ผงยาของอวิ๋นฝูหลิงประสิทธิภาพสูงกว่าที่เฉิงชงใช้ก่อนหน้านี้ ซึ่งรุนแรงมากกว่าหลายเท่าแม้ว่าเฉิงชงจะสูดหายใจเข้าไปเพียงเล็กน้อย ทั้งร่างกลับเป็นอัมพาต ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เมื่อเฉิงชงตอบสนองออกมา ก็คิดจะกลั้นหายใจโดยพลัน พลางถอยหลังหลบเลี่ยงผงยาเหล่านั้นไปหลายก้าว แต่ก็สายเกินไปแล้วก่อนที่เขาจะรู้ตัว ก็สูดผงยาเหล่านั้นเข้าไปบ้างแล้วแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะเกิดผลยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่เหมือนกับอวิ๋นฝูหลิง ร่างกายไม่ได้รับการชำระล้างจากหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณ สำหรับอวิ๋นฝูหลิงแล้วทั้งยาพิษและยาสลบธรรมดา ล้วนไม่มีผลแม้แต่น้อยไม่นานเฉิงชงก็รู้สึกว่าร่างกายชาหนึบ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เรี่ยวแรงทั้งร่างราวกับถูกคนสูบไปจดหมดอวิ๋นฝูหลิงแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งครั้ง และเตะไปที่ร่างของเขาหลังจากเตะเขาเสร็จแล้ว ก็รู้สึกว่ายังระบายอารมณ์ไม่พอ จึงเตะไปอีกหลายครา“คนเช่นเจ้าต่อให้ตายนับสิบนับร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม!”เฉิงชงข่มกลั้นความเจ็บปวดของร่างกาย สายตาที่มองอวิ๋นฝูหลิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นในความโกรธเกรี้ยว ยังมีความเสียใจปนอยู่หลายส่วนเดิมทีเขาคิดว่าทุกอย่างอยู่ในการควบค
เซียวจิ่งอี้คิดได้ว่ามีหญิงตั้งครรภ์หายตัวไปถึงเจ็ดคน ทว่ายามนี้กลับหาเจอเพียงสองคน ส่วนอีกห้าคน เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายมากกว่านี้เสียแล้วเขายกมือชี้ไปทางเฉิงชงที่ถูกมัด และพูดกับชิวหมิงต๋าว่า “คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังคดีลักพาตัวหลายคดีก็คือเขา”“ใต้เท้าชิว คนผู้นี้ขอส่งให้ท่าน ไต่สวนโดยละเอียดด้วย”“หญิงตั้งครรภ์อีกห้าคนที่หายตัวไป ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ก็ต้องไต่สวนให้ได้ความ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เคราะห์ร้าย!”ชิวหมิงต๋ามองไปทางที่เซียวจิ่งอี้ชี้ จึงเพิ่งสังเกตเห็นเฉิงชงที่ถูกมัดไว้เขาเบิกตากว้างอย่างตกใจโดยพลัน “หมอ...หมอหลวงเฉิง!”ชิวหมิงต๋าไม่เคยคาดคิดเลยว่า ผู้ร้ายตัวจริงในคดีลักพาตัวหลายคดีจะเป็นเฉิงชงในสายตาคนนอก เฉิงชงเป็นผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์เกิดมาในสกุลแพทย์ เป็นผู้นำที่สืบทอดสกุลเฉิง และทำหน้าที่เป็นรองเจ้าสำนักหมอหลวงฝ่ายซ้ายมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะกลายเป็นเจ้าสำนักหมอหลวง ซึ่งมีอนาคตที่สดใสใครจะคิดว่าคนเช่นนี้ กลับมีจิตใจโหดเหี้ยม ลักพาตัวหญิงตั้งครรภ์หลายคนเพื่อมาทำการทดลองผ่าท้องคลอดเซียวจิ่งอี้ส่งมอบคดีให้ผู้ตรวจการเมืองรับผิดชอบ และพาอวิ๋นฝูหลิงออ
แม้อวิ๋นฝูหลิงจะคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าเกรงว่าหญิงตั้งครรภ์ทั้งห้าคนคงจะประสบเคราะห์ร้ายอย่างหนัก และมีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่จะตายแล้วแต่หลังจากได้รับการยืนยัน ในใจอวิ๋นฝูหลิงก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่งทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าคนสมควรตายเฉิงชง!นางกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ถูกหั่นเป็นชิ้นจนตายยังน้อยไปสำหรับเขา!”เมื่อความจริงเรื่องคดีการหายตัวไปของหญิงตั้งครรภ์ถูกเปิดเผย ก็ทำให้คนในเมืองหลวงเกิดความโกลาหลขึ้นทันทีครอบครัวของหญิงตั้งครรภ์ทั้งห้าคน ก็ยิ่งโศกเศร้าเป็นอย่างมากการที่ในครอบครัวมีหญิงตั้งครรภ์ เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งยวดขณะที่กำลังจะได้มีสมาชิกครอบครัวเพิ่มขึ้น ใครจะรู้ว่ากลับต้องมาประสบเคราะห์ร้ายที่คาดไม่ถึงแม้ฆาตกรจะถูกจับตัว และตัดสินโทษประหารด้วยการหั่นเป็นชิ้นแล้ว แต่สำหรับครอบครัวของเหยื่อ ก็ยังรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่งเฉิงชงถูกขังอยู่ในคุกหลวง ซึ่งพวกเขาไม่แม้แต่จะมองเห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจัดการเขาเลยความโกรธแค้นของเหล่าครอบครัวเหยื่อ ล้วนพุ่งตรงมายังสกุลเฉิงที่หน้าประตูสกุลเฉิงถูกโยนอุจจาระ ผักเน่า และไข่เน่าถึงขั้นที่สมาชิกสกุลเฉิงบางคนเมื
ด้วยเหตุนี้งานเลี้ยงอายุครบเดือนในจวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน จึงมีผู้คนคับคั่งและมีชีวิตชีวาอย่างถึงที่สุดทันทีที่อวิ๋นฝูหลิงมาถึง ฮูหยินฉู่ก็มาต้อนรับด้วยตัวเอง และพานางไปยังสวนด้านหลังจวนเซียวจิ่งอี้พูดคุยกับฉู่หมิงอยู่ที่ลานด้านหน้าจวนแขกที่มาถึงสวนด้านหลังจวนก่อนเมื่อเห็นว่าฮูหยินฉู่ไปต้อนรับอวิ๋นฝูหลิงด้วยตัวเอง ก็เข้าใจได้ทันทีว่าสกุลฉู่ให้ความสำคัญกับอวิ๋นฝูหลิงมากอวิ๋นฝูหลิงได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับแขกผู้ทรงเกียรติอวิ๋นฝูหลิงไปพบฮูหยินน้อยฉู่ก่อนตามหลักแล้วฮูหยินน้อยฉู่ควรจะออกจากช่วงพักฟื้นหลังคลอดได้แล้ว แต่อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางได้รับการผ่าตัดมา จึงเสียเรี่ยวแรงและเลือดไปไม่น้อยยิ่งไปกว่านั้นนางยังตั้งท้องลูกแฝด ดังนั้นจึงแนะนำให้นางอยู่ไฟสองรอบอาศัยช่วงที่กำลังพักฟื้น บำรุงร่างกายให้ดีเสียหน่อยสกุลฉู่กับจวนคังจวิ้นอ๋องต่างก็ฟังคำแนะนำของอวิ๋นฝูหลิง และให้ฮูหยินน้อยฉู่อยู่ไฟสองรอบทว่าวันนี้มีงานเลี้ยงฉลองอายุครบเดือน ฮูหยินน้อยฉู่จึงได้อาบน้ำแต่งตัว ออกมาพบแขกเหรื่อหลังจากผ่านวันนี้ไป นางก็ยังต้องไปพักฟื้นหลังคลอดต่อทุกคนเห็นฮูหยินน้อยฉู่ยังยืนมีชีวิตอยู่
อวิ๋นฝูหลิงเห็นท่าทางอิจฉาเป็นอย่างยิ่งของพระชายาองค์ชายห้า ก็เอนตัวเล็กน้อยไปตรงหน้าพระชายาองค์ชายห้าทันที และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากพี่สะใภ้ห้าอิจฉา ไม่สู้เปลี่ยนวันให้ข้าไปตรวจชีพจรท่าน และสั่งยาบำรุงร่างกายให้ท่านดีหรือไม่?”“ข้าไม่กล้ารับปากว่าจะมีลูกแฝด แต่หากเป็นเด็กอีกสองคน น่าจะไม่มีปัญหา”ปีนี้พระชายาองค์ชายห้าอายุเพิ่งจะยี่สิบสามปี ร่างกายกำลังเหมาะกับการคลอดบุตรพระชายาองค์ชายห้าหวั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้นางมีเพียงเซียวลี่เป็นลูกชายคนเดียว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเหงาอยู่บ้างหากสามารถตั้งครรภ์ได้อีกครา ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนดีทั้งนั้นหากเป็นลูกชาย ในภายภาคหน้าเซียวลี่ก็จะได้มีพี่น้องที่พึ่งพาช่วยเหลือกันได้หากเป็นลูกสาว ก็เรียกได้ว่าเป็นสิริมงคล นางก็นับว่ามีทั้งลูกชายและลูกสาวครบถ้วนแล้วพระชายาองค์ชายห้าตัดสินใจในใจทันทีว่า หลังจบงานเลี้ยง นางจะให้อวิ๋นฝูหลิงตรวจชีพจรให้นางพระชายาองค์ชายห้าใช้พัดปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง พลางจับมืออวิ๋นฝูหลิงอย่างอ่อนโยน โน้มตัวไปกระซิบข้างหูนางว่า “เจ้าไม่อิจฉาหรือ?”“จะว่าไปยามนี้เจ้ากับน้องเจ็ดก็มีเพียงจิงมั่วคนเดียว เมื่อ
พระชายาองค์ชายสามแอบรู้สึกตกใจ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอ นางจะสามารถทำยาบำรุงผิวก็มิใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่โอสถพรรณหยกที่มีคุณภาพดีถูกทำด้วยฝีมือของอวิ๋นฝูหลิงเอง ในใจพระชายาองค์ชายสามจึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างเนื่องจากการต่อสู้แต่งชิงบัลลังก์ องค์ชายสามกับเซียวจิ่งอี้จึงถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกันนางมีฐานะเป็นพระชายาองค์ชายสาม ย่อมต้องอยู่ข้างองค์ชายสามเป็นธรรมดายิ่งไปกว่านั้นเซียวจิ่งอี้ยังรักใคร่เพียงอวิ๋นฝูหลิงผู้เดียว ไม่รับพระชายารอง นี่ทำให้ในใจพระชายาองค์ชายสามเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกต่ออวิ๋นฝูหลิงนางบอกไม่ได้ว่าเป็นความอิจฉา ริษยา หรือเป็นสิ่งใดเมื่อคิดว่าโอสถพรรณหยกเป็นของที่อวิ๋นฝูหลิงทำ พระชายาองค์ชายสามก็ไม่อยากใช้อีกต่อไปทว่าแม้จะไม่ใช้จริง ๆ นางก็ไม่อยากยอมปล่อยของที่ดีถึงเพียงนี้ไปเพียงชั่วขณะหนึ่ง ในใจก็เกิดความขัดแย้งขึ้นอวิ๋นฝูหลิงไม่สนใจว่าพระชายาองค์ชายสามคิดอย่างไรในใจพระชายาองค์ชายห้าได้ใช้วิธีส่งสินค้าให้ทดลองใช้ ทำให้ชื่อเสียงของโอสถพรรณหยกโด่งดัง จนมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยอวิ๋นฝูหลิงฉวยโอกาสนี้ ประกาศข่าวว่าพวกนางกำลังจะเปิดร้านใหม่
อวิ๋นฝูหลิงส่ายหน้าน้อย ๆ ให้เหยากวง บอกเป็นนัยว่าไม่ให้นางบุ่มบ่ามอวิ๋นฝูหลิงกลับอยากฟังนักว่า ในปากสุนัขของคนพวกนี้ยังจะพ่นอะไรออกมาได้อีกบ้างจู่ ๆ ฉยงอวี้จวิ้นจู่ก็เดินออกมาจากอีกฝั่งอย่างไม่มีใครคาดคิด นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “อวิ๋นฝูหลิงคู่ควรเป็นพระชายาอี้อ๋องหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พวกเจ้าไม่กี่คนจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือ?”“การสมรสนี้ได้รับพระราชทานจากไทเฮาและฝ่าบาท”“หรือว่าพวกเจ้าจะสงสัยไทเฮากับฝ่าบาท?”ชัดเจนว่าฉยงอวี้จวิ้นจู่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นที่พวกนางพูดไปก่อนหน้านี้ทันทีที่ฉยงอวี้จวิ้นจู่เปล่งวาจา ดรุณีทั้งสามนางพลันหน้าเปลี่ยนสีสตรีแรกรุ่นที่ใส่ชุดสีเขียวอมฟ้าและสีเหลืองผลซิ่งในบรรดาพวกนางทั้งสามรีบคุกเข่าน้อมรับผิด ยอมรับผิดร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าส่วนสตรีแรกรุ่นผู้สวมชุดสีแดงอิงฮวาแม้ว่าใบหน้าจะขาวซีด ทว่ายังคงเชิดหน้า ความโอหังฉายชัดออกมาจากดวงหน้า“ฟางฉยงอวี้ เลิกดึงไทเฮากับฝ่าบาทมาข่มขู่ผู้อื่นได้แล้ว!”“พวกข้าพูดถึงอวิ๋นฝูหลิง แล้วมันไปเกี่ยวข้องกับไทเฮาและฝ่าบาทเมื่อไรกัน?”“หรือว่าที่พ่อแม่ของอวิ๋นฝูหลิงตายมิใช่เรื่องจริง? ข้าว่านางเป็
ชุยหย่าจิ้งทั้งโกรธทั้งขุ่นเคือง ใบหน้าแดงก่ำไปหมด“ฟางฉยงอวี้ พวกข้าไม่ได้พูดถึงเจ้า ไยเจ้าจักต้องเจ้ากี้เจ้าการเป็นเดือดเป็นร้อนด้วย?”ฉยงอวี้จวิ้นจู่จัดเส้นผมที่ปรกอยู่บนหน้าผาก แล้วกล่าวอย่างองอาจเล็กน้อย “เพราะพวกเจ้าเสียงดังรบกวนข้า ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์!”ฉยงอวี้จวิ้นจู่กวาดสายตามองพวกชุยหย่าจิ้งทั้งสามคนทีละคน ๆดรุณีในชุดสีเขียวอมฟ้าและชุดสีเหลืองผลซิ่งตัวสั่นงันงก พยายามทำให้ตัวเองโดดเด่นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ชุยหย่าจิ้งคิดว่าฉยงอวี้จวิ้นจู่จงใจหาเรื่อง พลันเดือดดาลยิ่งกว่าเดิมนางไม่ถูกโฉลกกับฉยงอวี้จวิ้นจู่มาตั้งแต่เด็ก ความสัมพันธ์ของพวกนางสองคงไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไรขณะที่ชุยหย่าจิ้งกำลังจะต่อว่ากลับไป ใครจะไปคิดว่าฉยงอวี้จวิ้นจู่กลับรีบเอ่ยเปล่าขึ้นมาอีกครั้งว่า“ชุยหย่าจิ้ง อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ทันแผนการเจ้าเล่ห์ของเจ้านะ”“อวิ๋นฝูหลิงไม่คู่ควรกับอี้อ๋อง แล้วใครคู่ควร เจ้าหรือ?”“อย่าฝันกลางวันไปหน่อยเลย อี้อ๋องไม่ชอบเจ้าหรอก เจ้าเองก็ไม่อาจแต่งกับเขาได้ด้วย!”“สำหรับข้าแล้ว อวิ๋นฝูหลิงแกร่งกว่าเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า”“เจ้ารู้จักแต่เรื่องพูดจานินทาลับหลังผู้อื
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ