ในคราแรกหลี่โต๋วเปาแค่ต้องการช่วยฉินอี้หนิงจากอันตรายเท่านั้น ชายหนุ่มจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ว่าในระหว่างนั้นเขาได้เผลอพูดประโยคแปลกๆ อะไรออกไปบ้าง
ตอนนี้เขาคือคนอื่นสำหรับนาง และมันอาจไม่เปลี่ยนแปลงไป หากเขาเอาแต่อยู่นิ่งโดยไม่กระทำการบางอย่าง
“ตอบมาสิ ว่าท่านเป็นตัวประหลาดจากยุคใด? ในวันนั้นข้าจำได้ เพราะเศษไหเหล้าบ๊วยที่บาดหลังเท้าข้ามันเจ็บมากๆ เช่นนั้นข้าจึงไม่ลืมมันไปง่ายๆ” คราวนี้ฉินอี้หนิงขยับเข้ามาใกล้คนตัวสูงมากขึ้น พร้อมทั้งใช้นิ้วชี้ ชี้ไปที่ดวงตากลมสวยของตนเอง “นัยน์ตาสีฟ้านั่น ข้าก็จำได้ ท่านคือเทพเจ้าแมวหรือเจ้าคะ ทั้งยังเป็นผู้ที่ส่งของแปลกๆ มาให้ข้า”
แม้ใบหน้าหล่อเหลาของหลี่โต๋วเปาจะนิ่งสงบ ทว่าภายในใจกลับลนลานอย่างที่สุด ชายหนุ่มลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอไปหลายอึกทีเดียว ขณะที่สมองพยายามคิดหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุดเพื่อนำมาตอบคำถามของฝ่ายตรงข้าม
“แล้วทำไมใบหน้าของท่าน ถึงดูคล้ายคนสกุลหลี่ขนาดนี้…” เสียงหวานเบาหวิวราวกับพึมพำกับตนเอง คำถามอีกชุดถูกยิงมาในเวลากระชั้นชิด ทว่าในดวงตาสีดำขลับของฉินอี้หนิงกลับแฝงบางอย่างเอาไว้ มันมีทั้งความหวาดกลัว ความประหม่า และความลังเลใจ
หลี่โต๋วเปาได้แต่ตอบกลับนางอยู่ภายในใจว่า เพราะเขาเป็นคนสกุลหลี่อย่างไรล่ะ แต่เพราะย้อนนึกถึงข้อมูลจุดจบของชีวิตฉินอี้หนิง ชายหนุ่มก็ลังเลที่จะบอกความจริงกับนาง เพราะกลัวว่าความจริงนั้นจะทำให้วาสนาของทั้งสองหยุดลงอย่างรวดเร็ว
บุรุษแปลกหน้าถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนตัดสินใจพูดความจริงบางอย่าง
“ข้าเป็น…”
“เจ้าน่ะหรือ คือคนรักของเสี่ยวหนิงหลานข้า บุรุษหน้าหยกที่ชาวบ้านกำลังกล่าวถึง ก็ดูหล่อเหลาไม่เลวจริงๆ”
ยังไม่ทันได้เอ่ยอธิบาย เสียงของท่านตาฉินก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี
“มะ ไม่ใช่แบบนั้นนะเจ้าคะท่านตา” ฉินอี้หนิงโพล่งขึ้นทันที
ชายชรากำลังเดินมาตามถนนดินแดงที่ฉินอี้หนิงกับหลี่โต๋วเปายืนอยู่ ไม่ได้สนใจคำพูดของผู้เป็นหลานสาว แต่สนใจในสิ่งที่ได้ยินมาจากชาวบ้านมากกว่า ร่างเล็กสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย มือหนึ่งถือมัดรากสมุนไพรแห้ง อีกมือพาดไว้ข้างหลัง ท่วงท่าผ่อนคลายราวกับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดสำคัญ แต่แววตาใต้คิ้วขาวกลับกวาดมองบุรุษที่ยืนข้างหลานสาวอย่างเงียบเชียบ
หลี่โต๋วเปาหยุดชะงัก พลันคิดบางอย่างออก
เพราะในเมื่อคำพูดพล่อยๆ ของเขาทำให้คนทั่วทั้งหมู่บ้านฮุ่ยฟางเข้าใจผิด เช่นนั้นระหว่างนี้ เขาก็จะรับผิดชอบฉินอี้หนิงเอง จนกว่านางจะผ่านพ้นยุคเลวร้ายในวัย 19 ปีไป เขาก็จะขอเป็นคนรัก (ปลอมๆ) ของนาง อย่างน้อยมันก็คงทำให้เขาสบายใจมากกว่าการพยายามจับคู่นางให้กับบุรุษอื่นที่ไม่รู้ว่าจะชั่วหรือเลวมากแค่ไหน
ต่อจากนี้จะเป็นการละครของอดีตจอมพลแห่งยุคจักรวรรดิอวกาศ…
“ท่านตาฉินเข้าใจถูกแล้ว ข้ากับอี้หนิงมีความสัมพันธ์เช่นนั้นกันจริงๆ ข้าต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนพวกท่านโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า” ชายหนุ่มค่อมศีรษะทำความเคารพฝ่ายนั้น พลางเอ่ยเรียบๆ เพื่อหวังจะเปลี่ยนบทสนทนา
“ท่านพูดอะไร? เรื่องนั้นมันไม่จริงนะเจ้าคะท่านตา” หญิงสาวพยายามแก้ต่าง ทว่าร่างบางกลับโดนแขนแกร่งรั้งเข้ามากอดอย่างหน้าไม่อายด้วยฝีมือของคนตัวโตเสียก่อน
“น้องอี้หนิงเจ้าไม่ต้องหวาดกลัว ท่านตาฉินก็เคยเป็นหนุ่มมาก่อน ท่านย่อมเข้าใจความรักของพวกเราดี” หลี่โต๋วเปาใช้พลังจิตทำให้ร่างบางหยุดนิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับแสร้งยกมือขึ้นปลอบประโลมนางอย่างอ่อนโยน
“ใช่แล้วเสี่ยวหนิง ไม่ว่าเจ้าจะเลือกผู้ใดเป็นคู่ชีวิต ตาก็ไม่คิดขัดขวางหรอก เพียงแต่เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ เหตุใดต้องปิดบังกันด้วยเล่า?” ใบหน้าของชายชราฉายแววเข้าใจหลานสาวเป็นอย่างดี
นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายที่หลี่โต๋วเปาจะเล่นละครบทต่อไป
“ข้าได้พบอี้หนิงครั้งแรกในตอนที่มาทำการค้าที่นี่ขอรับ ในตอนนั้นนางอายุเพียงสิบสี่หนาว ข้าตชจึงไม่ได้สนใจมากนัก ทว่าเพราะนางเก่งกล้าสามารถไปเสียทุกเรื่อง ข้าจึงไม่อาจหักห้ามใจได้ จากนั้นเราสองคนจึงเริ่มสานสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งนางถึงวัยปักปิ่น แต่เพราะครอบครัวของข้าเป็นคนเมืองหลวงที่ค่อนข้างเคร้งครัดเรื่องพื้นเพคู่ชีวิต ข้าจึงขอร้องให้นางปิดบังเรื่องนี้ไว้ก่อน จนกว่าข้าจะสามารถเกลี้ยกล่อมทางบ้านให้มาสู่ขอนางได้…”
“…..”
“แต่เพราะอี้หนิงเป็นเด็กกำพร้า ครอบครัวของข้าจึงยืนกรานจะไม่รับนางเข้ามาเป็นสะใภ้ พวกเขาให้ทางเลือกแก่ข้าสองทาง คือแต่งงานกับคนที่ท่านแม่เลือก หรือแต่งกับฉินอี้หนิงแต่ต้องออกจากตระกูล ข้ามั่นคงในรักที่มีต่ออี้หนิง จึงเลือกที่จะออกจากตระกูลเพื่อมาอยู่ดูแลนาง ระหว่างที่ข้าหางานมั่นคงในหมู่บ้านนี้ หากท่านตาไม่ว่าอะไร ข้ายินดีช่วยงานเล็กน้อยในเรือน เพื่อแลกข้าวหนึ่งมื้อกับที่พักหนึ่งคืน”
ท่านตาฉินเหลือบตาไปทางหลานสาวที่ยังยืนนิ่ง ยามนี้ใบหน้าของฉินอี้หนิงแดงก่ำ (หน้าแดงด้วยความโกรธ) พาลให้ท่านตาฉินเข้าใจผิดไปเองว่านางกำลังเขินอาย ด้วยความสงสารในชะตาชีวิตของบุรุษผู้นี้ ชายชราจึงพยักหน้ารับเบาๆ
“เรือนของข้าแม้จะเล็ก แต่ก็ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ ขอเพียงเจ้ารักหนิงเอ๋อร์หลานสาวข้าด้วยใจจริง” ชายชรากล่าวอย่างไม่เร่งรีบ “เช่นนั้นวันนี้ เจ้ามาช่วยข้าแยกรากฝางจี [1] กับรากชวงซง [2] ก่อนก็แล้วกัน”
หลี่โต๋วเปาค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ขอบพระคุณท่านตาฉินมาก ข้าจะไม่รบกวนท่านนานเกินไปแน่นอน ข้าจะพยายามสร้างตัวเพื่อให้ท่านมั่นใจว่าอี้หนิงจะไม่ต้องอยู่อย่างอดอยาก หรือลำบากในอนาคต”
ชายหนุ่มเลือกที่จะสร้างตัวตนปลอมขึ้นมา และไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าตนเป็นใคร ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เพราะในขณะนี้…สิ่งที่เรียกว่าครอบครัวซึ่งอยู่ตรงหน้าของเขา ช่างอบอุ่นเกินไปสำหรับความจริงอันแปลกประหลาดที่ยากจะเชื่อ
“พวกเจ้าก็รีบตามมาเถอะ…” ท่านตาฉินกวักมือเรียกก่อนจะเดินนำหน้าไปก่อน
หลี่โต๋วเปาจึงมีโอกาสได้พูดคุยกับฉินอี้หนิง เพื่อหวังว่านางจะยอมเล่นละครตามน้ำ และรอดพ้นจากสิ่งร้ายๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
มือใหญ่โอบกอดร่างเล็กเข้ามาแนบชิด ทั้งที่หัวใจของเขาก็กำลังเต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุม
“แต่งเรื่องเก่งขนาดนี้ ท่านคิดจะทำบ้าอะไร?” เมื่อร่างกายถูกคลายพลังจิตออกไปบางส่วน ฉินอี้หนิงก็ใช้กำปั้นน้อยๆ ของนางทุบอกฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว แม้ไม่แรงนักเพราะนางไม่เคยทำร้ายใคร แต่ก็ค่อนข้างสร้างความสะใจให้หญิงสาวอยู่ไม่น้อย ส่วนหนึ่งอาจเพราะฝ่ายตรงข้ามมีใบหน้าที่คล้ายทรราชสกุลหลี่อยู่หลายส่วนกระมัง
“อาจเพราะข้ารักเจ้า” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาไม่ดังนัก ทว่าชัดเจน ขณะที่ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบนิ่ง และไม่มีอารมณ์ใดถูกแสดงออกมาเป็นพิเศษ
“ท่านมันตัวประหลาดจริงๆ ถ้าเชื่อท่าน ข้าคงไม่ใช่คน”
หลี่โต๋วเปายิ้มน้อยๆ บนมุมปาก “ข้าสัญญาว่าจะคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย ไม่ทำอะไรแปลกๆ กับเจ้าแน่นอน เจ้าเองก็คงไม่อยากโดนวอแวจากบุรุษ หรือโดนจับไปแต่งงานโดยไม่เต็มใจใช่หรือไม่?”
“แต่ข้าไม่ได้ขอให้ท่านมาช่วยเสียหน่อย”
“ข้าเต็มใจช่วย และหากเจ้าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ก็ต้องมั่นใจในสิ่งที่ข้าจะทำ” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อน “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนทั่วไป” ชายหนุ่มจงใจเน้นคำว่าคนเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความลังเลให้ฉินอี้หนิงหลงคิดว่าเขาเป็นเทพเจ้ามาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ซึ่งเป็นความเชื่อแปลกๆ ของผู้คนในยุคสมัยนี้
“ท่านชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหนข้ายังไม่รู้เลย”
“เรื่องพันนั้นมันจำเป็นด้วยเหรอ?”
“ก็ในเมื่อเรากำลังจะเป็นสามีภรรยากัน มีครอบครัวไหนไม่รู้จักชื่อสมาชิกในครอบครัวบ้างล่ะ”
“ก็อาจจะมีอยู่” เขาจงใจกวนประสาทนาง พอได้เห็นท่าทีที่พอใจจึงเอ่ยต่อ “เรียกข้าว่าเว่ยหนี่ฉาง หรือไม่ก็เรียกท่านพี่ก็พอ”
“ข้านึกว่าท่านจะมีชื่อน่ารักๆ ว่าโต๋วเปาเสียอีก” นางอดไม่ได้ที่จะแซวเพื่อลองเชิง ทว่าท่าทีของชายหนุ่มกลับไม่ได้แฝงความหลอกลวงอยู่ตั้งแต่ต้น
“นั่นคือชื่อที่แท้จริงของข้า” หลี่โต๋วเปาตอบไปตามตรง แน่นอนว่าคำว่ารัก เขาก็ไม่เคยเอ่ยกับผู้ใดเล่นๆ เช่นกัน
“ท่านสกุลโต๋วหรือเจ้าคะ” นางยังคงถามต่อ ทว่ายามนี้ใบหน้างามดูสดใสขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ใช่”
“งั้นก็คงเป็นสกุลเว่ย” พอเห็นฝ่ายตรงข้ามพยักหน้าน้อยๆ นางก็ไม่รอช้าที่จะถามต่อ “แต่ทำไมท่านไม่ใช่ชื่อจริงเล่า?”
“เพราะมันอาจดูประหลาด หากข้าใช้ชื่อเดียวกับแมวที่หายตัวไป”
ฉินอี้หนิงหัวเราะเบาๆ “นั่นก็จริง ท่านตากับท่านยายที่เลี้ยงดูข้าคงคิดหาคำตอบของชื่อท่านจนหลงทางไปไกลแน่”
เพราะนางไม่ได้รู้สึกรังเกียจฝ่ายตรงข้าม กลับกันยิ่งรู้สึกปลอดภัยที่มีเขา และรู้สึกผูกพันกับเขาเสียมากกว่า จึงยินยอมที่จะเดินตามเกมของชายหนุ่มผู้เป็นดังเทพเจ้าอย่างง่ายดาย
“เช่นนั้นข้าจะให้เกียรติชื่อของท่าน และเรียกท่านว่าท่านพี่นะเจ้าคะ”
สิ้นประโยคแสนน่ารักของฉินอี้หนิง ระหว่างการเดินกลับบ้านของทั้งสอง ก็มีเพียงเสียงจากธรรมชาติเท่านั้น
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านของสกุลฉิน หญิงชราก็มองหลี่โต๋วเปาด้วยแววตาเมตตา ส่วนชายชราผู้เงียบขรึมนั้น แม้จะมีความหวงหลานสาวอยู่บ้าง แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจในชีวิตมนุษย์
สุดท้ายคือหญิงสาวที่แม้จะมีดวงตาแข็งกร้าวอย่างคนไม่พอใจกัน แต่กลับยื่นมื้อกลางวันแสนอร่อยให้เขาโดยไม่พูดอะไร
หลี่โต๋วเปาได้แต่คิดเงียบๆ เขาจะไม่เร่งบอกความจริง หากมันยังไม่ถึงเวลา เพราะบางครั้งการได้อยู่ใกล้ฉินอี้หนิงอย่างเงียบๆ ก็อาจมีค่ามากกว่าคำอธิบายพันล้านคำอันไร้ประโยชน์ที่เขาต้องกล่าวออกไป
[1] ฝางจี คือสมุนไพรจีนที่ใช้ ราก ไม่ใช่ใบ สรรพคุณขับปัสสาวะ แก้ปวดข้อ ลดบวม
[2] กระตุ้นการไหลเวียนเลือด บรรเทาปวดประจำเดือน ใช้บ่อยในตำรับบำรุงเลือด แก้เลือดคั่งในหญิงสาว
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป