“พี่สาม ท่านเป็นถึงยอดบุรุษหนึ่งในสี่ของเฉินซาน แต่กลับรับองครักษ์สตรีมาอยู่ข้างกายงั้นหรือ”
“พี่สาม ดูท่าองครักษ์หญิงผู้นี้คงมิได้มีไว้เพื่ออารักขาท่าน แต่มีนางไว้เพื่อจุดประสงค์อื่นสินะ”
เฉินตงหรานหันมายิ้มให้กับน้องชายของตัวเองที่รู้ทัน เดิมทีเขาคิดแค่ว่าจะให้นางช่วยสืบเรื่องของหอฟงหรู แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมีความสามารถมากกว่านั้นจนเขานึกอยากจะรั้งเอาไว้ข้างกาย
“พี่สาม ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”
“อย่าบอกนะว่าท่านกำลัง… คิดถึงนาง”
“เหลวไหล ข้ากับนางก็แค่… ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่พบคนที่น่าสงสัยเลยงั้นหรือ”
ทั้งสองหันมามองหน้ากัน อ๋องห้าถึงกับยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของพี่ชาย ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นผู้ที่สุขุมอยู่เสมอจะเสียกิริยาเช่นนี้
“ข้ากับพี่สามซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ด้านบนหลังคาเรือนที่สูงที่สุด คิดว่าคนร้ายจะจัดการคนในงานเลี้ยง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายครั้งนี้จะอยู่ที่เรือนหลังของฮูหยินผู้เฒ่า ว่าแต่เหตุใดนางจึงกลับมาก่อน”
“หลังจากที่รับคำอวยพรเสร็จแล้ว ข้าเห็นสาวใช้เดินเข้ามาหานาง หลังจากนั้นก็ขอตัวกลับ เดิมทีไม่คิดว่าจะมีเรื่องอื่นแต่ดูท่าแล้วเหมือนกับว่านางเองน่าจะรู้ว่ามีคนมาหา”
“แต่เหตุใดต้องเลือกลงมือวันนี้ด้วย แล้วยังลงมือพร้อมกันทั้งสองทาง”
“หนึ่งเบี่ยงความสนใจเพื่อจะได้ต่อรองสิ่งที่ต้องการ สองคือหากนางไม่ยอมมอบให้ก็ข่มขู่ว่าจะสังหารคนสกุลเพ่ย ข้าคิดว่าคนร้ายน่าจะใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรอง”
“เช่นนั้นพวกมันก็ได้สิ่งที่ต้องการไปแล้วน่ะสิ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันโดยไร้คำตอบ เพราะมิอาจจะคาดเดาสิ่งใดได้เลยจากเหตุการณ์ที่เห็นตรงหน้า นอกจากคนร้ายที่จับมาได้ก็ไม่มีเบาะแสอื่น
“ช่างเถอะ กลับไปค่อยสอบสวนก็แล้วกัน”
“เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
“เฉินรั่วเฟิง” กำหมัดแน่นราวกับคันไม้คันมือ เขาคือ “ตงอ๋อง” องค์ชายเก้าแห่งเฉินซาน ผู้ครองเมืองตงโจวแห่งดินแดนประจิม และยังเป็นผู้คุม “หอหรงเยว่” ที่เป็นหอสืบข่าวซึ่งตั้งขึ้นมาโดยสี่อ๋องแห่งเฉินซาน
“เช่นนั้นเรื่องนี้ก็คงต้องฝากเจ้าแล้วน้องเก้า”
“ให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
วันถัดมา
“ยาพิษที่พวกมันกัดเอาไว้เตรียมฆ่าตัวตาย ดูแล้วน่าจะมิใช่ยาพิษของเฉินซาน”
“เจ้าหมายถึง พวกมันเป็นคนต่างถิ่นงั้นหรือ”
“ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะคนในหอฟงหรูเองก็มีหลากหลายที่มา นักฆ่าระดับสองผู้นี้ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญเรื่องพิษ ข้าอาจจะต้องขอให้ “องครักษ์หญิง” ของท่านมาช่วยแล้วล่ะ”
“แม้แต่หมอที่เก่งอย่างเจ้าก็มิอาจรู้ได้หรอกหรือ”
“เฉินเฟิ่งเซียว” หรือ “เสิ่นอ๋อง” องค์ชายห้าแห่งเฉินซาน ผู้ปกครองเมือง “เสิ่นโจว” แห่งดินแดนทักษิณ เขาถนัดวิชาการแพทย์และถือเป็น “หมอเทวะ” ที่เก่งรอบรู้ทั้งการรักษาและการใช้ยา
“พี่สาม ข้าเชี่ยวชาญการรักษาคนมิใช่วางยาพิษ เรื่องนี้จะมีผู้ใดรู้ดีไปกว่าศิษย์ของผู้ใช้พิษที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้าเล่า”
“เช่นนั้น... เสี่ยวอวี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“อวิ๋นซีกลับมาหรือยัง ไปเรียกนางมาพบข้า”
“พ่ะ…”
“ข้ามาแล้ว”
ไม่ทันขาดคำ องครักษ์หญิงนามอวิ๋นซีก็เดินเข้ามา ตอนนี้นางกลับมาสวมชุดแบบบุรุษสีขาวสลับแดงอีกครั้ง ซึ่งเป็นชุดที่ท่านอ๋องมอบให้
“ถวายบังคมท่านอ๋องทั้งสอง”
“ไม่ต้องก็ได้กระมัง หากจะพรวดพราดเข้ามาถึงตัวข้าขนาดนี้”
ท่านอ๋องหันมามองหน้านางที่พึ่งเดินเข้ามา เฉินเฟิ่งเซียวลอบยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีขู่แกมหยอกนี้ของพี่ชาย ซึ่งเฉินตงหรานไม่เคยพูดเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน
“เมื่อคืนนี้ข้าเห็นว่าเสิ่นอ๋องนำยาพิษของคนร้ายกลับมาด้วย ข้าจึงอยากมาดูเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็พอดีเลยแม่นาง…”
“เรียกหม่อมฉันว่าอวิ๋นซีก็ได้เพคะ”
“เช่นนั้นอวิ๋นซีเจ้ามาดูทางนี้เถอะ ข้าไม่ถนัดเรื่องยาพิษ แต่เจ้าอาจจะมองปราดเดียวก็น่าจะรู้ในทันที”
อวิ๋นซีเดินเข้าไปที่ถาดยาของเฉินเฟิ่งเซียวบนโต๊ะ เมื่อนางเห็นผงยาที่เขานำมาเทก็ดึงเข็มเงินออกมาและจุ่มลงไปที่ผงยานั้นทันที
“นี่เข็มวารีของเจ้า ใช้ตรวจพิษได้ด้วยงั้นหรือ”
“นี่ไม่ใช่เข็มวารีสักหน่อย แค่เข็มเงินธรรมดา”
“อ้อ…อะแฮ่ม ขออภัย ๆ ข้าไม่ทันได้มอง”
เฟิ่งเซียวหันไปสนใจยาพิษตรงหน้าแทน เฉินตงหรานถึงกับรีบยกน้ำชาขึ้นมาดื่มเพื่อแอบยิ้ม เขาเองก็ไม่เคยเห็นน้องห้าจะพลาดเรื่องยาเช่นนี้มาก่อน
“พิษบุหงาเดือนสิบ”
“บุหงา… เดือนสิบงั้นหรือ พิษหายากของเป่ยหนาน แต่เหตุใดจึงมาอยู่ที่เฉินซานได้”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเดิมเป็นคนเป่ยหนาน นางแต่งงานมากับยอดหมอหลวงแห่งเฉินซานนั่นก็คือเพ่ยหรู บิดาของใต้เท้าเพ่ย”
เฉินรั่วเฟิงเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับคำตอบ ตงหรานหันไปมองน้องเก้าของเขาทันที
“เจ้าสอบสวนเสร็จแล้วงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าพวกมันจะไม่ยอมบอกตรง ๆ แต่ข้าก็มีวิธีถามเลี่ยงไปมา แล้วค่อยมาจับใจความรวมกัน เอ่อ…”
รั่วเฟิงหันมามองที่หลิ่วอวิ๋นซี เมื่อท่านอ๋องเห็นจึงได้รีบแจ้ง
“ไม่เป็นไร นางเป็นคนของข้า”
คำนี้ทำเอาใบหน้าของอวิ๋นซีร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที นางรีบหันไปมองยาพิษในถาดที่เหลือ เฟิ่งเซียวทันได้เป็นกิริยานี้ได้ทันเพราะเขายืนอยู่ใกล้นางที่สุด
‘ดูท่าครั้งนี้มาที่หลิงโจว คงมีเรื่องน่าสนุกไปทูลฝ่าบาทเป็นแน่’
“เช่นนั้นพวกท่านมาดูนี่ ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกคนร้ายต้องการก็คือยาพิษที่เพ่ยฮูหยินผู้เฒ่าเก็บเอาไว้นะ”
“ยาพิษงั้นหรือ พวกมันต้องการไปทำอะไร”
“เห็นว่ายาพิษที่พวกมันต้องการคือพิษร้ายแรง สามารถฆ่าทหารทั้งกองทัพได้ภายในยาพิษหยดเดียว เพียงแค่ใส่ผสมลงไปในน้ำเท่านั้น”
“ยาพิษร้ายแรงเช่นนี้ เหตุใดคนสกุลเพ่ยจึงได้คิดออกมาได้”
ครั้งก่อนที่เป่ยหนานพ่ายศึกไป คงอยากจะเอาคืนแต่กลับใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ พี่สามท่านคิดว่าอย่างไร”
“แต่ข้ากลับคิดว่า ยาพวกนั้นคงไม่จำเป็นต้องฆ่าทหารทั้งกองทัพนั่นหรอก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร นี่พี่สาวคนสวยอย่าหาว่าข้าว่าเจ้าเลยนะแต่สรุปเช่นนี้จะรวดเร็วไปหรือไม่”
“หากว่าข้าเป็นพวกมันคงอยากได้ตำรับยาพิษนั่นแน่ ๆ แต่คงไม่ใช้ฆ่าคนมากมายไปเพื่อให้คนประณามหรอก แต่จะฆ่าเพียงแค่คนเดียว คือแม่ทัพใหญ่ของพวกเขาและเอาชนะอย่างวีรบุรุษ”
อวิ๋นซีหันไปมองท่านอ๋องที่นั่งนิ่งและสบตานาง แววตาของทั้งสองเริ่มวาบหวามเมื่อหันไปสบตากันอีกครั้ง อวิ๋นซีรีบหลบสายเนตรนั้นอีกครั้งเพราะรั่วเฟิงเริ่มหันมาถาม
“หรือเจ้ากำลังคิดว่าพวกมันรวบรวมยาพิษครั้งนี้ก็เพื่อ… สังหารพี่สามของข้างั้นหรือ”
ทั้งหมดมองไปที่ท่านอ๋องทันที แน่นอนว่าดินแดนอุดรที่ยิ่งใหญ่นี้ หลิงอ๋อง หรือเฉินตงหราน องค์ชายสามแห่งเฉินซานเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังมิเคยพ่ายให้กับศัตรูที่กล้าเข้ามารุกรานแดนเหนือของเฉินซานเลยสักครั้ง หากว่าต้องการจะครอบครองดินแดนแห่งนี้ เฉินตงหรานก็คืออุปสรรคใหญ่ที่สุดของแคว้นรอบข้าง
“เช่นนั้นก็ชัดเจนแล้ว เพราะยาพิษนี้มาจากเป่ยหนาน ดังนั้นก็ไม่แปลกที่คนร้ายจะมาจากที่เดียวกัน พี่สามท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไป”
ท่านอ๋องลุกขึ้นและเดินเข้ามา สายเนตรจับจ้องไปยังยาพิษบนโต๊ะและหันมามองหลิ่วอวิ๋นซีอีกครั้ง
“ในเมื่ออยากจะใช้ยาพิษกับข้า แต่พวกมันคงไม่ล่วงรู้มาก่อนว่าข้างกายข้าจะมีธิดาพิษอยู่ข้าง ๆ อวิ๋นซีในเมื่อเจ้าล่วงรู้เรื่องแผนการนี้ของพวกมัน เจ้ายินดีจะช่วยข้าอีกครั้งได้หรือไม่”
พยัคฆ์ที่รอเวลาเช่นนี้มีหรือที่จะพลาดโอกาส เขารีบลุกขึ้นและโอบรอบเอวพระชายาของตนเองเอาไว้ในทันที และหันไปลาฝ่าบาทกับฮองเฮาที่นั่งหน้าแดงอยู่ข้าง ๆ ฝ่าบาท“ในเมื่อเป็นประสงค์ของพระชายา เช่นนั้นกระหม่อมคงต้องขอทูลลาก่อน เอาไว้เราค่อยมานั่งสนทนากันใหม่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปเถอะ ๆ พวกเจ้ารีบไปเถอะไป ให้ตายเถอะเรื่องเช่นนี้นางก็กล้าพูดออกมา เห็นทีคงปล่อยให้ท่องยุทธภพนานเกินไปสินะ ไม่เหลือคราบองค์หญิงแห่งแคว้นเลยสักนิด”""เช่นนั้นทูลลาเพคะ / พ่ะย่ะค่ะ""อวิ๋นซีและท่านอ๋องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตำหนักของฝ่าบาทไป เมื่อยิ่งได้มอง กงซุนหลิงเฮ่อก็เริ่มถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะให้กับทั้งสองคนที่พึ่งออกจากตำหนักไป“โตแล้วนะนั่น ยังทำนิสัยไม่ต่างกับเด็ก ๆ เลย”“ฝ่าบาทเป็นห่วงนาง แต่กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คงกลัวว่าในวันข้างหน้าซีเอ๋อร์จะลำบากเมื่อท่านอ๋องจำเป็นต้องรับพระสนมสินะเพคะ”“ใช่แล้วเพียงแต่ว่าคนอย่างซีเอ๋อร์น่ะ ยอมหักไม่ยอมงอ นางเคยยอมให้ผู้ใดที่ไหน แค่ทะเลาะกับสนมจิ่วครั้งนั้น ถึงกับยอมทิ้งฐานะองค์หญิงออกผจญใต้หล้ากับอาจารย์ไป๋ ข้าก็แค่หาทางรอดให้ท่านอ๋องเท่านั้นแต่เจ้าดูสิ พวกเขาเข้ากันดีกว่าที่ข้
แคว้นจ้าว / สุสานจักรพรรดิ“ซีเอ๋อร์”ท่านอ๋องหันมาประคองกอดพระชายา ที่ยืนร้องไห้หลังจากที่ทำพิธีสักการะอดีตองค์จักรพรรดิเสร็จแล้ว“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ที่จริงก่อนที่จะเดินทางมาถึงหม่อมฉันฝันถึงเสด็จพ่อครั้งหนึ่ง”“งั้นหรือ แล้วเจ้าฝันว่าอย่างไรบ้างเล่า พระองค์มาให้กำลังใจหรือว่า… มาบอกลา”“ไม่ใช่เพคะ พระองค์เดิมมากอดหม่อมฉันเอาไว้ แล้วบอกว่า…”‘ใช้ชีวิตให้ดี แม่กับพ่อจะอยู่กับเจ้าตลอดไป….’ท่านอ๋องฟังที่พระชายากล่าวก็ดึงนางเข้ามากอด แม้นใบหน้าของอวิ๋นซีจะนิ่งแต่กลับมาน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ตงหรานพานางเดินออกมาหน้าสุสานจักรพรรดิ และทอดสายพระเนตรมองไปยังด้านหน้าซึ่งเป็นดินแดนทุ่งน้ำแข็งของแคว้นจ้าวที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ “มีคนเคยกล่าวว่าคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นบุพการี พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้องทุกคนต่างก็ไม่เคยจากเราไปไหน ทุกคนอยู่รอบ ๆ กายเราอยู่เสมอเพียงแค่เรามองไม่เห็นแต่หากใช้หัวใจสัมผัส ก็จะรับรู้ถึงความรักของพวกเขาได้ทันที”“เช่นนั้นเองหรือเพคะ หม่อมฉันก็คงต้องคิดเช่นนั้น”“เหตุใดแม้แต่ตอนร้องไห้เจ้าก็ยังงดงามไม่สร่าง เห็นทีว่าข้าคงจะหลงพระชายาของตัวเองจนมิอาจห้ามใจได้แล้ว”
ห้องส่งตัวถึงเวลาฤกษ์ส่งตัวท่านอ๋องก็เดินเข้ามา แม่สื่อจัดการปิดประตูทันที อวิ๋นซีที่นั่งรออยู่ในห้องพร้อมกับสาวใช้อาลี่และอาเวิน เมื่อเจ้าบ่าวเข้ามาพวกนางก็เดินออกไปทันที “ซีเอ๋อร์ เจ้ารอข้านานหรือไม่”“ไม่เพคะ มีอาลี่กับอาเวินนั่งคุยเป็นเพื่อน หม่อมฉันรอได้… เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนี้”ท่านอ๋องหันมามองเจ้าสาว ที่จริงเขามิใคร่อยากจะบอกกับนางเท่าใดนัก เนื่องเพราะมิใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงเท่าใด อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันมงคลของเขากับนาง“ช่างเถอะ ข้าคงดื่มมากเกินไป เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วสินะ เราไปแช่น้ำอุ่นสักหน่อยดีหรือไม่”“ท่านดื่มมาหนักหรือเพคะ"“เปล่าหรอกข้ากลัวว่าเจ้าจะปวดเมื่อยน่ะ พิธีการในวันนี้ค่อนข้างจุกจิกและวุ่นวาย ก็เลยคิดว่าเจ้าจะเหนื่อย”“ตงหราน ท่านมีเรื่องอะไรในใจอย่างนั้นหรือ”“ข้า…”“หากท่านไม่พูด เกรงว่าคืนนี้ข้าจะให้ท่านนอนเฝ้าห้องส่งตัวเพียงลำพัง”“ไม่นะ! ข้าพูดแล้ว ๆ เจ้าก็อย่าขู่ข้านักเลยน่า คืนนี้เป็นคืนเข้าหอเจ้าสาวจะทิ้งไปได้เช่นไร ผิดธรรมเนียม”“เช่นนั้นก็พูดออกมา เราเข้าพิธีคำนับฟ้าดินกันไปแล้วก็ถือเป็นสามีภรรยากันถูกต้อง ท่านสาบานด้
แม้นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเพียงใด แต่เมื่อต้องมาสู้ศึกบนเตียงกับพยัคฆ์ที่หิวโหยอย่างเฉินตงหราน ก็ทำเอาอวิ๋นซีหมดเรี่ยวแรงไปได้เช่นกัน “พระองค์หยุดพักบ้างเถิด หม่อมฉันง่วงเต็มทีแล้ว”“เช่นนั้นก็ได้”เกือบฟ้าสางกว่าท่านอ๋องจะยอมให้นางนอนพัก แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้นางก่อนจะนอน แต่ด้วยสติที่แทบจะไม่เหลือจึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่า ท่านอ๋องออกไปประชุมราชสำนักแต่เช้าแล้ว“คนบ้าอะไรกัน ข้านอนหลับหมดเรี่ยวแรงแต่กลับยังตื่นไปประชุมเช้าได้อีกงั้นหรือ ไม่ยุติธรรมเลย”สิบวันถัดมาฤกษ์อภิเษกถูกส่งมาจากโหรหลวงจากวังหลวง พระราชทานโดยฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระเชษฐาองค์โตของเหล่าท่านอ๋องทั้งสี่ ในครั้งนี้ฝ่ายกรมพิธีการของวังหลวงเฉินซานมาด้วยตัวเอง และส่งชุดแต่งงานพระราชทานมาพร้อมกับช่างภูษาอีกกว่าสามสิบชีวิต เพื่อช่วยจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่นี้ให้สมเกียรติของทั้งสองแคว้น“เนื่องจากฮองเฮาประสูติพระธิดาอีกพระองค์ซึ่งนับเป็นองค์หญิงลำดับที่สองในราชวงศ์เฉิน “เฉินลู่หมิง” จึงมิอาจมาร่วมงานมงคลในครั้งนี้ของท่านอ๋องได้ กระหม่อมเป็นตัว
อวิ๋นซียิ้มแต่มิได้พูดอะไรตอบกลับไป นางรู้สึกว่ามีบางอย่างกั้นเอาไว้ที่คอ หากแค่เพียงเอ่ยออกไปคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเพื่อเป็นคำตอบให้เขาเท่านั้น“ซีเอ๋อร์… ข้ารักเจ้ายิ่งนัก”“ข้าเองก็รักท่าน” “อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว พวกเราก็รีบเข้าไปข้างในกันดีกว่า เดี๋ยวเจ้าจะไม่สบาย” “ท่านก็แค่จะหาเรื่องกินเต้าหู้ข้าเท่านั้น”“อย่าทำเป็นรู้ดี ข้าอยากทำมากกว่านั้นเยอะเลยพระชายาที่รัก เจ้าคงต้องทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้วล่ะ”ท่านอ๋องรวบตัวนางขึ้นมาอุ้มและพาเดินเข้าไปด้านในตำหนักทันที ท่านอ๋องทั้งสามพร้อมกับฝ่าบาทที่นั่งอยู่ที่ตำหนักรับรองหันไปมอง เฉินรั่วเฟิงเป็นคนเอ่ยขึ้นคนแรก“พี่สามเขาไม่คิดบ้างเลยหรือว่านี่มันค่อนข้างผิดธรรมเนียมไปสักหน่อย มิใช่ว่าจะต้องมีพิธีซ่อนเจ้าสาวหรือแยกกับพระชายาก่อนเข้าพิธีหรอกหรือ แต่นี่เขาแทบไม่ห่างจากว่าที่พระชายาของเขาเลยนะ”“เฮ้อ… น้องเก้าเจ้าอิจฉาก็ยอมรับมาตรง ๆ เถอะน่า”“พี่แปดท่านพูดก็พูดเรื่อยเปื่อย ข้าน่ะหรือจะอิจฉาเขา ความรักคือเรื่องวุ่นวายข้าไม่สรรหามาให้ปวดหัวหรอก ดูอย่างโม่ชิงเซียนสิ ผิดหวังถึงกับต้องออกบวชเลยนะ เพราะรู้ว่าสู้พี่สะใภ้ไ
โม่หยางหันมาคุกเข่าทั้งน้ำตา เขารู้ดีอยู่แล้วว่าบิดาไม่พ้นโทษตายอยู่แล้วจึงมิได้คิดจะกล่าวโทษท่านอ๋อง“ท่านอ๋องขอพระองค์โปรดให้กระหม่อม ได้มีโอกาสจัดงานศพให้บิดาเพื่อแสดงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้ายด้วยพ่ะย่ะค่ะ โทษหลังจากนี้กระหม่อมยินดีที่จะรับผิดแทนบิดาแต่เพียงผู้เดียว”โม่หยางคุกเข่าและกราบลงแนบพื้นอีกครั้ง อวิ๋นซีจับแขนท่านอ๋องเอาไว้แน่น “คุณชายโม่เป็นผู้ที่ช่วยให้พวกเราทลายคลังอาวุธและบอกที่ซ่อนของกองกำลังของสกุลโม่ทั้งหมด ท่านควรจะให้โอกาสเขา อีกอย่างผู้ที่ทำผิดมีเพียงบิดาของเขา แม้แต่โม่ชิงเซียนก็ไม่รู้เรื่อง”“ข้าเข้าใจที่เจ้าจะพูด ข้าไม่ได้จะลงโทษเขา”ท่านอ๋องเดินมาและจับตัวโม่หยางขึ้นมาทันที พร้อมกับอนุญาตสิ่งที่เขาขอ“โม่หยาง เจ้าเป็นบุตรกตัญญู เป็นผู้ที่ช่วยข้าเรื่องเบาะแสของกบฏและยังช่วยจับตัวผู้กระทำผิด คำขอของเจ้าข้าอนุญาต ส่วนเรื่องความผิดบิดาของเจ้ารับไปทั้งหมดแล้ว พาศพเขากลับไปทำตามที่สมควรเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางที่เข้าร่วมกับกบฏในครั้งนี้มีทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน ทุกคนถูกประหารและครอบครัวถูกเนรเทศออกจากหลิงโจวเพื่อเป็นการลงโทษ มีการแต่งตั้งขุนนางใหม่อีกหลายคนในร