รถม้าของท่านอ๋องเคลื่อนตัวออกไปแล้วพร้อมกับสายตาที่มองมาจากชั้นสองของหมิงอันเฟยที่มองอยู่ด้านบนนี้ นางเกือบจะหลบไม่ทันเมื่อเขามาที่หอต้าหรงทันทีหลังจากที่จับคนร้ายได้
นางทันเพียงแค่พับเสื้อคลุมเอาไว้และรีบหลบไปด้านหลังม่านในห้องผู้ดูแลบัญชีเท่านั้น
“เป็นถึงท่านอ๋องเชียวหรือ นึกไม่ถึงว่าจะลงมาจัดการคนร้ายด้วยตัวเอง ดูแล้วก็ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก”
สองวันถัดมา
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร”
“คือว่า….พวกนาง…”
เมื่อกงหลี่พูดว่า “พวกนาง” เขาก็ทราบได้ทันทีว่าคือผู้ใดหากมิใช่สตรีบุตรสาวขุนนางที่น่ารำคาญสองคนนั้น ผู้ที่พึ่งได้แต่งตั้งเป็นพระสนมของเขาโดยที่เขาไม่ทราบมาก่อนเมื่อกลับมาจากการรบกับเมืองฉาง ชายแดนทางตะวันตก
เมื่อเขากลับมาเมืองหลวงก็มีข่าวว่า ว่าที่คู่หมายของเขาในตอนนั้น “หานจินซือ” กลายเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทไปแล้ว และฝ่าบาทเองก็เกรงว่าเขาจะโกรธจนก่อกบฏขึ้นมาจึงได้ประทาน “ตัวน่ารำคาญ” สำหรับเขามาถึงสองคน คงกลัวว่าเขาจะมีเวลาคิดร้ายกับพี่ชายคนละมารดาของตนเองกระมัง…
"พวกนางมาวุ่นวายอันใดที่นี่
“ท่านอ๋องเพคะ”
“ท่านอ๋อง…โอ๊ย!!”
สตรีสองคนที่รีบวิ่งมาฟ้องเขาพร้อมกับสภาพที่บอกได้ว่าคงมีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้ เมื่อสตรีในชุดสีแดงเลือดนั้นเดินมาถึง นางจึงได้หันมามองพระพักตร์ที่ยังเรียบเฉยและมิได้มองมาที่นางทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูล”
“เรื่องใด”
“หม่อมฉันถูกพระสนมลี่ฟางตบตีก่อนนะเพคะท่านอ๋อง นางเป็นคนตบหม่อมฉันและยังบอกว่าเป็นเพียงบุตรขุนนางชั้นต่ำ นางเป็นบุตรแม่ทัพหม่อมฉันก็เลย….”
กงหลี่เห็นเพียงท่านอ๋องที่หยุดมือเอาไว้ที่พู่กัน เขาไม่เขียนต่อแล้วนั่นแสดงว่าท่านอ๋องกำลังหมดความอดทน
“กงหลี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“กฎของจวนว่าอย่างไรเกี่ยวกับผู้ที่ก่อความวุ่นวายตบตีกันในจวน”
“โบยคนละห้าไม้และให้กักบริเวณพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษก็ขอทรงทอดพระเนตรด้วยเพคะว่าผู้ใดที่สมควรถูกทำโทษ”
“สนมลี่ เจ้าคิดว่าผู้ใดที่สมควรถูกลงโทษงั้นหรือ”
“นางเพคะ สนมซูเป็นเพียงสนมชั้นผู้น้อยและเข้าจวนมาทีหลังหม่อมฉัน นางไม่เพียงไม่เคารพหม่อมฉันที่เป็นถึงบุตรท่านแม่ทัพ แต่ว่านางยังกล้าตบหม่อมฉันอีก ดังนั้น…”
“แล้วเจ้าได้ตบนางหรือไม่”
“หม่อม….พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
ท่านอ๋องพับรายงานเก็บแต่ก็ยังมิได้มองพวกนางอีกเช่นเคย เขายื่นรายงานนั้นส่งให้กงหลี่และหันมาใช้ตราประทับเพื่อจะปิดผนึกจดหมายอีกฉบับส่งตามไป
“ข้าถามเจ้าว่า…เจ้าได้ตบนางกลับหรือไม่”
“หม่อมฉัน….”
“สนมลี่นางให้สาวใช้จับหม่อมฉันเอาไว้และตบไม่ยั้งเลยเพคะท่านอ๋อง ฮือ…..หม่อมฉันเต็มไปด้วยรอยเล็บของนางพระองค์ทอดพระเนตรสิเพคะ”
“ท่านอ๋องเพคะ ซูหลิงนาง….”
“กงหลี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พาพวกนางออกไป โบยคนละห้าไม้กักบริเวณสิบวันอย่าสร้างความวุ่นวาย”
“ท่านอ๋องเพคะ!! หม่อมฉันเป็นถึงบุตรีของท่านแม่ทัพ…”
“แล้วอย่างไร เป็นลูกแม่ทัพแล้วทำผิดได้งั้นหรือ ที่นี่จวนของข้า ผู้ใดทำผิดข้าไม่เว้นเอาไว้สักคน เอาตัวไป!!”
“ท่านอ๋อง!! พระองค์มิกลัวว่าหม่อมฉันจะนำเรื่องนี้…ไปฟ้องท่านพ่อหรือเพคะ”
“เจ้ารีบเขียนไปฟ้องสิ ข้ายินดีส่งเจ้ากลับจวนแม่ทัพได้ทุกเวลา จะไปก่อนจะถูกโบยข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอกนะ”
“ท่านอ๋อง!!”
“เอาตัวพวกนางออกไป น่ารำคาญ!!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของพระสนมทั้งสองยังดังอยู่จนเซียวฟู่เฉินนึกรำคาญ เขาไม่เคยอยากได้สตรีน่าเบื่อน่ารำคาญเช่นนี้ แม้ว่าพวกนางจะเป็นสตรีเช่นกันแต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ
แต่เขากับนางหมดทางหวนคืน เขาไม่มีแม้แต่โอกาสถามนางด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดจึงเปลี่ยนใจ แต่ในยามนี้ฟู่เฉินก็ไม่ได้อยากรู้เหตุผลนั้นอีกแล้วเมื่อสามวันก่อนวังหลวงพึ่งประกาศข่าวดีว่าพระชายาองค์รัชทายาททรงตั้งพระครรภ์แล้ว นั่นถือว่าสิ้นสุดเรื่องระหว่างเขาและนาง
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เสียงนั่น…น่ารำคาญชะมัด”
“พระสนมทั้งสองเป็นบุตรสาวของขุนนาง ระ…เรื่องถูกโบย….”
“จะได้หลาบจำจนไม่กล้าก่อเรื่องอีก หากทนไม่ไหวก็กลับจวนไปข้าไม่ได้อยากได้สตรีมารกหูรกตาที่จวนนี้”
“เห็นที…คงจะยากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!! เจ้าว่าอะไรกงหลี่”
“ฝะ…ฝ่าบาทส่งพวกนางมาที่นี่เพราะว่าพระองค์ไม่กลับไปที่ตำหนักใน ก็เลยมีราชโองการให้พวกนาง…ตามมาปรนนิบัติพระองค์ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ปรนนิบัติ พูดได้ดีนัก เสด็จพ่อคงเห็นข้าว่างมากกระมังจึงได้ส่งพวกนกแก้วนกกระเต็นน่ารำคาญพวกนี้มาไว้ที่นี่ เจ้ารีบออกไปส่งจดหมายนั่น บอกว่าข้าอยากได้คำตอบโดยเร็ว หากว่าอยากได้เงื่อนไขหรือเงินค่าจ้างเพิ่ม ข้าก็ยินดีจ่าย”
“นี่พระองค์…..”
ท่านอ๋องหันมามองหน้าองครักษ์คนสนิทพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย กงหลี่คุ้นชินกับสีหน้าเช่นนี้ของผู้เป็นนายดีเพราะเขาแทบจะไม่มีสีหน้าอื่นเลยนับตั้งแต่ทราบว่า “หานจินซือ” กลายเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เขากลายเป็นท่านอ๋องน้ำแข็งและเย็นชา แม้ว่ากำลังยิ้มแต่ก็ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่เย็นวาบจนถึงสันหลังได้
“เจ้าสงสัยอันใด”
“กระหม่อมไม่คิดว่า….”
“เจ้าเป็นผู้แนะนำเองมิใช่หรือว่าให้ข้าหาพระชายา รีบไปสิ แล้วเอาคำตอบมาด้วย รอจนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หอต้าหรง
“นายท่านเรียนว่าขอคำตอบที่น่าพอใจมิเช่นนั้นข้าน้อย….”
“แต่ว่าคุณชาย เรื่องนี้….ข้าต้องถามความสมัครใจของผู้รับงานด้วย เช่นไรแล้ว….ท่านก็บอกให้นายท่านรอสักหน่อยรับรองว่าข้าจะให้คำตอบที่นายท่านพอใจแน่ขอรับ”
“มิใช่ว่าไม่เชื่อใจท่านแต่ข้าเองก็..ท่านก็รู้ว่านายท่านของข้า”
“ข้าเข้าใจ เช่นนั้นเอาแบบนี้ ข้าขอเวลาเกลี้ยกล่อม..เอ้ย คุยกับนางก่อน หากว่านางยอมรับเงื่อนไขได้ข้าจะรีบให้คนไปแจ้งท่านโดยด่วน”
“เช่นนั้น…ได้ขอรับ เรื่องนี้คงต้องฝากท่านแล้ว”
“เฮ้อ…ข้าก็บอกตามตรงว่าไม่มั่นใจนัก ข้ากับนางพึ่งพบกันเมื่อสิบวันก่อน แม้ว่านางจะจับคนร้ายคดีใหญ่ ๆ ได้หลายคดีแต่งานเช่นนี้....ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่านางจะรับหรือไม่
“ท่านก็ลองดูหน่อย นายท่านบอกว่ายินดีเพิ่มเงินให้ตามที่นางต้องการ เงื่อนไขหากว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็สามารถแจ้งได้เลย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านกลับไปแจ้งนายท่านเถอะ เรื่องนี้ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลาก่อน”
ผู้คุมบัญชีหอต้าหรงถึงกับกุมขมับทันทีเมื่อส่งจาง หลี่กลับไปแล้ว เขาเปิดอ่านจดหมายปิดผนึกนี่แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงต้องเจาะจงใช้เฉพาะสตรีชุดแดงในคืนที่จับคนร้ายฆ่าคนตายเก้าศพผู้นั้นด้วย
เขาเองแม้ว่าจะให้ห้องพักตามที่นางขอพร้อมอาหารสามมื้อแต่นอกจากนั้นเขาแทบไม่เคยถามข้อมูลส่วนตัวนางเลย นอกจากป้ายหยกที่นางติดตัวเอาไว้ นอกนั้นไม่ได้มีสิ่งใดบ่งบอกฐานะของนางได้เลย
“เจ้าไปเชิญคุณหนูหมิงมาพบข้าที่ห้องทีสิ บอกว่าเรื่องด่วน”
สำรับถูกยกมาโดยสนมลี่ เมื่อเดินมาถึงห้องท่านอ๋อง นางจึงเคาะประตูและเปิดเข้าไปทันที นางเห็นท่านอ๋องและอันเฟยนั่งแทบจะศีรษะชนกันที่โต๊ะบัญชีอยู่แล้ว ท่านอ๋องเองก็ตกใจเมื่อหันมาเห็นว่าผู้ใดคือคนที่ยกสำรับมาให้“พวกเจ้าเข้ามาได้เช่นไรผู้ใดสั่งให้เข้ามา”“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยกสำรับมาให้”“เอาวางไว้และรีบออกไปเดี๋ยวนี้”“ท่านอ๋องเพคะ เดิมทีหน้าที่นี้หม่อมฉันเป็นผู้ทำแต่เหตุใดต้องตะคอกหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเพคะ”“ข้าบอกให้ออกไป หากยังถามวุ่นวายอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า....สนมลี่”“หม่อมฉันเพียงไม่เข้าใจ นางมาเพียงวันเดียวแต่เหตุใด….”“เจ้าจะออกไปดี ๆ หรือว่าจะให้ข้าให้ทหารลากตัวเจ้าออกไป”“ท่านอ๋อง!!”“ออกไป!!”ลี่ฟางหันไปมองอันเฟยที่ไม่ได้มองนางเลยแม้แต่น้อยเพราะนางมัวแต่ก้มมองดูสมุดบัญชีที่เหลือ นางไม่ได้ฟังที่พวกเขาถกเถียงกันด้วยซ้ำและก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อจนลี่ฟางเดินออกไป ท่านอ๋องจึงได้เดินไปสั่งให้ทหารห้ามสนมคนใดหรือสาวใช้เดินมาหากเขาไม่ได้เรียก“อันเฟย เจ้ามากินข้าวก่อนเถอะ”ไม่มีเสียงนางที่ตอบกลับมาเขาจึงเดินไปที่โต๊ะอีกครั้งพบว่านางกำลังนั่งตรวจบัญชีอย่างตั้งใจ กองสมุดบัญชีย้อนหลังส
กงหลี่นั้นแม้จะจะรู้สึกแปลกใจกับพระทัยที่แปลก ๆ ของท่านอ๋องแต่เขาก็ทำตามคำสั่งในทันที ไม่นานกองสมุดบัญชีของที่จวนก็ถูกนำมาวางข้าง ๆ โต๊ะหนังสือของท่านอ๋อง อันเฟยเริ่มขยับตัว นางตื่นขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองท่านอ๋องที่ทำหน้าตึงอยู่ที่โต๊ะหนังสือของเขา“ตื่นแล้วงั้นหรือ”“หม่อมฉัน…หลับไปนานหรือไม่เพคะ”“ชั่วยามกว่าเห็นจะได้”“นานจริงด้วย”“มานั่งนี่สิ นี่คืองานที่เจ้าต้องทำตอนที่อยู่ที่จวน”อันเฟยหันไปมองกองสมุดบัญชีที่กองเกือบพ้นศีรษะของนางเมื่อไปนั่งที่โต๊ะที่ถูกจัดมาวางข้าง ๆ เขาอย่างตกใจ นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะโหดขนาดนี้ “ทำเป็นใจดีให้นอนพัก แต่ตื่นมาก็ทรมานข้าทันทีเลยเหรอนี่ กลัวทำงานไม่คุ้มค่าจ้างหรืออย่างไรกัน”“เจ้าบ่นอะไร”เปล่าเพคะ นี่คืออะไรเพคะ"“สมุดบัญชีของจวน มีทั้งรายรับรายจ่ายและบัญชีรายชื่อของบ่าวไพร่และสาวใช้ในจวนรายละเอียดเกี่ยวกับจวนทั้งเรือนหน้าและเรือนหลัง เจ้าต้องดูแลทั้งหมด”“วะ…ว่าอย่างไรนะเพคะเหตุใดรวดเร็วถึงเพียงนี้ แล้ว…หม่อมฉันคนเดียว....”“ใช่ เจ้าทำเพียงคนเดียว หากมีคำถามก็มาถามข้า วันนี้ดูคร่าว ๆ ไปก่อน นอนมานานแล้วนี่น่าจะทำงานได้แล้ว”“แต่นี่ห้องบรรทมนะเพ
“ท่านอ๋อง พระองค์ไม่ทำตามข้อตกลง”“เจ้าเป็นผู้แหกกฎก่อนจะโทษผู้ใดได้เล่า ถึงแล้ว”“ปล่อยสิเพคะ”“ไม่ได้ ยังไม่ได้ปิดประตู”“เช่นนั้น…”“ข้าเปิดแล้ว เจ้าปิดสิ”อันเฟยหันไปปิดประตู สายตานางพลันมองไปด้านนอกเห็นว่าเหล่าบ่าวไพร่และสาวใช้หลายคนมองมาที่นางที่กำลังปิดประตูอยู่ทำเอารู้สึกอายมากเช่นกัน นางเริ่มเข้าใจที่เขาบอกแล้ว เช่นนี้นางคงใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นแล้วล่ะเพราะสายตาในจวนดุจสับปะรดเช่นนี้คงต้องเล่นละครไปตลอดเป็นแน่ แล้วหัวใจนางจะหวั่นไหวและใจเต้นแรงเช่นนี้ตลอดไป เป็นเช่นนี้นางต้องแย่แน่ ๆ“แย่แน่ ๆ ข้าต้องตายแน่ ๆ”“อะไรอีกล่ะ เจ้าบ่นอะไรได้ตลอด”“เปล่าเพคะ ปิดประตูแล้ว ปล่อยลงได้แล้วเพคะ”เขาเดินไปที่เตียงและปล่อยนางลงอย่างนิ่มนวล แม้รู้ว่านางมิได้เป็นอะไรก็ตามแต่เขาก็ไม่อยากให้นางรู้สึกแย่ วันนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีมากพอแล้ว“พระองค์….แย้มพระสรวลงั้นหรือเพคะ”ท่านอ๋องรีบหุบยิ้มทันที เขาไม่เคยทำเช่นนี้มานานแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่าหมิงอันเฟยจะเป็นคนเช่นนี้ เห็นอะไรก็ทักออกมาโพล่ง ๆ เช่นนี้เลยเขาคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้ว“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะข้าจะต้องนั่งในนี้อีกสักพัก”“เพราะเหตุใดเ
ลี่ฟางในชุดสีแดงเพลิง แต่งแต้มใบหน้าด้วยสีแดงเช่นเดียวกับชุดที่นางสวมใส่พร้อมกับสายตาที่มองมาที่อันเฟยอย่างวิเคราะห์ก่อนจะเอ่ยออกมา“ท่านอ๋องเพคะ แต่ในยามนี้นางเป็นเพียงแค่สตรีธรรมดา หาได้ใช่พระชายาไม่ หม่อมฉันเป็นถึงบุตรแม่ทัพคงไม่มีความจำเป็นจะต้อง…ถวายความเคารพนาง”“หม่อมฉันก็ด้วยเพคะ”“นางเป็นบุตรของแม่ทัพหลวงอันดับหนึ่งของฉินโจว แม่ทัพฮ่าวตู อย่าว่าแต่บิดาของพวกเจ้าจะต้องให้ความเคารพแม่ทัพฮ่าวตูแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังเกรงพระทัย เช่นนี้แล้ว เจ้ายังกล้าลบหลู่นางต่อหน้าข้าอีกงั้นหรือ!!”ลี่ฟางและซูหลิงรีบคุกเข่าลงในทันทีเมื่อสิ้นเสียงของท่านอ๋องที่แฝงออกมาด้วยความโกรธ พวกนางยังจำรสชาติของการถูกโบยได้กว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาก็หลายวันดังนั้นจึงไม่กล้าจะถกเถียงกับท่านอ๋อง“หม่อมฉัน…เพียงแค่รู้สึกว่านางยังไม่ควร…”“ควรหรือไม่อยู่ที่ข้าตัดสิน หากไม่เคารพนางก็เท่ากับไม่เคารพข้าเช่นกัน”"ช่างเถิดเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันเองก็พึ่งมาพวกเจ้าก็ลุกขึ้นเถอะอย่ามากพิธีเลยอันเฟยเดินเข้าไปพยุงลี่ฟางที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแต่นางกลับกระซิบคำบางอย่างออกมา “อย่าแตะต้องข้านังจิ้งจอก ข้าไม่มีวันยอมแพ้เจ้า”อันเฟยไม่ค
“พวกนางก็ส่วนพวกนาง หม่อมฉันก็คือหม่อมฉันสิเพคะ บอกว่าไม่ได้คิดอะไรก็คือไม่คิดเหตุใดพระองค์พูดไม่รู้เรื่องเพคะ”“นี่เจ้ากล้าด่าข้างั้นหรือ หาว่าข้าพูดไม่รู้เรื่อง”“มิใช่หรือเพคะ พระองค์ต้องแยกแยะก่อนที่จะมีคนจับได้นะเพคะ มีอย่างที่ไหนไม่ชอบท่าทางที่พี่น้องแสดงออกต่อกัน นี่มันออกจะเกินไปนะเพคะ”“ข้า!!….”“หม่อมฉันเดินมาส่งพระองค์แล้ว กลับได้หรือยังเพคะ”“ข้า….เจ้า มือเจ้าเจ็บหรือไม่”“ไม่เท่าไหร่เพคะ ยังดีที่ไม่ถูกกำไลนี่บาด สวมพวกนี้แล้วน่ารำคาญชะมัดเลย”“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดึงแขนของเจ้าแรงขนาดนั้น ข้าขอโทษ”สายตาเขาอ่อนโยนลงนิดหน่อยเมื่อเอ่ยคำขอโทษออกมา อันเฟยหันไปมองเขาพลันต้องเบี่ยงหน้าหนีในทันทีเพราะสายตาที่เขามองมาทำเอานางรู้สึกแปลก ๆ ราวกับจะมองทะลุเข้ามาในใจนาง อันเฟยพึ่งเคยรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก นางเองก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไรเช่นกันแต่มันอันตรายมากจริง ๆ และมักจะเป็นเวลาที่ท่านอ๋องผู้นี้เข้ามาใกล้นาง“พรุ่งนี้สาย ๆ ข้าจะมารับเจ้าไปที่จวน รอข้าอยู่นี่”“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว”“เจ้าเข้าจวนไปเถอะ”“เพคะ กลับดี ๆ นะเพคะ”“อืม”แม้ว่าสายตานั้นจะอ่อนโยนลง
อันเฟยตกใจจนตั้งตัวไม่อยู่ นางเผลอตะโกนถามเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องนี้ควรต้องแจ้งนางล่วงหน้ามิใช่หรือเหตุใดเขาจึงบอกกะทันหันเช่นนี้กัน“เหตุใดจึง….”“ข้าตัดสินใจแล้ว เปลี่ยนแผนนิดหน่อย เสด็จพ่อประทานหนังสือหมั้นหมายมาแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่จวนนี้ ไปอยู่ที่จวนข้าได้แล้ว”“แต่ว่า พิธีสมรสมิได้จะมีขึ้นในขั้นต่อไปงั้นหรือ เหตุใด….”“ข้าบอกให้ไปก็ไป เจ้าตกลงแล้วว่าจะทำตามเงื่อนไข”“หม่อมฉันไปตกลงเมื่อใดกัน”“ป้ายหยก”“ท่านอ๋อง!!”นางโกรธจนถึงที่สุดเพราะไม่นึกว่าเขาจะมาเร่งนางเช่นนี้ ท่านอ๋องเองก็พึ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้เองที่นางตกลงมาสู่อ้อมกอดของฮั่วเทียนอี้ เขารู้สึกเจ็บที่หัวใจแปลก ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นเขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจแต่ไม่มีเหตุผลอะไรเพราะที่เทียนอี้ทำไปก็เพราะช่วยนางเท่านั้น แต่เขาแอบเห็นสายตาของแม่ทัพหนุ่มซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคิดกับว่าที่พระชายาของเขาเพียงน้องสาว “ฝากปลาย่างไว้กับแมว ไม่ปลอดภัยแน่”“อะไรนะเพคะ”“ข้า…คือว่าวันนี้มีโองการออกมาแล้วให้อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเป็นพิธีแต่งงานแต่ก่อนหน้านี้ ข้า…จำเป็นต้องพาเจ้าไปพักอยู่ที่จวนก่อนเนื่องจากว่า…มีบางคนเริ