ลี่ฟางเหยาเดินนำเขาเข้าไปในห้องโถง ดูเหมือนว่าระยะทางจากหน้าจวนไปยังห้องโถงมันไกลกว่าเดิมหรือไม่นะ หรือเป็นเพราะว่านางยังเจ็บขาอยู่จากเมื่อวานกันแน่
“ขาของเจ้า…ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
“ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วง”
“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นห่วงแค่ถามตามมารยาท”
ลี่ฟางเหยาถึงกับกัดฟันเพราะความโมโห นางกำหมัดแน่นและอยากชกคนเสียจริงๆในยามนี้เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงและนั่งลงที่โต๊ะ
“อ้าว ข้าก็นึกว่าท่านจะเดินชมจวนกับฟางเหยาก่อนเสียอีก เห็นไม่ตามมาเสียที”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ต้นดอกท้อและต้นทับทิมหน้าจวนช่างสะดุดสายตาของข้ายิ่งนักทำเอามองจนเพลินเลยต้องขอให้คุณหนูลี่เดินมาเป็นเพื่อนขอรับ”
“ท่านพ่อ ข้า…”
“เอามาๆ พวกเจ้าตักข้าวได้แล้วเร็วๆเข้า”
บิดานางส่งสายตามาปรามไม่ให้นางปฏิเสธและหนีออกจากโต๊ะอย่างไร้มารยาท แต่ลี่ฟางเหยาในยามนี้แทบจะไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับหยางเฟิ่งหยวนผู้นี้แม้แต่สักช่วงแค่ปาดใบชา
“ดูเหมือนว่าคุณหนูลี่จะ…”
“อ้อ บุตรสาวข้าพึ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บมา เอ่อ…ท่านอาจารย์ก็คงจะทราบเรื่องนี้มาบ้างแล้ว”
“ขอรับ แต่นั่นนับเป็นเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นในเมืองชิงโจว ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ฆ่าคุณชายเหลียงนั่น ทั้งเมืองก็ต่างรู้สึกขอบคุณทั้งนั้น และเป็นโชคดีของคุณหนูลี่ด้วยเช่นกัน”
ลี่ฟางเหยาหันไปมองหน้าเขาที่ส่งยิ้มอย่างจริงใจมาให้ นี่เขาก็คิดว่าการที่เหลียงคุณตายนับเป็นเรื่องดีด้วยสินะ เช่นนั้นนางก็ยอมฝืนนั่งต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน
“นี่ท่านเองก็คิดเช่นนั้นงั้นหรือ”
“แน่นอนขอรับ ก็แค่ตัวไร้ประโยชน์ สร้างแต่เรื่องเดือดร้อนไปทั่ว ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะที่ไม่มีแก่นสารตายไป…ก็ย่อมดีกว่า เสียก็แต่…เขาทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูลี่เสียหายไปด้วย”
“เพราะเรื่องนี้ ข้าก็เลย….”
“ท่านเสนาบดีตัดสินใจถูกแล้วขอรับ ข้าคิดว่าคุณหนูควรจะออกไปจากจวนสักพักและไปพักที่สำนักศึกษาเพื่อหลบหลีกข้อครหาเหล่านี้ก่อน อีกอย่าง อายุของคุณหนูเองก็เหมาะที่จะเรียนการปกครองและวิชากฎหมายได้แล้ว”
“เช่นนั้นจากนี้ก็คงต้องฝากท่านอาจารย์แล้ว ฟางเหยาเจ้าควรเทชาคารวะอาจารย์เจ้าเสียสิ”
“ท่านพ่อ ข้า…”
“ฟางเหยา”
นางหันไปมองหน้าที่เรียบเฉยของเฟิ่งหยวนที่มองมาที่นาง สายตานั้นน่ากลัวทุกครั้งราวกับว่าเขาพยายามจะอ่านใจนางอยู่ซึ่งนางไม่ชอบเอาเสียเลย นางยกกาน้ำชาและรินลงจอกชาและส่งให้เขา
“ลี่ฟางเหยา…คารวะท่านอาจารย์หยาง”
“ฟางเหยา พูดให้ครบ”
“จะ…จากนี้….ศิษย์ขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ”
ในที่สุดนางก็รู้ว่าที่บิดาหลอกนางมากินข้าวด้วยเพราะเรื่องนี้นี่เอง นางไม่น่าหลงกลบิดาเลยจริงๆ สุดท้ายก็ต้องให้นางไปที่สำนักศึกษามิใช่หรือ และยังต้องอยู่ในการควบคุมของหยางเฟิ่งหยวนผู้นี้ด้วย
“ข้ายินดียิ่งนัก และสัญญาว่าระหว่างที่อยู่สำนักศึกษาจะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าได้”
ลี่ฟางหยาเงยหน้าขึ้นไปมองเขาเล็กน้อย สายตานั้นมองนางกลับมาอย่างอ่อนโยน ทำเอานางเริ่มใจสั่นอีกครั้ง
“ขะ…ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
มื้ออาหารนั้นผ่านไปเรื่อยๆ ลี่ฟางเหยาเองก็คิดว่าอาจารย์ของนางก็มิได้เลวร้ายเท่าใดนัก หากว่าเขาไม่เย็นชาเหมือนเมื่อวานนี้จนทำให้นางต้องอับอายและสายตาที่พยายามมองทะลุถึงความคิดนั่นไม่ส่งมาให้นางบ่อยๆ นางก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดมากนัก
“เช่นนั้นอีกเจ็ดวันพบกันที่สำนักศึกษา”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์หยาง”
วันส่งตัวเข้าสำนักศึกษา
“คุณหนู หากว่ามีสิ่งใดอยากได้ก็ส่งจดหมายมานะเจ้าคะ ข้าจะรีบจัดหามาให้ท่าน”
“ข้ารู้แล้วอย่าร้องไห้สิ อยู่แค่นี้เองแค่ไม่ได้กลับไปนอนที่จวนเองเจ้าจะร้องทำไม”
“ก็….”
“เอาน่าๆ ท่านพ่อ ข้าไปนะเจ้าคะ”
ฟางเหยาเดินเข้าไปยังสำนักศึกษา ที่นี่แบ่งห้องพักเป็นระดับชั้น ในห้องพักนี้นางได้พักกับ “กู้เป่าเป้ย” ซึ่งเป็นบุตรของขุนนางกรมคลังซึ่งนางเป็นมิตรมาก คอยแนะนำคนอื่นๆให้นางรู้จัก ซึ่งใช้เวลาไม่นานพวกนางก็เริ่มสนิทกับเพื่อนในสำนักเดียวกันหลายคน
“แต่เจ้าระวังสองคนนั้นหน่อย ท่านหญิงจ้าวลู่อินกับ…”
“เฮ้อ เจาเนี่ยเฟยกับหงเสี่ยวซี นึกแล้วว่าต้องเจอพวกนางที่นี่”
“เจ้ารู้จักพวกนางมาก่อนงั้นหรือ”
“แค่สองคน แต่ท่านหญิงนั่น ข้าไม่รู้จัก”
“อ้อ เห็นว่านางตามมาเรียนที่นี่เพราะ…..”
“รวมแถวได้แล้ว!!”
เสียงที่ทรงพลังนั้นบอกให้พวกนางรวมแถว อาจารย์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของสำนักศึกษาเรียกรวมแถวของนักเรียนที่เป็นสตรีในสำนักศึกษาแห่งนี้
“พวกเจ้าคงได้จัดเก็บสิ่งของเรียบร้อยแล้ว จากนี้หนึ่งปีพวกเจ้าต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน หวังว่าทุกคนจะอยู่ในระเบียบที่สำนักศึกษาวางกฎระเบียบเอาไว้ เอาละวันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียน จงตั้งใจศึกษาให้ดี”
ช่วงเวลาพัก
“นี่เป่าเป้ย เจ้าบอกว่าท่านหญิงผู้นั้นมาเรียนที่นี่เพราะว่าอะไรนะ”
“อ้อ ใช่แล้ว เห็นบอกว่าที่นางตามที่นี่ก็เพราะอาจารย์ผู้นั้น อาจารย์หยาง....”
“หยางเฟิ่งหยวนนั่นหรือ”
“ตายจริงฟางเหยาเหตุใดเจ้าจึงเรียกนามของอาจารย์เช่นนั้นกัน”
“นั่นสิ ข้ายังไม่เคยเห็นผู้ใดกล้าเรียกหรือเอ่ยนามของอาจารย์ออกมาได้ตามใจชอบ แม้แต่ท่านหญิงเองก็ยังเรียกอาจารย์หยางเลย อ้อ ก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้นางนี่เอง”
เจาเนี่ยเฟยเอ่ยทักขึ้นเสียงดังทำเอาคนรอบข้างเริ่มมองมาที่ฟางเหยา นางยืนมองหน้าเนี่ยเฟยที่เดินกอดอกเข้ามาพร้อมกับหงเสี่ยวซี พวกนางรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
“นางคือผู้ใดงั้นหรือ”
“ท่านหญิง นางก็คือสตรีที่แต่งเข้าไปที่จวนแม่ทัพไม่ทันได้เข้าพิธี เจ้าบ่าวซึ่งเป็นบุตรชายแม่ทัพผู้นั้นตายก่อน”
“อ้อ…ข่าวลือในเมืองนั่นน่ะหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านหญิงก็คงเคยได้ยินสินะเจ้าคะ ว่านางคือตัวอัปมงคล”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นโดยรอบ พวกนางเริ่มซุบซิบนินทากัน บางคนก็จดจำใบหน้านางได้ก็เริ่มซุบซิบกันอย่างออกรส
“เฮ้อ ไม่นึกว่าหนีมาในสำนักศึกษาที่ดูสะอาดและสูงส่งเช่นนี้แล้ว ยังมีคนกล้าอมมูลสุนัขมาพ่นในนี้อีก ถึงว่าเล่าถึงได้กลิ่นอะไรเหม็นๆแปลกๆ เจ้าได้กลิ่นหรือไม่เป่าเป้ย”
“อืม ข้าก็ได้กลิ่น ในตอนแรกคิดว่าแม่บ้านคงลืมทิ้งขยะเสียอีก”
“ไม่ใช่หรอก เป็นเพราะคนแถวนี้ไม่ชอบบ้วนปาก ปากก็เลยเหม็น นี่เจ้ารู้หรือไม่คนแถวนี้บางคนทำเป็นว่าให้ผู้อื่น แต่ว่าตัวเอง น้ำก็ไม่อยากอาบ ปากก็ไม่บ้วนเอาแต่แต่งหน้าผัดแป้งปกปิดความเน่าข้างในละ”
“ตายจริง โสโครกน่าดู เช่นนี้ผู้ใดจะกล้านอนใกล้กัน”
สายตาทั้งหลายเริ่มหันกลับไปจับจ้องที่เจาเนี่ยเฟยพร้อมกับมองนางแปลก แม้แต่ท่านหญิงที่เมื่อครู่พึ่งจะพูดคุยกับนางก็เริ่มขยับถอยห่าง เนี่ยเฟยโกรธจนหน้าแดงและชี้หน้าฟางเหยาทันที
“เจ้า!! เจ้ากล้ากล่าวหาข้าได้เช่นไร ข้า…ข้าอาบน้ำนะ แล้ว…แล้วก็บ้วนปากด้วย เจ้าสิปากสุนัข”
“เอ๊ะเป่าเป้ย เมื่อครู่นี้ข้าว่านางหรือ เจ้าได้ยินว่าข้าเอ่ยนามผู้ใดหรือไม่”
“ไม่นะ ข้าได้ยินแค่เจ้าบอกว่า “คนบางคน” เท่านั้นเอง เอ๊ะ แม่นางเจา หรือว่าเจ้าทำเช่นนั้นงั้นหรือ เหตุใดเจ้าดูร้อนตัวเสียจริง”
“กรี๊ด!!……ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ข้านะ พวกเจ้า พวกเจ้า….”
“เฮ้อ ไปกันเถอะเป่าเป้ย ข้าเริ่มเหม็นอีกแล้วละ ดูเหมือนว่าแถวนี้อากาศเริ่มจะไม่ดีเสียแล้ว”
“หยุดนะ!! ลี่ฟางเหยา”
ห้องส่งตัวกู้เป่าเป้ยโม่วตงลี่เดินเข้ามายังห้องส่งตัวเจ้าสาวของเขาพร้อมกับไม้มงคลเพื่อเปิดหน้าเจ้าสาว“ตงลี่ นั่นท่านหรือ”“ข้าเองเป่าเป้ย ขอโทษที่ให้เจ้ารอนานนะ”“ไม่เป็นไร ท่านรีบเถิด ข้ารู้สึกแปลกๆ อยากเปลี่ยนชุดแล้ว”“ได้สิ ข้าจะเปิดหน้าเจ้าตอนนี้เลย”เขาใช้ไม้เปิดใบหน้าเจ้าสาวแต่มันดันติดเครื่องประดับบนศีรษะของนางจนดึงออกไม่ได้“อย่าดึงนะ ข้าเอาออกเอง”“แย่จริง ข้ารีบร้อนไปหน่อยน่ะ”“ตงลี่ เหตุใดมือของท่านจึงสั่นถึงเพียงนี้”“ข้า…”“ท่านดื่มมาหนักหรือ หน้าท่านก็แดงมากเลยเกิดอะไรขึ้น ปกติท่านดื่มสุราเมาง่ายเช่นนี้เลยงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้เมานะ เจ้า…ต้องดื่มสุรานี่กับข้าด้วย”“อ้อ ใช่แล้วๆข้าเกือบลืมไปเลย มาเพคะองค์ชาย”“ยังจำได้สินะว่าข้าเป็นองค์ชาย ปกติพูดกับข้าธรรมดานี่”“ก็ผู้ใดขอให้หม่อมฉันพูดเช่นนั้นเองเล่าเพคะ ตอนนี้จะมาน้อยอกน้อยใจมันไม่ช้าไปหรอกหรือเพคะ”“ก็แค่ช่วงจะไปเมืองหลวงเท่านั้นที่จะให้เจ้าฝึกพูดเช่นนั้น แต่ต่อไปก็ไม่ต้องพูดเป็นทางการแล้ว ข้าได้ยินพี่สะใภ้คุยกับพี่แปดแล้วเวียนหัว”“เช่นนั้นข้าจะเริ่มฝึกพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ”“ตามใจเจ้าเลย มาเถอะน้องหญิง ดื่มสุรามงคลกัน
พิธีมงคลสมรส“ยินดีด้วยๆ องค์ชายทั้งสองยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งเฟิ่งหยวนและตงลี่ต้องคอยรับแขกในงานหลังจากที่เจ้าสาวของพวกเขาถูกส่งไปยังห้องส่งตัวแล้ว แม้ว่าแต่ละคนจะอยากเร่งไปยังห้องส่งตัวมากแต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะต้องอยู่ในงานเลี้ยงก่อน องค์รัชทายาทสั่งคนให้เรียกทั้งคู่เข้าไปในห้องเพื่อเลี่ยงแขกสักครู่ “พี่ใหญ่ เรียกพวกเรามา มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ามีของขวัญจะมอบให้เจ้าทั้งสอง”พวกเขาเดินตามองค์รัชทายาทเข้าไปในห้องและนั่งที่โต๊ะ “นี่คือ….”“นี่ก็คือของขวัญที่จะมอบให้พวกเจ้าในคืนนี้ ดื่มเสียสิ ข้าให้คนต้มมาให้พวกเจ้า บำรุงเสียหน่อยก่อนจะเข้าห้องส่งตัว”""บำรุง""“ใช่ เชื่อข้าเถอะน่า ข้าเป็นพี่เจ้านะเรื่องเช่นนี้ข้าผ่านมาก่อน รับรองว่าเจ้าจะได้มีบุตรทันใช้เป็นแน่ เหตุใดจ้องหน้าข้าเช่นนี้เล่า ไม่เชื่องั้นหรือ”“ไม่ใช่ไม่เชื่อพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าข้าคิดว่าพี่แปดกับข้า จำเป็นต้องบำรุงด้วยยานี่ด้วยงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะก็ในเมื่อพวกกระหม่อม….แข็งแรงดุจอาชาศึกขนาดนี้”“เจ้าไม่เชื่อข้างั้นหรือ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าบ่าวหมาดๆอย่างพวกเจ้าหรอกน่า เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าเป็นตัวอย่างสิ นางตั้งครรภ
สิบวันถัดมากองทัพขององค์รัชทายาทเดินทางไปแคว้นหานพร้อมกับส่งมอบตัวองค์ชายกว้านเหมาพร้อมกับยื่นข้อเสนอให้แคว้นหานหยุดรุกรานแคว้นรอบข้างเป็นเวลาสามสิบปีนับจากนี้ตัวแทนแคว้นต่างๆเข้าร่วมในการทำข้อสัญญาในครั้งนี้ด้วย กว้านเหมาถูกลดลำดับขั้นเป็นเพียงอ๋องและถูกส่งไปชายแดนด้านตะวันออกซึ่งห่างไกลกับความเจริญเพื่อเป็นการลงโทษ“เขายอมงั้นหรือเพคะ”“เป็นคำสั่งของฮ่องเต้เพื่อจะดัดนิสัยเขาที่เอาแต่ใจ อันที่จริงฮองเฮาเองก็หาวิธีดัดนิสัยของเขามานานแล้วครั้งนี้ถือว่าเขาน่าจะเข็ดไปอีกนาน”“เช่นนั้นเรื่องที่ชายแดนก็นับว่าสงบแล้ว”“ใช่แล้วล่ะ กว้านเหมากลัวแทบตายเมื่อรู้ว่ายาถอนพิษต้องกินถึงสามครั้ง เขาเลยยอมบอกแหล่งผลิตอาวุธร้ายแรงและแหล่งผู้ที่ค้าขายดินปืนและเครื่องมือผลิตให้พี่ใหญ่ จากนี้คงจะไม่มีผู้ใดกล้าผลิตอาวุธนั่นอีก”“แน่ใจหรือเพคะว่าเขาบอกหมดแล้ว”“เขากลัวขนาดนั้น คงไม่กล้าปิดบังอะไรไว้อีกแล้วละ เรื่องนี้เป็นความชอบของเจ้า เสด็จพ่อประทานรางวัลมาให้มากมายรวมถึง…ล้างมลทินให้กับวิหควายุด้วย จากนี้วิหควายุคือจอมยุทธ์ผู้ผดุงความเป็นธรรมกำจัดคนชั่วเพื่อแผ่นดิน”“เช่นนั้นแสดงว่าหม่อมฉันก็ยังใช้ชื่อน
“เจ้าจะให้ข้าเชื่อใจ ทั้งๆที่เจ้าไม่เคยบอกไม่เคยพูดสิ่งใดเลยงั้นหรือฟางเหยา”“เฟิ่งหยวน เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นคนผิดเอง แต่โปรดฟังเหตุผลก่อน ในเวลานั้นหม่อมฉันมีเวลาตัดสินใจเพียงเล็กน้อย พระองค์มิได้มาหาหม่อมฉันก่อนที่ข้าจะไปที่นั่น หม่อมฉันรู้เพราะว่าพระองค์ถูกอาจารย์ขังเอาไว้ เรื่องนี้ไม่โทษพระองค์ แต่หม่อมฉันรู้นิสัยของกว้านเหมาว่าจะต้องทำเช่นนั้นเลยตัดสินใจเอาตัวเองเข้าเสี่ยง แต่รู้ว่าเขาต้องหลงกลตั้งแต่แรกโดยที่ไม่ต้องเปลืองตัว เรื่องนี้…”“แล้วหากเขาไม่หลงกลเจ้า และทำเรื่องน่าอายนั่นขึ้นมาละ เจ้าคิดว่าหากข้ารู้เรื่องนี้ทีหลัง หรือเจ้ากว้านเหมานั่นมาพูดกับข้าว่ามัน…..”“หม่อมฉันเข้าใจเรื่องที่พระองค์ทรงกังวล แต่มันมิได้เกิดขึ้นและหม่อมฉันเองก็คิดแผนเอาไว้แล้วหากว่าเขาไม่หลงกล ก็แค่ใส่ยาเอาไว้ในสุราเท่านั้น เขาไม่มีทางที่จะได้สัมผัสตัวหม่อมฉัน เฟิ่งหยวนหม่อมฉัน…..พูดจริงๆนะ”“เรื่องยาถอนพิษนั่น.....”“ยาถอนพิษนั่นเป็นแผนของหม่อมฉันเอง ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยเตือนแล้วว่าคนผู้นี้มีมากกล หม่อมฉันเลยคิดว่าการถอนพิษกับเขามันง่ายไปหน่อย หนามยอกเอาหนามบ่งเช่นนี้จึงจะสามารถลากแผนชั่วของเขาออก
หยางเฟิ่งหยวนเดินออกมาจากห้องโถงเพื่อจะเดินกลับออกไปขึ้นรถม้า ฟางเหยาเมื่อเห็นเขาจึงรีบขอตัวจากเพื่อนๆและวิ่งตามเขาออกมาทันทีเพราะไม่แน่ใจว่าเขานึกไม่พอใจสิ่งใดหรือไม่“เฟิ่งหยวน นั่นท่านจะไปที่ใด”เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเสด็จอาในห้องโถงและเรื่องยาถอนพิษที่องค์รัชทายาทตรัสเมื่อครู่เขาก็เริ่มกัดกรามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย“องค์ชาย พระองค์เป็นอะไรไปเพคะ”“เปล่า ข้าเหนื่อยแล้วอยากกลับไปพักผ่อน”“แต่ว่านี่ยังไม่ดึกเลยนะเพคะ แล้วก็องค์รัชทายาทก็ยังประทับอยู่”เขาหันมามองใบหน้าที่มองเขาโดยที่ไม่ได้รู้ว่าเขากำลังโมโหนาง และยังไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจขององค์ชายแปดเริ่มร้อนรนเพราะความโกรธ“เหตุใดพระองค์จึงทำท่าทีเช่นนี้ มีผู้ใดทำให้พระองค์กริ้วงั้นหรือเพคะ”“ลี่ฟางเหยา เจ้าคิดจะบอกเรื่องยาถอนพิษของกว้านเหมากับข้าเมื่อใด”คำถามนี้ทำเอานางตกใจไปเล็กน้อยเพราะมัวแต่ยุ่งและตื่นเต้นที่ได้กลับบ้านจนลืมบอกเรื่องนี้กับเขาไป นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เขาโกรธ ฟางเหยารู้สึกแปลกใจ เรื่องยาพิษนั่นนางนำยาถอนพิษไปให้อาจารย์แล้วจึงมิได้ใส่ใจอีก แต่เหตุใด….“พระองค์โกรธหม่อมฉันเรื่องนี้หรือเพคะ หม่อมฉันคิ
“ที่ชิงโจวเป็นบ้านของฟางเหยา ข้าเองก็คิดว่าที่นี่น่าอยู่และเงียบสงบมาก และข้าก็รับปากกับอาจารย์ใหญ่เอาไว้แล้วว่าจะดูแลสำนักศึกษานี้ร่วมกับเขา ดังนั้นเรื่องกลับเมืองหลวง ข้าทูลเสด็จพ่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“พี่แปด ท่านไม่เห็นบอกข้าเลย เช่นนั้นข้าจะทำให้เป่าเป้ยท้องบ้าง จะได้…”“ไม่ต้องเลย เจ้ากับพระสนมโม่วยังต้องคุยกันอีก อย่าลืมสิว่า ที่พระชายาเจ้าหนีมาเพราะเสด็จแม่เจ้า ตัวเจ้าเป็นผู้ก่อเรื่องต้องพานางไปพบพระสนมก่อนอย่างน้อยให้นางได้รับรู้ว่านางเข้าใจพระชายาเจ้าผิด นางเป็นถึงบุตรีขุนนางใหญ่ มิใช่หญิงชาวบ้านอย่างที่เสด็จแม่เจ้าคิด”“ข้าก็เพียงแค่พูดเผื่อไว้เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรข้าก็ส่งจดหมายไปบอกเสด็จแม่แล้ว นางก็เข้าใจแล้วเพียงแต่หากพระองค์รู้ว่ามีหลานก็จะยิ่งดีใจมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง”“ข้าเข้าใจเจ้านะน้องเก้า แต่เจ้าจะสุกเอาเผากินไม่ได้ การที่เจ้าทำเช่นนี้ก็มิใช่ว่าจะดีกับนาง ดีเพียงใดแล้วที่นางไม่ตั้งครรภ์ก่อนจะหมั้นหมายกับเจ้า โชคดีที่บิดานางไม่เอาเรื่อง”“ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่ตักเตือนได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่ท่านลงมาชิงโจวครั้งนี้กะจะมาต่อรองกับแคว้นหานใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ใช่