโลกมนุษย์ ทว่ากลางนภากว้างมีจันทราสีชาด ส่องสว่างงดงาม สะท้อนลงบนผืนน้ำสีนิลสะอาด------------บทสุดท้าย终章สามียินยอมพร้อมรับการจิกข่วนจากก
ในน้ำเสียงเศร้าหมองนั้น มือหนาเฝ้าลูบไล้ผิวกายนุ่มเนียน ละเอียดไปทั่วทุกอณู ซึ่งถูกหยุดอายุขัยไว้เพียงสิบเก้าปี ถึงแม้ว่าอารมณ์ราคะกำหนัดจะรุมเร้าอย่างหนัก เขาขยับอ้อมแขนกระชับกอดนางให้รู้สึกอุ่นปลายจมูกโด่งเป็นสันคมเฝ้าซุกไซ้หาความสำราญจากเรือนร่างนุ่มหอม ราวกับว่านางเป็นปั้นดิน แตกต่างที่นางยังคงเป็นนาง เป็นกลิ่นของนางยินเฟิงมีความเชื่อว่านางเพียงหลับใหลในนิทรา อันจะนำพาสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากที่พบเห็นว่านางพักผ่อนมากขึ้นเมื่อจำต้องต่อสู้กับพลังอาฆาตแค้นและราคะของปีศาจ นับตั้งแต่ปลูกถ่ายกระดูกเซียนให้นางบนโลกมนุษย์มาเจ็ดเดือนกว่า ครั้งสุดท้ายนั้นเป็นลูกแก้วอสรพิษนางควรลืมตาขึ้นในอีกไม่ช้า เขาจำต้องเฝ้ารอนางอย่างใจเย็น‘หากข้าเศร้าหมองใจ เจ้าคงเป็นทุกข์ไปด้วย เมื่อใดเจ้าลืมตาตื่น ก็ควรจะเป็นวันที่ดีของเจ้า ไป่ไป๋...’สตรีในอ้อมแขนเป็นผู้เดียวในทั่วทุกพรหมโลกที่ทำให้บุรุษร่างกำยำโศกศัลย์อาลัย เขาจ้องมองใบหน้างดงามนิ่งสงบเช่นเดิม มือหนาสะบัดไปมาในอากาศ ปรากฏผ้าผืนใหญ่สีนิลสนิท ห่มคลุมเรือนกายอรชรมิดชิด ร่างกายของนางเย็นเฉียบราวเหมันต์ ผ่อนลมหายใจเข้าออกแผ่วเบา“อื้อ...”
เมื่อมองอีกครั้งหนึ่งงูเหล่านั้นกลับกลายเป็นสีนิลสนิท ในห้วงฝันนางพบสตรีในอาภรณ์งดงามหัวเราะร่าเริง นางมีใบหน้างดงามอ่อนหวาน‘โอ้... ไป๋เหม่ยหลาน... ศิษย์ไป๋ของท่านเหลือเพียงโครงกระดูก’‘ท่านอาจารย์จะยอมลืมเลือนเรื่องราวระหว่างท่านและนางหรือ?’สตรีอสรพิษคลับคล้ายคลับคลาที่นางเคยพบจากโถดึงความทรงจำ แลเห็นอาจารย์ยินเฟิงในสภาพน่าอดสู ร่างกายผ่ายผอมเหลือเพียงหนังติดกระดูก ล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้น ทำร้ายหัวใจดวงน้อย ๆ ของนางนักนางได้ยินทั้งสองยื่นข้อเสนอต่อรอง ซึ่งสำหรับอาจารย์ยินเฟิงขอเพียงจดจำนางไว้ในห้วงความทรงจำ หากเป็นไปได้ก็จะออกตามหานางสุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่เข้าใจ...ไยท่านอาจารย์ไม่ลืมนางไปเสีย เมื่อมีวาสนาต่อกันย่อมได้กลับมาพบกันอีกในภพหน้า เขากลับยอมกลายเป็นอสรพิษ เพื่อเก็บความทรงจำระหว่างอาจารย์-ศิษย์ เพื่อให้ได้กลับมาครองคู่นางอย่างสามีภรรยา...---------------ยินเฟิงคงไม่อยู่รอพบหมอหลวงจากราชสำนัก เพียงรอท่านโหวผู้มาเยี่ยมเยียนบุตรสาว ก่อนที่จะหันหลังกำมือแน่นแล้วเดินจากไปฉางผิงโหวรู้แก่ใจดีว่าวันนี้จะมาถึงในสักวัน ไม่สามารถรั้งบุตรสาวซึ่งไม่ใช่บุคคลบนโลกมนุษย์เอาไว้ได้ นาง







