“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมจะรีบจัดการทุกสิ่งให้ถูกต้องอย่างแน่นอน” กุนซือหนุ่มรีบออกตัว มู่เลี่ยงหรงไม่ใช่คนโง่จึงสามารถยุติเหตุอันขายหน้านี้ได้โดยไม่เสียหน้าเท่าใดนัก ยอมรับว่าเขาก็เริ่มไม่สนุกแล้ว“ดี” มู่เลี่ยงหรงรู้ว่าวันนี้ตนประมาทเกินไป เกือบจะเสียท่าให้เจ้าจิ้งจอกเงินหยามเกียรติ เขาไม่มีทางทำให้ตนเองน่าสมเพชด้วยการแสดงความเกรี้ยวกราดต่อหน้าเหล่าขุนนางแน่ อย่างน้อยครานี้ก็ยังพลิกสถานการณ์กลับมาได้“ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว ข้าก็จะได้ดื่มสุราต่อเสียที” ฮ่องเต้ทรงพระสรวล ลอบยินดีในใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน พระองค์หันหันไปส่งสัญญาณให้หลิวกงกง“ฉินอ๋องมู่เลี่ยงหรงและเยี่ยนเยว่ฉีรับราชโองการ ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาพระราชทานสมรส ให้เยี่ยนเยว่ฉีแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง โดยกำหนดให้หมั้นหมายเอาไว้ก่อน เมื่อฤกษ์ดีจึงจัดงานได้ จบราชโองการ”“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” มู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนเยว่ฉีคุกเข่ารับราชโองการด้วยสีหน้าที่ต่างกันมู่เลี่ยงหรงลุกขึ้นพลางเหลือบมองเยี่ยนเยว่ฉีด้วยแววตาลึกสุดหยั่ง เขาไม่ได้พูดอะไรกับนางอีก เสียงผู้คนยินดีรอบข้างก็มิได้เข้าไปในโสต ชายหนุ่มเพียงยิ้ม
มู่เลี่ยงหรงปกติเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ไม่เคยเผยจุดอ่อนให้ผู้ใดเห็น มีเรื่องไม่กี่เรื่องที่ทำให้เขาทุกข์ใจ นานมากแล้วที่ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกว่าโดนคนเล่นงานจนย่ำแย่ ซ้ำเขายังเคยเห็นการขอแต่งงานเป็นเรื่องไร้สาระอีกด้วย“เซียนเอ๋อร์...ข้าขอให้เจ้าช่วยได้หรือไม่” เขาพูดเสียงเบา ราวกับกำลังจะหมดแรง“ไหนว่าวันนี้ไม่ต้องการเซียนเอ๋อร์อย่างไรเล่า” นางถามผู้ชายตัวโตที่หยิ่งใส่ตนเมื่อครู่“ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่ แต่ตอนนี้คิดว่าคงจะดีกว่าถ้าข้าสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว” เขาอ้อนวอนด้วยเสียงอันสั่น “ข้าเกลียดความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ คงมีเพียงเจ้าที่จะช่วยได้”“เมื่อครู่ท่านเลี่ยงหรงเกอเกอพูดเหมือนจะไล่เซียนเอ๋อร์เสียด้วยซ้ำ” นางแสร้งหันไปทางอื่นทำเป็นแง่งอน“เช่นนั้นไม่ต้องก็ได้ เกือบลืมไปว่าเจ้าเข้าพิธีปักปิ่นไปแล้ว ตอนนี้ย่อมไม่ใช่นางฟ้าน้อยของข้าอีกต่อไป” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงเอนกายพิงไปกับผนังรถม้า“แหม เซียนเอ๋อร์ก็พูดไปอย่างนั้นเอง หากไม่ยินยอมพร้อมใจคงไม่ขึ้นรถม้ามากับท่านหรอกเพคะ” น้ำเสียงนางอ่อนลงด้วยเป็นห่วงเขา“เซียนเอ๋อร์...เด็กดีมานี่มา” ท่านอ๋องหนุ่มหันกลับมาหานาง พร้อมยิ้มบาง
“พี่ใหญ่ขอถามอีกครั้ง เจ้าเต็มใจแต่งงานกับท่านอ๋องหรือไม่”“กะ...ก็เต็มใจอยู่เจ้าค่ะ ฉีเอ๋อร์ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับบุรุษใดมาก่อน” ใบหน้าของเยี่ยนเยว่ฉีฉาบไปด้วยสีแดงระเรื่อ “เพียงยังไม่มั่นใจว่าเขาจะเอ็นดูเพียงฉีเอ๋อร์ผู้เดียว ก็เลยต้องการจะประวิงเวลาออกไปก่อน ส่วนพี่รองยืนยันว่าวิธีนี้จะทำให้ท่านอ๋องไม่ทอดทิ้งฉีเอ๋อร์อย่างแน่นอน”เยี่ยนหยางจงส่ายศีรษะ เยี่ยนจิ้นหลิงถึงกับใช้ความรู้สึกของสตรีที่กำลังตกอยู่ในห้วงรักเป็นเครื่องมือ แต่ก็อดที่จะนึกสงสัยไม่ได้ว่าฉินอ๋องไปทำอะไรให้น้องชายของเขาอาฆาตกัน เจ้าจิ้งจอกตัวร้ายถึงได้ลงมือเปลี่ยนแผนที่คุยกันไว้โดยไม่บอกกล่าว ความจริงหลังจากน้องชายกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาหารือเรื่องนี้ เขากับบิดาก็เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะต้องแต่งงานเพื่อตระกูล แต่พอเกิดเรื่องวุ่นวายในงานเลี้ยง ดูเหมือนท่านพ่อจะยินดีที่การแต่งงานของบุตรสาวคนโปรดต้องถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดสุดท้ายแล้วน้องชายผมสีเงินหน้าตายของเขา ก็คงไม่ถูกท่านพ่อลงโทษที่ทำอะไรโดยพลการ“เอาเถิด พี่ใหญ่คิดว่าจิ้งจอกของเรานอกจากหมายใจจะกลั่นแกล้งผู้อื่นแล้ว เขาคงมีเหตุผลอื่นปะปนอยู่ด้วย
ยามนี้อารมณ์สับสนปนเปที่อัดแน่นในหัวใจได้รับการเยียวยา สมองโล่งปรอดโปร่งดั่งฟ้ากระจ่าง แต่เขารู้สึกว่าตนเองยังมึนเมาอยู่เล็กน้อยจึงเดินลมปราณเพื่อขับพิษสุรา กระแสพลังแล่นลามไปทั่วสรรพางค์ทำให้เหงื่อไหลออกมา กลิ่นหอมหวนของบัวมังกรเหินแผ่กระจายไปทั่วรถม้าเมื่อความเมามายถูกกำจัดจนสิ้นแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงค่อย ๆ กลับมาพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่บอกอะไรกับน้องสาวอย่างถางซือเซียนเลยสักนิด นางถึงได้ทำหน้าที่โล่กันสตรีกับผู้หญิงที่เขาต้องขอแต่งงาน“ซือเซินส่งเจ้าไปนั่งข้างเยี่ยนเยว่ฉีโดยไม่บอกอะไรเลยหรือ”“ท่านพี่เพียงกำชับให้เซียนเอ๋อร์ดูแลแนะนำคุณหนูเยี่ยน แล้วก็ชวนพูดคุยคลายเหงาเท่านั้น”“พอเห็นท่าทีสนอกสนใจข้าของนาง เจ้าเลยบอกว่าข้ากับเจ้าชอบพอกันอยู่สินะ”“เพคะ นางเล่นมองเลี่ยงหรงเกอเกอไม่วางตา เซียนเอ๋อร์ก็เลยต้องตัดไฟแต่ต้นล้ม”“ดูท่าจะทำหน้าที่โล่กันสตรีอย่างดีเยี่ยม”“ก็จะได้จบไปตั้งแต่แรกเห็นอย่างไรเล่า คุณหนูผู้นั้นไม่ได้อยู่เมืองหลวง แค่เล่าถึงความสัมพันธ์ยาวนานของท่านกับข้า รวมไปถึงข่าวลือเรื่องฉินอ๋องเป็นคนเจ้าชู้มากภรรยาก
“แล้วทำไมถึงได้… โอ๊ย! เซียนเอ๋อร์ไม่เข้าใจพวกท่านจริง ๆ ทั้งที่ต่างก็พึงใจกันและกัน คนหนึ่งขอเลื่อนพิธี อีกคนหนึ่งก็ทำเป็นวางเฉย แล้วชาตินี้จะได้แต่งงานกันไหมเล่า”“ได้สิ นางเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว ช้าเร็วนางก็ต้องเป็นของข้า”“อ่อ จะบอกว่าท่านไม่รีบอย่างงั้นสิ”“แล้วเหตุใดต้องรีบร้อน...”เลี่ยงหรงเกอเกอจะไม่ง้อนางจริง ๆ หรือ”“ซือเซียน เจ้าก็รู้ดีว่าข้าไม่เคยง้องอนสตรี หากนางงี่เง่านักก็ปล่อยให้แห้งตายคาจวนกั๋วกงไปเถิด” มู่เลี่ยงหรงยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่นัยน์ตาเข้มลึกกลับเปล่งประกายเจิดจ้าท่าทางสบาย ๆ ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดนั้นพาให้ดรุณนี้น้อยหงุดหงิด จนต้องลอบตำหนิเขาอย่างลับ ๆ‘พวกปากไม่ตรงกับใจ อย่าได้เสียใจทีหลังก็แล้วกัน ครานี้ข้าไม่มีทางให้ดมกลิ่นจรุงจิตง่าย ๆ อีกแน่’“เซียนเอ๋อร์ไฉนทำหน้าเยี่ยงนั้นเล่า”“หึ! ท่านมีแผนชัด ๆ อย่ามาปดผู้อื่นเสียให้ยาก”“สมเป็นเจ้า ช่างรู้ใจยิ่งนัก ในเมื่อคู่หมั้นคนงามต้องการทรมานข้าด้วยการปล่อยให้รอ เช่นนั้นพวกเราก็ควรเล่นเป็นเพื่อนนางเสียหน่อยไม่ดีหรือ ดูสิว่าใครกันแน่ที่จะทานทนไม่ไหวก่อน นานแล้วที่ไร้คนกล้ามาท้าทาย น่าสนุกยิ่งนัก”“อะไรนะ ‘พวกเรา’ อย
“ปีศาจงั้นรึ เจ้าพูดเกินไปแล้ว นางน่ารักออกปานนี้ใครจะไม่รักไม่หลงบ้าง แต่นางเพิ่งห้าขวบ เจ้ารังแกเด็กน้อยตัวแค่นี้ไม่ละอายบ้างหรือไร” จ้าวเฟิงเหลยตำหนิน้องสาว ถางซือเซียนร้องไห้ไม่หยุด เอาแต่เรียกหามารดากับถางซือเซิน พลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือมายังอ๋องน้อย“เฟิงเหลย ส่งซือเซียนมาให้ข้าเถิด” มู่เลี่ยงหลงเขาไปรับนางมากอดเอาไว้แนบอกพลางตบแผ่นหลังเบา ๆ อย่างปลอบโยน“นางเด็กปีศาจนี้ล่อลวงท่านพี่กับท่านอ๋อง ต้องฆ่าให้ตาย...ต้องฆ่าให้ตาย” จ้าวกุ้ยอินเข้าไปฉุดแขนของซือเซียนน้อยอย่างแรง หมายจะให้เด็กหญิงออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายให้ได้“หยุดนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะโยนเจ้าออกไป” มู่เลี่ยงหรงปัดมือของนางออก ถลึงตาใส่อย่างโกรธเกรี้ยว“มันเป็นปีศาจนะ เลี่ยงหรงเกอเกอยังจะปกป้องมันอีก”“เจ้าต่างหากที่เป็นปีศาจ วาจาชั่วร้ายเช่นนี้น่ารังเกียจนัก ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้เลย” มู่เลี่ยงหรงมองจ้าวกุ้ยอินด้วยสายตารังเกียจสุดประมาณ“เลี่ยงหรงเกอเกอ อินอินจะต้องทำให้ท่านตาสว่างในสักวัน”“วันนี้เจ้าทำข้าตาสว่างแล้ว ไสหัวไป!”“ข้าจะพานางออกไปเอง เสียมารยาทแล้ว” จ้าวเฟิงเหลยเห็นท่าไม่ดีเลยดึงน้องสาวของตนออกไป แต่
“ใครรีบกันเล่า ไม่แน่ว่าเซียนเอ๋อร์อาจจะกลายเป็นสาวทึนทึกก็ได้ อีกอย่างเล่ห์เหลี่ยมชายอะไรนั่น ผู้อื่นก็เห็นอยู่ทุกวี่วัน” ถางซือเซียนนึกถึงใบหน้าของพี่ชายแท้ ๆ ขึ้นมาทันที“เจ้างดงามน่ารัก ซ้ำยังมีรอยยิ้มพิมพ์ใจถึงเพียงนี้ ไม่มีทางเป็นสาวทึนทึกได้ หากไม่พบคนถูกใจจริง ๆ ข้าจะแนะนำคนดี ๆ ให้ แล้วสมทบสินสมรสให้มาก ๆ หน่อย รับรองว่าเจ้าต้องได้บุรุษที่ดีเป็นสามี ““ถางซือเซียนขอบพระทัยท่านอ๋องล่วงหน้าเพคะ” นางซึ้งใจในความเป็นห่วงของเขา“เจ้าจะมาพูดจาเป็นทางการอะไรเอาตอนนี้” มู่เลี่ยงหรงยิ้มให้ดรุณีน้อย ใบหน้าคมสันสงบนิ่ง นัยน์ตาไม่มีแววหวั่นไหวถางซือเซียนเพียงยิ้มตอบ ไม่พูดอะไรต่ออีก พวกเขาสองคนจึงนั่งรถม้าต่อไปเงียบ ๆรถม้าหรูหราวิ่งไปตามถนนศิลา จวนฉินอ๋องอยู่ห่างจากวังหลวงไม่มากนักใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงแต่ก่อนที่คนทั้งสองจะลงจากรถม้า ถางซือเซียนก็เอ่ยกับมู่เลี่ยงหรง“หากวันใดเลี่ยงหรงเกอเกอพบเจอเรื่องหนักหนา จนใจของท่านแบกรับเอาไว้ไม่ไหว เซียนเอ๋อร์ยินดีให้ท่านใช้กลิ่นหอมจรุงจิตได้เป็นกรณีพิเศษ”“คงไม่ได้แล้วล่ะ เพราะเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกอย่างจะให้ข้าเที่ยววิ่งไปหาอ้อมกอดจากสตรีท
“หึ! ท่านจะรีบไปที่ใดกัน ข้าอยากเลือกซื้อของ ท่านก็เอาแต่เดินราวกับจะรีบตรวจแถวแล้วออกไปทำศึก” เยี่ยนเยว่ฉีส่งค้อนให้เยี่ยนหยางจง เยี่ยนจิ้นหลิงที่เดินตามมาเงียบ ๆ จึงมีโอกาสพูดบ้าง“พี่ใหญ่ ที่นี่ไม่น่ามีอันตราย ทำไมท่านกับข้าไม่ไปดื่มสุรากับชมหญิงงามที่หอชื่นสุขด้วยกัน แล้วให้น้องเล็กเดินเล่นตามประสาผู้หญิงไป”“จะดีหรือ เยว่ฉีไม่คุ้นชินถนนหนทาง”“นางอายุสิบเจ็ดแล้วนะ ปล่อยไปบ้างเถิด อย่างไรเสีย อีกหนึ่งชั่วยามค่อยไปพบกันที่หน้าศาลเทพจันทราก็ได้ ข้าอยากดื่มสุรามากกว่ามาเดินเตร็ดเตร่”“แต่ว่า…” เยี่ยนหยางจงทำหน้าไม่เห็นด้วย แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรน้องชายก็ขัดขึ้นมาอีก“พี่ใหญ่ลองมองรอบกายดูให้ดีเถิด ข้าสังเกตเห็นแม่นางน้อยทั้งหลายเดินตามเราทั้งสองมาสักพักแล้ว จิ้นหลิงน่ะไม่เป็นไร แต่ท่านเล่า…”เยี่ยนหยางจงเหลือบสายตาไปรอบทิศ จึงสังเกตเห็นนัยน์ตาหวานหยาดเยิ้มมากมาย แม้นี่จะเป็นเรื่องปกติที่เคยพบเจอที่เมืองหานจี แต่จำนวนหญิงสาวในครานี้ช่างน่าแตกตื่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ สายตาของสตรีคลั่งรักเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับเขาแล้วพวกนางยังร้ายกาจยิ่งกว่าทหารแคว้นเป่ยเสียอีก“เยว่ฉี เจ้าเดินเล่นไปก่อน พ
มู่เลี่ยงหรงอดคิดไม่ได้ ชายผู้นี้กลัวเลือดจะเปื้อนกาย แต่กลับกระหายการฆ่าฟันเสียยิ่งกว่านักรบ เขาไม่ต้องออกแรงก็สามารถทำให้คนดับสิ้น จากนั้นก็ดื่มด่ำกับผลลัพธ์อย่างภาคภูมิ‘ไอ้จิ้งจอกโรคจิต’ ผู้เป็นอ๋องสบถในใจ แต่ไม่พูดออกมาตามตรง“เราไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า อย่างไรเสียอีกหน่อยก็ต้องนับญาติกัน จงวางเรื่องบาดหมางเล็กน้อยนั่นลง แล้วส่งเสริมเรากับเยี่ยนเยว่ฉีได้หรือไม่” เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะเป็นศัตรูกับบุรุษโรคจิต จึงหวังว่าการยอมถอยหนึ่งก้าวในครั้งนี้จะทำให้กุนซือผมสีเงินให้ฤกษ์แต่งงานมาเสียที“จิ้นหลิงขอกล่าวตามตรง ยังไม่มีฤกษ์มงคลในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขอให้ท่านอ๋องรอคอยกำหนดการจากกระหม่อมอย่างใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าต้องการอะไรเพื่อแลกเปลี่ยน หากเราสามารถหาให้ได้ก็จะจัดการอย่างไม่รีรอ”“กระหม่อมไม่ได้ต้องการสิ่งใด แต่หากท่านอ๋องประสงค์จะกำหนดการแต่งงานให้เร็วขึ้น เมื่อถึงวัดประจำราชวงศ์ก็พอจะมีทางแก้ไขดวงชะตาของฉีเอ๋อร์ พิธีปัดเป่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ถึงเวลานั้นขอเพียงท่านอ๋องให้ความร่วมมือก็เพียงพอ”“เราตกลง” มู่เลี่ยงหรงรับคำหนักแน่น“กระหม่อมจดจำไว้แล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงอมยิ
ขณะที่ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย มู่เลี่ยงหรงได้ลอบสาบานในใจ หากถึงวันร่วมหอของทั้งสองเมื่อใด เขาจะกดนางเอาไว้ใต้ร่างตลอดทั้งราตรี จะใช้เพลิงรักแผดเผาโฉมสะคราญจนมอดไหม้เป็นลูกไฟดวงแล้วดวงเล่า จนกว่าสตรีผู้ยั่วเย้าจะสิ้นสติไปพร้อมกับความปริ่มเปรม“หากเจ้ามอบจุมพิตให้ยามเราพบกัน เช่นนี้ข้าคงมีแรงให้อดทนรอคอยได้บ้าง”“พอได้แล้วเพคะ ท่านอ๋องเรียกร้องขอกินเต้าหู้มากเกินไป แบบนี้หม่อมฉันมีแต่ขาดทุน”“ก็มันช่างหวานอร่อยยิ่ง พอรู้ตัวอีกที ข้าก็กลายเป็นคนตะกละไปเสียแล้ว”“ท่านอ๋องเพคะ เยว่ฉีหนาวแล้ว เรารีบออกไปจากห้องนี้กันเถิด” นางแสร้งเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เขาคลายกำหนัด หากขืนปล่อยตัวปล่อยใจต่อไปอีกนิด เกรงว่าท่านอ๋องจะตบะแตกไปเสียก่อนมู่เลี่ยงหรงผละออกจากร่างบาง มือทั้งสองรีบคว้าชุดที่กองอยู่บนพื้นยื่นให้เยี่ยนเยว่ฉี จากนั้นก็หันมาสวมอาภรณ์ของตนเองอย่างชำนาญ ไม่น่าเชื่อว่าแม้ไม่มีนางกำนัลปรนนิบัติ เขาก็ไม่มีอาการเงอะงะแม้แต่น้อย ซ้ำยังรีบมาช่วยคู่หมั้นสาวใส่เสื้อผ้าสตรีได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่นานนักร่างเปลือยเปล่าของนางก็กลับมาอยู่ชุดสีขาวงดงามอีกครั้ง“ท่านอ๋องดูคุ้นเคยกับการสวมชุดให้สตรี” ส
เพื่อยั่วยุอารมณ์ของนางให้แตกกระเจิงมากกว่าเก่า เขาจึงครอบครองยอดสีชมพูบนนวลเนื้ออวบอิ่มไปพร้อมกัน ทั้งขบเม้มดูดเน้นจนกายนางผวา ร่างบางพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม“อ่ะ...ท่านอ๋อง” นางร้องเรียกเสียงสั่น หัวสมองขาวโพลนไปหมด“หืม...ข้าอยู่นี่” เขาส่งเสียงขานรับอย่างนุ่มนวลในขณะที่มู่เลี่ยงหรงมอบความรู้สึกอันลึกซึ้งด้วยการขยับปลายนิ้วเข้าออกผ่านความคับแคบของพรหมจรรย์สตรี เยี่ยนเยว่ฉีทำได้เพียงหลับตาแน่นและส่งเสียงครวญครางเบา ๆ ยามเขาเฝ้ารุกเร้าถาโถมโจมตี สิ่งที่นางได้รับมีเพียงกระแสร้อนรุ่มหวามไหวระคนอึดอัดทรมาน เสมือนร่างกายพร้อมแตกสลายด้วยน้ำมืออันร้ายกาจได้ทุกเมื่อ“ต้องการอีกหรือไม่”“อือ...ท่านอ๋อง...เยว่ฉีไม่รู้” สตรีด้อยประสบการณ์ตกประหม่า นางไม่รู้ว่าจะต้องตอบเขาอย่างไร ร่างกายนี้พร้อมจะหลุดจากการความคุม ด้วยไม่อาจต่อต้านเพลิงแห่งปรารถนาที่แผดเผานางให้มอดไหม้“เด็กดี ข้าจะทำให้เจ้าอิ่มหนำ”“ยะ...อย่า...” เสียงเสียงห้ามแว่วหวานแผ่วเบา ยิ่งปลุกเร้าให้บุรุษขี้แกล้งได้ใจมู่เลี่ยงหรงไม่สนใจเสียงร้องห้าม เขาขยับปลายนิ้วร้อนชอนไชให้ลึกขึ้น โจนจ้วงเร่งจังหวะกระชั้นถี่ ร่างงามสั่นสะท
มู่เลี่ยงหรงแทรกกายเข้าไปใกล้ชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า เยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งตระหนักว่าตนกำลังอยู่ในท่วงท่าอันแสนน่าอาย มือทั้งสองโอบคอแกร่ง สองขาเกี่ยวกระหวัดรัดเอวสอบของเขาไว้แน่น หญิงงามแรกแย้มหน้าแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางจึงซุกหน้าลงกับอกเขา หวังว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นสีหน้าของตนเองในยามนี้บุรุษผู้เหิมเกริมจึงได้โอกาสใช้ปากกัดกระตุกสายเอี๊ยม ผ้าเนื้อบางเบาไหลหล่นพ้นเรือนร่าง เมื่อไม่มีอะไรบดบัง ทรวงอกงดงามที่อาบไล้ด้วยแสงนวลของตะเกียงก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เนื้อนวลขาวดุจหิมะแต้มด้วยสีชมพูที่ปลายยอดช่างอวบอิ่มอลังการอย่างเกินตัว มู่เลี่ยงหรงตกตะลึงขณะที่มองเนื้อนวลสล้างสะท้อนไหวขึ้นลงไปตามจังหวะหายใจ ช่างเป็นภาพอันยั่วเย้าแสนตราตรึง กายบุรุษร้อนวูบวาบ กระแสอุ่นร้อนไหลรวมลงมาที่ท้องน้อยไม่ขาดสาย ความเป็นชายถูกปลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มเต็มตัวถูกภาพงดงามเบื้องหน้ากระตุ้นจนถึงกับกัดฟันกรอด แต่จิตสำนึกพยายามข่มกลั้นไม่ให้จับนางกระแทกกระทั้นเพื่อระบายความอัดอั้นทรมานไปเสียก่อน ดวงแก้วสีนิลส่องประกายร้อนแรงแผดเผาทำลาย เยี่ยนเยว่ฉีหน้าแดงซ่าน พยายามใช้สองมือหวังปิดบังทรวงอกจากสายสา
เยี่ยนเยว่ฉีสะอื้นเพราะเจ็บไปหมด โทสะของเขายังคงคุกรุ่นจึงรั้งใบหน้าของนางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบอันลึกซึ้งและรุนแรงมากกว่าเก่า เฝ้ารุกเร้าผ่านทางแยกที่เผยอออก สอดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดดูดดึงขบกัดลิ้นบางอย่างมันเขี้ยว หญิงสาวแทบหายใจไม่ออก ร่างสั่นสะท้านครางหวิว ทั้งเจ็บปวดและสุขสมในเวลาเดียวกัน ก่อเกิดเป็นความทรมานอันแสนหวาน บุรุษผู้นี้กำลังลงทัณฑ์นางให้สาสม สัมผัสจึงเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ไม่เหมือนจูบอันดูดดื่มเมื่อวันวาน นางเสียใจที่เขาไม่ทะนุถนอมตนเองอีกแล้ว“อือ จะ...เจ็บ” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามร้องประท้วง ในขณะที่เขาถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย“ข้าเจ็บกว่าเจ้ามากมายนัก” เขาโต้ตอบด้วยเสียงอันแหบพร่า“ท่านอ๋องเจ็บปวดด้วยเรื่องใด” ประกายน้ำใสคลอเบ้าตา เจ็บเพราะจูบที่เขามอบให้นาง“เจ้ายิ้มให้ชายอื่น หัวเราะยามเขาพูดจา ที่สำคัญเจ้ามองเมินไม่สนใจ ทำให้ข้าทั้งเจ็บปวดและริษยา”“ท่านอ๋องหึงหม่อมฉันจริง ๆ ด้วย” มุมปากอิ่มงามเผยรอยยิ้ม“สาแก่ใจเจ้าแล้วใช่หรือไม่ จะหัวเราะเยาะข้าก็ได้” ใบหน้าคมเบี่ยงหลบเล็กน้อย ด้วยไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ามองเห็นร่องรอยของความหวั่นไหว คำพูดเหล่านี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปา
“ไม่หึงก็ไม่หึง เยว่ฉีรับรู้ความรู้สึกของท่านอ๋องแล้วเพคะ”“ก็ดี”“ในเมื่อท่านอ๋องยืนกรานว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ หม่อมฉันก็จะได้คลายใจ”“คลายใจ เรื่องใด”“เรื่องที่รู้สึกผิดต่อท่านอ๋อง หม่อมฉันคงทึกทักไปเองว่าเผลอทำให้คู่หมั้นทรมานใจแล้ว”“หึ! หวังให้เราเจ็บปวดเพราะเจ้าคงเร็วไปร้อยปี” มู่เลี่ยงหรงยังคงปฏิเสธ“เยว่ฉีทราบแล้วเพคะ” นางเสมองไปทางอื่น แล้วแสร้งถอนหายใจ “หน้าเสียดายจริง ๆ ทั้งที่หลังจบเทศกาลหยวนเซียวหม่อมฉันคิดว่าระหว่างเราคงไปกันได้ดี มาวันนี้ก็รู้ซึ้งแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดคงไม่ได้มาจากใจอันแท้จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำหวานเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว”“เจ้าคิดว่าเราโป้ปดอย่างนั้นหรือ”“มิได้ แต่เมื่อครู่ท่านอ๋องเป็นผู้กล่าวเองว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชายอื่นมาสารภาพรักกับหม่อมฉัน อีกทั้งไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากกลัวเสียหน้าเท่านั้น เช่นนี้จะให้ผู้อื่นคิดเห็นเช่นไรได้” เยี่ยนเยว่ฉีจดจ้องดวงตาบุรุษตรงหน้านิ่ง “ช่างน่าขันยิ่งนัก หม่อมฉันบังอาจคิดว่าตนเป็นคนสำคัญ แต่ความจริงแล้วสำหรับท่านอ๋องหม่อมฉันคงเป็นเพียงบุปผาดาดดื่นดอกหนึ่งเท
“เยี่ยนเยว่ฉีอย่ามาเฉไฉ! คอยดูให้ดีเถิดว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร” มู่เลี่ยงหรงตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่มีทางยอมรับว่าทำเรื่องไร้มารยาทเป็นอันขาดเฟิงหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะบันดาลโทสะถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับหญิงสาว อย่างไรเสียก็เป็นชายชาตินักรบและตนเองก็คือต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาจึงหวังไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ท่านอ๋องทำร้ายสตรีที่ตนมีใจ“เรียนท่านอ๋อง หากจะลงโทษนาง กระหม่อมยินดีจะเป็นผู้รับโทษแทน” แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น แต่คำพูดประโยคนี้กลับเหมือนดั่งการน้ำมันราดลงบนกองไฟ ยามนี้ฉินอ๋องอยากจะสับเขาเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอดมู่เลี่ยงหรงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้บังอาจแตะต้องสตรีของตนอีกครั้ง น้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาขึ้นในแววตา อากาศเย็นสบายกลายเป็นหนาวจับจิตจนเฟิงหลี่จื้อขนลุกขึ้นมาจริง ๆ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ทางที่ดีสงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมที่ละเลยเรื่องชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้ากลับไปอย่างไม่บุบสลาย” มู่เลี่ยงหรงไม่ได้สนใจเหตุผล
“กระหม่อมคงรับไม่ไหว ท่านอ๋องไม่ได้ทำผิดอันใดไม่ต้องกล่าวเช่นนั้นกับซือเซิน” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ ด้วยสถานะสูงส่ง ฉินอ๋องไม่มีความจำเป็นจะต้องลดตัวลงมากล่าวคำขออภัยเขา“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”“ซือเซินรู้...” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มเพื่อคลายความกังวลใจให้สหายสูงศักดิ์หลังจากปรับอารมณ์ความรู้สึกกับถางซือเซินเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงหันกลับไปยังโต๊ะของตระกูลเยี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยนเยว่ฉีกับเฟิงหลี่จื้อเสียแล้ว แม้สังเกตดี ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจะหายไปด้วยก็ตามความกระวนกระวายแทรกซึมเข้ามาอย่างเฉียบพลัน เขาไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งสิ้น ด้วยรอยยิ้มงดงามเป็นธรรมชาติที่นางมอบให้ชายคนนั้นเป็นแบบที่ไม่เคยมีให้กับตนเองไฟริษยายังคงตอกย้ำในจิตใจ อ๋องหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไปเพื่อตามหาคู่หมั้นในทันทีเยี่ยนจิ้นหลิงเดินนำน้องสาวกับเฟิงหลี่จื้อไปบนดาดฟ้า เขาชวนทั้งสองพูดคุยตลอดทาง ในที่สุดก็พามาหยุดยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเรือ แต่แล้วบุรุษผมสีเงินก็อ้างว่าลืมวางพัดไม้หอมไว้บนโต๊ะ จึงขอตัวกลับไปเอา แล้วบอกให้คนทั้งสองรอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเมื่อกุนซือหนุ่มเดินจากไป
มู่เลี่ยงหรงคิดว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะ การจากไปตั้งหลักน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านอ๋องหนุ่มจึงพยายามเก็บงำอาการ ก่อนจะเดินนำถางซือเซียนกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปทางห้องโถงอย่างมิรั้งรอ เพราะไม่ต้องการเห็นภาพบาดตานี้อีกแม้แต่ชั่วเค่อเยี่ยนจิ้นหลิงอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ฉินอ๋องเก็บกักอารมณ์ได้ดีเยี่ยม แต่สายตากรุ่นโกรธนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาจิ้งจอกไปได้‘ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนสิ ถึงจะได้ผลลัพธ์ชั้นดี ฉินอ๋องท่านคิดว่าแค่นี้จะหนีพ้นหรือ นี่มันบนเรือนะ’“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“ดีเหมือนกัน น้องสาวก็รู้สึกหิวแล้ว”“หลี่จื้อ เจ้ามาร่วมโต๊ะกับพวกข้าสิ ท่านแม่ทัพเฟิงคงไม่ว่ากระไรหรอก” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“หากไม่รังเกียจ หลี่จื้อขอรบกวนแล้ว”จิ้งจอกเงินปรายยิ้มเล็กน้อย ก็เดินนำสหายเก่ากับน้องสาวแสนสวยไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารตลอดเส้นทางเฟิงหลี่จื้อคอยปรายตามองเยี่ยนเยว่ฉีอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ใช่งานเลี้ยง ที่นั่งจึงถูกจัดวางไว้สำหรับแต่ละครอบครัวเป็นสัดส่วน ขณะที่ฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นทรงประทับอยู่ในห้องแยกที่มีม่า