ตระกูลขุนนางใหญ่อย่างสกุลเวิน มีทาสนับร้อยคนอยู่แล้วในบรรดานั้นมีคนสกุลเยว่ส่วนหนึ่งปะปนเข้ามา ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาดูท่าทุกคนในสกุลเวิน จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดสักคราหนึ่งแล้วเซียวจิ่งอี้มองเทียนเฉวียน “เจ้านำคำสารภาพเหล่านี้ไปให้เวินจือเหิงดูเสีย”“ในเมื่อเขาคิดจะตัดญาติผดุงคุณธรรม ปกป้องสมาชิกสกุลเวินคนอื่นไว้ ย่อมต้องรู้ว่าควรทำอย่างไร!”เทียนเฉวียนตอบรับเสียงหนึ่ง และหยิบคำสารภาพเหล่านั้นออกไปหลังจากเทียนเฉวียนออกไป เซียวจิ่งอี้ก็หยิบปากกาขนนกขึ้นมา จากนั้นก็เขียนจดหมายยื่นให้ไคหยาง“ส่งไปที่หอจินอวี้ มอบให้เทียนเสวียน”“ทางฝั่งหอจินอวี้สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว”หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน พวกราชครูที่หลบซ่อนอยู่ในหอจินอวี้ ก็รู้สึกกระสับกระส่ายกันขึ้นมาแล้วเพียงแต่น่าเสียดายที่คนแคว้นเยว่เหล่านั้นที่จับได้ ต่างไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของราชครูเลยไม่เช่นนั้นคงสามารถให้อวิ๋นฝูหลิงวาดภาพเหมือน ไปจับคนที่หอจินอวี้ตามภาพเหมือนได้แล้วยามนี้ทำได้เพียงหาวิธีอื่นเท่านั้นไคหยางรับจดหมายมา กำลังจะออกไป ก็ได้ยินเซียวจิ่งอี้พูดอีกครั้งว่า “หลังจากส่งจดหมายถึงมือเทียนเสว
คิด ๆ แล้วเจตนาของการที่อี้อ๋องให้คนนำคำให้การไม่กี่แผ่นเหล่านั้นมาให้เขานั้น ก็น่าจะต้องการให้เขาร่วมมือ ตรวจสอบเจ้านายแลบ่าวไพร่ทั้งตระกูลเวิน แล้วลากคนเผ่าเยว่ที่แอบแฝงอยู่ในตระกูลเวินพวกนั้นออกมาครั้นเวินจือเหิงมีความคิดนี้อยู่ในใจ จึงรีบให้คนไปนำสมุดบัญชีรายนามของตระกูลเวินมาทันทีจากการตรวจสอบกับสมุดบัญชีรายนามทีละคน ๆ แน่นอนว่าทำให้ตรวจสอบเจ้านายแลบ่าวไพร่ของตระกูลเวินได้อย่างชัดแจ้ง ลากคอพวกคนเผ่าเยว่พวกนั้นออกมาได้ทีละคน ๆหอจินอวี้คนในหอถูกขังไว้ทั้งคืน ครั้นเห็นว่าฟ้าสว่างแล้ว แม้จะเป็นคนที่สงบเสงี่ยมเหล่านั้น ก็ยังอดกระสับกระส่ายขึ้นมาไม่ได้“นี่จะขังพวกเราไว้ถึงเมื่อไรกัน?”“วันนี้ข้ายังต้องไปทำงานอยู่นะ!”“วันนี้ข้าเองก็ต้องไปพูดคุยเรื่องการค้านะ!”“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทำให้พวกเราเสียการเสียงาน แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบความเสียหายพวกนี้?”“ใช่ๆ...”ในชั่วขณะนั้น เสียงประณามว่ากล่าวดังระงมไปทั่วหอจินอวี้จอมปราชญ์เหวินเห็นดังนั้น จึงรีบให้คนเข้าไปเติมเชื้อไฟ ยุยงปลุกปั่นอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนทันทีแม้ว่าทหารหลวงด้านนอกหอจินอวี้จะมีมาก ทว่านักพนันในหอจินอวี้แ
ขณะที่ทางจอมปราชญ์เหวินกระซิบใส่หูของคนใต้บังคับบัญชา ทางไคหยางก็เร่งรุดมาถึงหอจินอวี้เขานำสาส์นลับที่เซียวจิ่งอี้เขียนด้วยตนเองมอบให้เทียนเสวียน“ท่านอ๋องตรัสว่าลงมือทางหอจินอวี้ได้เลย”เทียนเสวียนรับสาส์นลับมาอ่านเรื่องที่เซียวจิ่งอี้มอบหมายมาในสาส์นลับมีทั้งหมอสามเรื่องเรื่องแรกคือ ราชครูเผ่าเยว่แฝงตัวอยู่ในหอจินอวี้ จำต้องจับตาดูให้ดีเรื่องต่อมาคือ ค้นตัวคนในหอจินอวี้ทั้งนายแลบ่าวไพร่ หากพบคนที่มีสัญลักษณ์จันทร์ครึ่งเสี้ยวของเผ่าเยว่ติดกาย ให้คุมตัวไว้โดยไม่มีข้อยกเว้น คนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องให้พิจารณาปล่อยตัวออกไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้จึงบรรเทาความรู้สึกขัดแย้งของผู้คนในหอจินอวี้ไปได้เรื่องสุดท้ายคือ คิดหาวิธีล่องูออกจากถ้ำเวินเจาไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของราชครู่ผู้นั้น ต่อให้ยามนี้เขาจะอยู่ในหอจินอวี้ แฝงกายปิดบังโฉมหน้าอยู่ในกลุ่มนักพนันมากมายเหล่านี้ ทว่าคนของเซียวจิ่งอี้ก็ไม่อาจแยกแยะออกได้เช่นนี้แล้ว จึงไม่สู้ใช้แผนล่องูออกจากถ้ำ วางแผนให้ท่านราชครูผู้นั้นเผยความจริง แล้วกระโดดเข้าไปในหลุมพรางของเซียวจิ่งอี้ที่วางไว้ให้เขาด้วยตนเองถูกขังมาทั้งคืน ตัดขาดก
เพลิงไหม้ครานี้ทำให้เทียนเสวียนคาดไม่ถึงประจวบเหมาะกับที่ยามนี้อยู่ในฤดูกาลที่อากาศแห้งแล้ง เพลิงไหม้ในหอจินอวี้ลุกลามเร็วยิ่ง แทบจะเพียงพริบตาเดียวก็ลุกลามไปถึงชั้นสองแล้วเทียนเสวียนเข้าใจดีว่าไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปมากกว่านี้เทียบกับการจับตัวราชครูเผ่าเยว่แล้ว ความปลอดภัยของประชาราษฎร์ในยามนี้ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดขืนพวกเขาโอบล้อมสกัดกั้นต่อไป ไม่ยอมให้คนในหอจินอวี้หนีจาก เช่นนั้นก็เท่ากับว่าบีบบังคับให้พวกเขาถูกเพลิงเผาไหม้ทั้งเป็นมองดูคนในหอจินอวี้คร่าวๆ แล้ว ก็มีไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยชีวิตชีวิตผู้คนมากมายขนาดนี้ หากวันนี้ต้องมาสังเวยชีพอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่เขาที่ล้มเหลวในหน้าที่เท่านั้น แต่จะกลายเป็นรอยด่างพร้อยที่อี้อ๋องไม่มีวันชำระล้างออกไปได้อีกด้วยไม่เพียงแต่มนตรีตรวจสอบในราชสำนักจะกล่าวโทษว่าอี้อ๋องมีความผิดโทษฐานเพิกเฉยต่อชีวิตประชาราษฎร์เท่านั้นองค์ชายพระองค์อื่นๆ ก็จะฉวยโอกาสซ้ำเติม เหยียบย่ำอี้อ๋องเต็มที่กระทั่งฝ่าบาทก็ยังทรงต้องผิดหวังต่ออี้อ๋องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เทียนเสวียนอยู่กับอี้อ๋องมานานหลายปีขนาดนี้ ย่อมรู้จักนิสัยใจคอของ
ขณะที่จอมปราชญ์เหวินกำลังครุ่นคิด ในใจเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้วการที่เขาออกไปได้โดยสวัสดิภาพต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้แค่สตรีนางหนึ่ง เขาย่อมไม่เก็บมาใส่ใจอยู่แล้วโดยเฉพาะสตรีนางนี้ที่บัดนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีประโยชน์ต่อเขาแล้วแม้แต่น้อย กลับยังจะกลายเป็นภาระเขาเสียด้วยซ้ำไปการที่จอมปราชญ์เหวินคิดจะทอดทิ้ง จึงยิ่งสมเหตุสมผลทว่าพอนึกถึงว่าอวี้จูอยู่ข้างกายเขากับเวินเจามานาน รับรู้ความลับไม่น้อยแม้ว่าคนเช่นนี้จะถูกเขาทอดทิ้ง แต่ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้!ในใจจอมปราชญ์เหวินเกิดความคิดสังหารคนขึ้นมาในชั่วพริบตาจอมปราชญ์เหวินหยุดฝีเท้า แล้วหมุนกายหันหลังอวี้จูเดินกระหืดกระหอบตามมาได้ทัน ครั้นเห็นจอมปราชญ์เหวินดูเหมือนเกิดมีใจคิดจะรอนางขึ้นมา ความอบอุ่นสายหนึ่งพลันเอ่อล้นขึ้นมาในใจอย่างอดไม่ได้หรือว่าที่จริงแล้วเขาก็มีความรักความห่วงใยให้นางอยู่บ้างเหมือนกัน?ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ อวี้จูจึงรู้สึกภูมิใจขึ้นมาในใจอีกครั้งวีรบุรุษยากจะผ่านด่านสตรีงามแม้แต่ท่านราชครูผู้สูงส่งเหนือปวงชน ก็ยังต้องหมอบราบคาบแก้วอยู่ใต้กระโปรงของนางทว่าชั่วพริบตาถัดมา อวี้จูพล
เซียวจิ่งอี้ได้สติในชั่วพริบตา ลุกขึ้นนั่งทันที “อะไรนะ?”ในใจเทียนเฉวียนรู้ว่าเทียนเสวียนจัดการล้มเหลวไม่เป็นท่า ทว่าก็ไม่กล้าช่วยเขาปิดบังหรือชี้แจง ทำได้เพียงรายงานไปตามความจริง “หอจินอวี้เกิดเพลิงไหม้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เปลวเพลิงโหมรุนแรง เทียนเสวียนกำลังนำคนดับไฟขอรับ!”“คนในหอจินอวี้วุ่นวายโกลาหล พากันหนีออกด้านนอก เทียนเสวียนกลัวว่าจะเกิดการสูญเสียชีวิต และกระตุ้นให้ชาวบ้านพากันลุกฮือ ก็เลยไม่กล้าขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ต่อ”เซียวจิ่งอี้เข้าใจดีว่าสิ่งที่เทียนเสวียนทำนั้นถูกต้องแล้วในสถานการณ์เช่นนั้น ราชครูเผ่าเยว่ไม่อาจสำคัญไปกว่าชีวิตของเหล่าชาวประชาครั้งนี้จับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นไม่ได้ ภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีกทว่าหากประชาชนต้องสิ้นชีพในทะเลเพลิงเพราะเขาเป็นต้นเหตุละก็ คนตายย่อมไม่อาจฟื้นคืนมาได้!“ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ให้ช่วยเหลือประชาชนเต็มกำลัง ทุกอย่างต้องให้ประชาชนมาก่อน!”“ขอรับ!” เทียนเสวียนขานรับ รีบให้คนถ่ายทอดคำสั่งนี้แก่เทียนเสวียนทันทีครั้นเซียวจิ่งอี้นึกถึงเรื่องที่อยู่ ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นมา ก็ขมวดคิ้วแน่นเป็นปมถึงยามนี้จะอยู่ในฤดูกาลที่อากาศแ
เทียนเสวียนเหลือบมองสีหน้าของเซียวจิ่งอี้ ก่อนจะรายงานต่อ“ทว่ามีคนได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ส่วนใหญ่สูดควันเข้าไป และมีบาดแผลไฟไหม้เล็กน้อย”“มีเพียงสองคนที่ได้รับบาดแผลไฟไหม้ค่อนข้างหนัก จึงส่งไปรักษาที่สำนักผิงอันแล้วขอรับ”เมื่อเซียวจิ่งอี้รู้ว่าไม่มีใครเสียชีวิตเพราะเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ สีหน้าที่แสดงออกบนใบหน้าก็อ่อนลงเล็กน้อยนับว่าโชคดีที่อวิ๋นฝูหลิงมาถึงที่เกิดเหตุพอดี และรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเพลิงไหม้ครั้งนี้ได้ทันเวลา จึงไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุดเขามองไปรอบด้าน ทว่ากลับไม่เห็นเงาร่างของอวิ๋นฝูหลิง“พระชายาเล่า?”เทียนเสวียน “พระชายากับผู้ที่บาดเจ็บสาหัสสองคนนั้น ไปที่สำนักผิงอันด้วยกันขอรับ”เซียวจิ่งอี้ได้ยินก็พยักหน้า โดยไม่ได้พูดอันใดทางด้านผู้บาดเจ็บมีอวิ๋นฝูหลิงอยู่ คงยังไม่มีปัญหาอันใดไประยะหนึ่งหลังจากนั้นเขาจะจ่ายค่าชดเชยก้อนหนึ่งให้เหล่าผู้บาดเจ็บที่เป็นคนบริสุทธิ์ ความไม่พอใจของผู้คนจะได้สงบลงเซียวจิ่งอี้หันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้าอีกครั้งเขามองหอจินอวี้ที่ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นซาก และถามว่า “การสืบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?”เที
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ