ในอีกด้านหนึ่ง
แม้ดวงตะวันจะยังไม่โผล่ขึ้นมาบนขอบเขา แต่ตลาดเช้าก็ยังคงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ทั้งชาวนา ชาวบ้าน พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ เสียงเรียกขายของ เสียงไก่ขัน และเสียงหม้อข้าวเดือดล้วนดังแทรกกันอยู่ทุกหัวมุม
ฉินอี้หนิงสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ สีเขียวอ่อนแสนซอมซ่อ นางผูกเปียรวมไว้ข้างเดียวอย่างเรียบง่าย ร่างบอบบางเดินถือกระบุงเล็กๆ ที่ท่านยายฝากให้ไปซื้อถั่วเหลืองและเกลือ
ทว่าแม้นางจะแต่งตัวบ้านๆ หรือทำตัวสกปรกมากมายแค่ไหน แต่นางก็ยังคงเปล่งประกายความงามในแบบที่ใครผ่านมาเห็นก็ต้องเหลียวมอง ไม่ใช่เพียงหนุ่มๆ ที่แอบยิ้ม แต่กลุ่มสาววัยไล่เลี่ยกัน ซึ่งอยู่แถวนั้นก็ทำหน้าเหมือนกำลังกลืนยาขม
“อุ๊ย ดูสิว่าใครมา”
เสียงกระซิบของหญิงสาวชื่อซ่งซิ่วหงดังขึ้น
“เป็นแค่ลูกสาวชาวบ้านแท้ๆ ทำมาเดินตวัดหางกลางตลาด นึกว่าตัวเองเป็นองค์หญิงจากแคว้นไหนกันล่ะ”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง อาจจะนึกว่าตัวเองเป็นเซียนสาวลงจากเขาก็ได้ ฮ่าๆๆ” อีกคนพูดแล้วหัวเราะคิก
ฉินอี้หนิงชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มบางๆ ตอบกลับไปแบบคนไม่คิดจะทะเลาะด้วย
“พี่สาวทั้งสาม ข้าขอผ่านทางหน่อยนะเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเรียบๆ พลางก้าวข้ามทางเดินแคบระหว่างแผงผักเพื่อไปยังอีกฟากหนึ่ง
“จะรีบไปไหนล่ะ? หรือกลัวกลับช้าแล้วลูกชายบ้านไหนจะอดเห็นหน้านวลๆ ของเจ้า”
ซ่งซิ่วหงคือคนแรกที่กล้าก้าวเข้ามาขวางทาง ทั้งยังเหยียดริมฝีปากยิ้มด้วยความหมั่นไส้ ราวกับมีบางอย่างที่แผดเผานางอยู่ภายในใจ
ฉินอี้หนิงยังคงรักษาท่าที แต่สายตาเริ่มวาวขึ้นเล็กน้อย อาจเพราะเดิมทีนางไม่ใช่คนอ่อนแอ เพียงแต่ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับคนไร้สาระเท่านั้น แต่ก่อนที่เด็กหญิงจะทันได้เอ่ยอะไรออกไป
ฟึ่บ!
เสียงกระโจนหนึ่งก็ดังขึ้นกลางตลาด
“แฮ่!!!”
แมวอ้วนขนปุกปุย พุ่งเข้าใส่ซ่งซิ่วหงจากทางด้านข้างด้วยความเร็วที่เหนือความคาดหมาย ก่อนที่กรงเล็บเล็กๆ ทว่าแหลมคมระดับยุทธภัณฑ์ จะตวัดข่วนเข้าเป้าแบบไม่มีการเตือนล่วงหน้า
“กรี๊ด! แมวบ้าจากที่ไหนเนี่ย!!!”
ซ่งซิ่วหงร้องลั่น ขณะที่เพื่อนสาวอีกสองคนของนางรีบถอยหลังกรู พร้อมกับทำท่าทางเหมือนเจอสัตว์ประหลาด
แน่นอนว่าในช่วงหลายวันมานี้ คนที่โผล่มาในจังหวะคับขันของฉินอี้หนิงยังคงเป็นหลี่โต๋วเปา (เวอร์ชันแมว) เจ้าก้อนขนสุดน่ารักกระโจนไถลลงพื้นอย่างเท่ ก่อนจะหันกลับมาแฮ่ใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยเสียงต่ำแบบแมวที่อารมณ์บ่จอยอย่างสุดๆ
“เจ้าบ้า! มันกัดเสื้อข้า! ปล่อยยยย อ๊าย! มันข่วนแขนข้า!”
ความวุ่นวายนั่นทำให้ฉินอี้หนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ซิ่วหง ช่วยด้วย! มันจ้องตาข้าแล้ว ขะ…ข้าขยับไม่ได้!”
ทุกคนที่ได้ยินต่างคิดว่าสตรีน้อยนางนี้คงกลายเป็นบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็คงปอดแหกจนไม่กล้าเข้าไปช่วยเพื่อน จึงได้แต่งเรื่องน่าอายเช่นนี้ออกมา
“ข้าก็เหมือนกัน เจ้าแมวนั่น มะ มะ มะ มันเป็นแมวผีหรือเปล่า!?”
“กรี๊ดดดด!!! นังพวกบ้าไร้ประโยชน์” ซ่งซิ่งหงร้องระงมราวกับคนสติแตก
แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงการใช้พลังจิตอันเล็กน้อยของหลี่โต๋วเปาเท่านั้น และฉากดังกล่าวก็กำลังถูกสตรีมอยู่ เกิดเป็นเสียงฮือฮาจากผู้ชมยุคอนาคตที่แห่แหนกันมาดูแบบ real-time
ตอนนี้ระบบแสดงจำนวนผู้ชมอยู่ที่ 72,000 คน ส่วนคอมเมนต์จากยุคจักรวรรดิล้วนเป็นแนวสะใจเสียมากกว่าจะสงสารฝ่ายนั้น
[Space_Coffee88 : พระเอกมักมาในร่างแมวเสมอ! ข่วนดี๊ดี!]
[xX_FenrirBot_Xx : ได้กราบแมวก็วันนี้! โดดทีเดียววงแตกกระเจิง]
[ฟรานซิสสส : ทีมแมวอ้วนผู้รักเดียวใจเดียว]
[MemeGeneral707 : ฉากนี้ควรเอาไปทำโปสเตอร์หนังเรื่อง แมวของเธอ กรรมของใคร ฮ่าๆๆ]
[ZettaFlame : นี่เผลอซูมตาตอนข่วนค่ะซิส โอ๊ยย นั่นมันดวงตาสีอความารีนสุดหายาก เหมือนของมหาบอสตระกูลหลี่เลยนะเว้ยยย!]
หลังจากไล่กลุ่มสาวปากร้ายจนพวกนางถอยกรูไปคนละทาง หลี่โต๋วเปาก็เดินยืดอก (หรือจะเรียกว่ายืดขน?) กลับมายังฉินอี้หนิงด้วยท่าทางภาคภูมิ
“โต๋วเปา เจ้าทำอะไรน่ะ…” เด็กหญิงอุ้มเจ้าแมวอ้วนขึ้นมาไว้ในอ้อมอก ตอนนี้นางทั้งขำทั้งตกใจไปในคราวเดียวกัน
แต่เมื่อเห็นหน้าของเจ้าแมวสีขาวสะอาดที่แอบทำเป็นนิ่งสง่า พลางหันไปมองทางอื่นอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ฉินอี้หนิงก็เผลอยิ้มออกมาอีกครั้งด้วยความเอ็นดู
“ขอบใจนะ ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้วล่ะ” นางพูดเบาๆ พลางลูบหัวเจ้าเหมียวเพื่อปลอบโยนมัน แน่นอนว่า…โต๋วเปาไม่ได้ตอบอะไร
ชายหนุ่มทำเพียงพาดคางลงกับไหล่ของเด็กหญิงอย่างคนที่ไม่ยอมบอกว่าห่วง แต่ก็ขออยู่ใกล้กันไว้ก่อน พอคิดไปคิดมา แม้เขาจะเคยเป็นจอมพลผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิอวกาศ แต่ตอนนี้เขากลับเป็นเพียงแมวอ้วนผู้เฝ้ามองโลกจากมุมต่ำ และสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในฐานะแมวอ้วนตัวนี้ ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขานี่เอง
หลังเหตุการณ์แมวอ้วนปกป้องเจ้านาย ที่กลายเป็นตำนานเพียงชั่วข้ามเช้าของสตรีม ฉินอี้หนิงก็อุ้มเจ้าแมวตัวอ้วน พร้อมทั้งพามันเดินต่อไปอย่างสงบนิ่ง แม้บรรยากาศรอบตัวจะเริ่มเงียบผิดปกติ เพราะผู้คนทั้งตลาดต่างหลีกทางให้พวกเขาด้วยสายตาที่ผสมปนเปกันระหว่างความกลัวและความรู้สึกแอบเอ็นดู
“คราวหน้าเจ้าห้ามกระโดดใส่คนอื่นกลางตลาดอีกนะ เข้าใจไหม…”
เจ้าแมวอ้วนในอ้อมแขนไม่ได้ตอบกลับอะไร ชายหนุ่มทำเพียงหรี่ตามองนางด้วยสีหน้าไม่สำนึก และแอบใช้หางตากวาดมองรอบข้างอย่างภาคภูมิใจ
[CherryJet999 : เจ้าแมวตัวนี้]
[SpaceYuzu_VIP : ใครก็ได้ปักหมุดภาพตอนกระโดดลงหัวตัวร้ายที! ฉากนั้นเป็นมหากาพย์เลยนะ]
[Zetta Archive : เด็กน้อยคนนี้ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังเดินตลาดกับแมวจอมโหด]
แต่ละคอมเมนต์ทำเอาหลี่โต๋วเปาถึงกับกุมขมับอย่างเหนื่อยหน่าย จนกระทั่งทั้งสองเดินทางมาถึงแผงร้านเป้าหมาย
“เถ้าแก่ตู้ ข้าขอซื้อเกลือกับถั่วเหลืองหน่อยเจ้าค่ะ” ฉินอี้หนิงหยุดอยู่หน้าแผงขายของแสนเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยโอ่งดินเผาที่วางเรียงราย มีถุงผ้าป่านขนาดใหญ่ซึ่งใช้บรรจุถั่วไว้แน่น และเกลือสีขาวสะอาดเรียงอยู่ในเข่งไม้ไผ่สาน
“โอ้โห วันนี้เจ้ามีองครักษ์แมวตามมาด้วยหรือต้าหนิง” เถ้าแก่ตู้ยิ้มกว้าง พลางยกหลังมือขึ้นเช็ดหยดเหงื่อบนใบหน้า “แมวอะไรตัวใหญ่เท่าลูกแตงโม จะว่าไป…หน้ามันแอบคล้ายคนผู้หนึ่งที่ข้ารู้จักอยู่เหมือนกันนะ”
ประโยคนั้นทำเอาหลี่โต๋วเปาต้องหรี่ตาใส่ฝ่ายตรงข้ามทันที พร้อมทั้งแสดงท่าทางหงุดหงิดพลางกระดิกหางปัดปุ้งปุ้ง
“เถ้าแก่ ท่านอย่าแหย่ไม่เข้าเรื่องนะเจ้าคะ เขาเพิ่งช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อครู่เชียวนะ” ฉินอี้หนิงหัวเราะเบาๆ “วันนี้ข้าขอเกลือครึ่งจิน ถั่วเหลืองหนึ่งจินนะเจ้าคะ เอาแบบที่คั่วใหม่เหมือนเมื่อวานนะ”
“ได้เลย ได้เลย”
ขณะที่เถ้าแก่ตู้ตักเกลืออย่างทะมัดทะแมง ฉินอี้หนิงก็เปิดถุงผ้าหูรูดสีเก่า เพื่อหยิบเหรียญทองแดงออกมาสามเหรียญ
หลี่โต๋วเปานั่งมองการกระทำนั้นอยู่นิ่งๆ บนโต๊ะไม้ ราวกับนายทุนที่กำลังประเมินการใช้จ่ายของเด็กสาวด้วยความเข้มงวด
“เจ้าหยิบพอดีเลย ต้าหนิงนี่แม่นคำนวณกว่าลูกชายข้าอีกนะ ฮ่าๆ”
“ถึงจะแม่น แต่ข้าคงยังไม่ถึงขั้นเปิดร้านได้หรอกเจ้าค่ะ” เด็กหญิงยิ้มอ่อนโยน หลังรับถุงเกลือกับถั่วเหลืองเรียบร้อย ฉินอี้หนิงก็หันไปอุ้มเจ้าแมวอ้วนขึ้นมาใหม่
“ไปเถอะโต๋วเปา เราต้องกลับก่อนแดดจะแรงกว่านี้”
เจ้าแมวผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าอความารีนกระพริบตาสองสามครั้งอย่างเชื่องช้า แล้วซบตัวลงบนไหล่ของนางอย่างเงียบงันราวกับเป็นเพียงแมวจอมขี้เกียจทั่วๆ ไป
ทั้งที่ในใจของชายหนุ่มกำลังคิดว่า หน่วยขนส่งควอนตัมในยุคจักรวรรดิอวกาศ ยังไม่มีประสิทธิภาพดีเลิศเท่าบ่าเด็กคนนี้เลย…
[NebulaTea : ขอระบบแปลภาษาแมวด้วยค่ะ! อยากรู้ว่าท่านโต๋วเปาคิดอะไรอยู่]
[IronMochaX : น่ารักฉิบหายยยยยย!]
[เศรษฐีโดโด้ : อยากนอนซบอกสาวสวยคนนี้บ้างอ่า~]
[BlueStitch888 : ห้ามใครขโมยแมวตัวนี้เด็ดขาด! ไม่งั้นผมจะตามล่าข้ามดวงดาว!]
ขณะที่คอมเมนต์กำลังไหลเป็นน้ำ หลี่โต๋วเปากลับกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา
สายลมอ่อนเบาพัดผ่านร่างของทั้งสอง กรุ่นกลิ่นขนมหวานในแผงขายของผสมรวมกับกลิ่นควันไม้หอมถูกเผา แผ่วผ่านถนนหินกรวดของตลาดสดในหมู่บ้าน เกิดเป็นบรรยากาศนิ่งสงบหลังจากที่หลี่โต๋วเปาได้หนีออกจากงานสังสรรค์ของนายพลเคิร์ฟ
ดูเหมือนในปัจจุบัน…ความสบายใจของหลี่โต๋วเปา จะมีชื่อเรียกว่าฉินอี้หนิงจริงๆ
กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”
หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ
ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข
หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป
วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต
หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป