ณ คฤหาสน์ลอยฟ้าของนายพลเคิร์ฟ เขตอาณาจักรกลาง | ปี xxxxx จักรวรรดิที่ 7
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้คือความหรูหราที่แม้แต่ผู้ทรงอิทพลคนอื่นๆ ในดาวศูนย์กลางยังต้องเหลียวมอง
กลางท้องฟ้าประดิษฐ์เหนือแกนพลังงานหลักของเมืองหลวง มีโดมลอยฟ้าขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่ในห้วงอากาศ มองจากภายนอกมันคือกลีบดอกกุหลาบโลหะที่บานสะพรั่งเหนือท้องฟ้ายามกลางคืน มองจากภายในมันคือสวรรค์จำลองที่เต็มไปด้วยความประณีตในทุกอณู
พื้นทางเดินของแต่ละห้องเป็นผลึกตัดจากควอตซ์เขียวมรกตที่ขุดได้จากดาวชั้นใน บรรดาโต๊ะจัดเลี้ยงประดับด้วยดอกไม้จริงจากระบบดาวไร้ชื่อซึ่งมีแค่สองฤดูในรอบศตวรรษ
และเหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือการที่บรรดาพนักงานบริการทุกคน ล้วนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่ใช่อวาตาร์ แต่คือคนที่นายพลเคิร์ฟจ้างมาด้วยค่าจ้างระดับวีไอพี เพียงเพื่อแสดงความใส่ใจต่อแขกคนสำคัญเพียงคนเดียวอย่างหลี่โต๋วเปา
แม้ไม่อยากมานัก แต่เพราะคำกล่าวที่ว่าเขาจะเข้าไปเยี่ยม หลี่โต๋วเปาจึงต้องมาด้วยตนเอง ยามนี้ยานส่วนตัวของเขาลดระดับลงอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงคำราม ไม่มีแสงสว่างเกินจำเป็น
เมื่อทุกอย่างคงที่ ชายหนุ่มในชุดสูทพลังงานสีดำสุดหรูก็เดินลงมาพร้อมเงาสะท้อนบนพื้นควอตซ์
เส้นพลังงานสีทองอ่อนบนชุดวาบวับตามจังหวะการก้าวเดิน แม้ดูเรียบง่าย แต่ออร่าบางอย่างบนตัวก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับใครหน้าไหนในที่นี้
ผู้คนรอบข้างต่างหันมองด้วยสายตาเก็บอารมณ์ บ้างแอบกระซิบ บ้างทำเพียงยืนนิ่ง เพราะนั่นคืออดีตจอมพลผู้ไม่เคยแพ้ในสงครามระหว่างดวงดาว และตอนนี้เขาคือเจ้าของเครือข่ายสตรีมไร้กล้อง รวมถึงธุรกิจพลังงานควอนตัม และอวาตาร์ชีวภาพที่ล้ำยุคที่สุด
หลี่โต๋วเปาไม่ได้พูด ใบหน้าหล่อเหลาแทบจะไม่มีรอยยิ้ม และไม่แสดงความสนใจต่อสิ่งใดในงาน
เมื่อก้าวเข้าสู่โดมกลางงานเลี้ยง เสียงดนตรีคลาสสิกของยุคดาวอัลเทียก็ดังขึ้นขับกล่อมพอให้บรรยากาศไม่เงียบเกินไป บรรดาโต๊ะจัดเลี้ยงต่างประดับด้วยดอกไม้ และอาหารจากดินแดนที่ห่างไกล แต่หลี่โต๋วเปากลับทำเพียงเดินผ่านพวกมันไปโดยไม่แม้แต่จะปลายสายตากลับไปมอง
เขามีเพียงความนิ่งเรียบ และความเย็นเยียบเช่นเคย
“ยินดีต้อนรับ ท่านหลี่”
เสียงของนายพลเคิร์ฟดังขึ้นจากมุมหนึ่ง ทำให้หลี่โต๋วเปารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ว่าในที่สุดเขาก็ไม่ต้องเสียเวลามากมายในการเดินหาเป้าหมายซึ่งก็คือคนคนนี้
เคิร์ฟ ฟอน เทียร์ แม่ทัพผู้ช่ำชองแห่งแนวชายแดน ตอนนี้แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มพิธีการอย่างที่สุด ซ้ำยังประดับยศด้วยผลึกดาวเทียม ฝีเท้าของชายวัยกลางคนแน่วแน่เช่นนายทหาร แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี
“ผมหวังว่างานคืนนี้จะพอทำให้ท่านผ่อนคลายได้บ้าง”
หลี่โต๋วเปามองเขานิ่งๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเล็กน้อย
“ผมตั้งใจจัดทุกอย่างด้วยมนุษย์จริง เพราะรู้ว่าท่านหลี่น่ะเคารพชีวิต” นายพลเคิร์ฟพูดเสียงนุ่ม พร้อมยื่นไวน์ผลึกแสนหายากให้ “ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีมันขาดแคลน แต่เพราะอยากให้ท่านรู้ว่า ผมตั้งใจจัดงานนี้เพื่อท่านมากแค่ไหน ฮ่าๆๆ”
หลี่โต๋วเปารับแก้วไวน์มาถือไว้ แต่ไม่ได้จิบ
“เป็นงานเลี้ยงที่ดีมากทีเดียวครับ เพียงแต่คืนนี้ยังมีใครอีก” หลี่โต๋วเปาถามเรียบๆ
“ถึงจะมีแต่คืนนี้คงไม่มีใครสำคัญเท่าท่านหลี่อีกแล้วล่ะ” นายพลเคิร์ฟหัวเราะเบาๆ ก่อนผายมือไปยังเวทีด้านใน “แต่แน่นอน ผมคงเสียมารยาทหากไม่แนะนำบุตรสาวคนโตอย่างไอรีนให้ท่านได้รู้จัก”
ประตูโปร่งใสเปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวในชุดสีเงินล้ำยุค เธอยืนอย่างมั่นคง ท่วงท่าไม่อ่อนน้อมเกินงาม และไม่หยิ่งผยองจนเกินรับไม่ไหว แววตาฉลาดนั้นทอดมองตรงมาที่หลี่โต๋วเปา เป็นแววตาอย่างคนที่เรียนรู้ว่าตนเองจะไม่มีวันคาดหวังความรักหรือความสงสารจากใคร
ร่างงามเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหยุดเท้าอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกัน แล้วโน้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อทักทาย
“ฉันชื่อไอรีน ยินดีที่ได้พบตัวจริงของท่านจอมพลหลี่ค่ะ”
หลี่โต๋วเปามองฝ่ายตรงข้ามเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบรับสั้นๆ
“ยินดีที่ได้พบคุณเช่นกัน”
“ฉันได้ยินเรื่องของคุณมามากมาย เกียรติยศด้านสงคราม เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า และความฉลาดล้ำของคุณ มันน่าสนใจและน่าทึ่งมากค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ไม่มีบทสนทนาหวานซึ้ง
ไม่มีประกายตาระยิบระยับของคนที่ต้องการศึกษาฝ่ายตรงข้าม
เพราะภายในจิตใจของหลี่โต๋วเปาในยามนี้ มีเพียงภาพของใครคนหนึ่งที่คงกำลังก้มถอนหญ้าอยู่ในนาข้าว หรือไม่ก็กำลังขึ้นเขา เข้าป่าไปเก็บผักล่าสัตว์ เด็กหญิงเพียงคนเดียวที่เคยยื่นแกงเห็ดให้แมวอย่างเขาด้วยมือเรียวสวย และรอยยิ้มพิมพ์ใจ
เรื่องความงามของสตรี ไม่มีใครสามารถเทียบฉินอี้หนิงได้เลยสักคน…
ท่ามกลางแสงไฟเรืองรองของจักรวรรดิ หลี่โต๋วเปากำลังยืนอยู่กลางงานเลี้ยงที่หรูหราที่สุดในจักรวาล
ทว่าหัวใจของเขา…กลับยังคงล่องลอยไปยังโลกใบเดิมของมวลมนุษยชาติ โลกสีฟ้าที่มีเพียงเสียงลม ต้นไม้ ดอกไม้ เสียงไก่ขัน และเด็กหญิงที่ชื่อฉินอี้หนิง
เขาทั้งหิวและอยากกลับไปกินข้าวฝีมือเด็กคนนั้นเหลือเกิน
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป