Home / รักโบราณ / นางกลับมาเพื่อร่ำรวย / บทที่ 7 หนุ่มหน้าใหม่ของฉินอี้หนิง

Share

บทที่ 7 หนุ่มหน้าใหม่ของฉินอี้หนิง

last update Last Updated: 2025-08-20 21:38:19

ฉินอี้หนิงเดินกลับบ้านเคียงข้างแมวอ้วนขนขาว นางมักใช้เส้นทางเลียบหุบเขาหลังตลาดยามเช้าในการเดินทาง ระหว่างเดินมีสายลมอุ่นระลอกหนึ่งพัดแผ่วผ่านใบไผ่เขียว ไล้ไปตามปลายแขนเสื้อผ้าฝ้ายจนฟูพริ้ว มือน้อยหิ้วถุงถั่วเหลือง อีกข้างถือตะกร้าใบตื้นบรรจุเกลือก้อน กลิ่นฝุ่นและแสงแดดยามเช้าลอยคลุ้งตามเส้นทางดินแดงที่ทอดกลับหมู่บ้าน

ทว่าเพียงเลี้ยวโค้งพ้นพุ่มมั่วลี่ฮวา [1] เสียงทุ้มต่ำครางแผ่วเบากลับดังขึ้นในความเงียบงัน

“อือ…”

เด็กหญิงชะงักฝีเท้า ฝ่ายเจ้าแมวที่เดินเคียงข้างก็หยุดเท้ากึกพร้อมกันในฉับพลัน หางของเจ้าโต๋วเปาตั้งฟู ก่อนที่เสียงขู่ต่ำของมันจะลอดออกจากลำคอ

ฉินอี้หนิงสืบเท้าก้าวเข้าไปช้าๆ นางใช้มือแหวกพุ่มมั่วลี่ฮวาที่กำลังออกดอกขาวสะพรั่ง เพื่อดูว่าเบื้องหน้านั้นมีอะไรซ่อนอยู่

ก่อนจะพบว่าใต้เงาไม้ใหญ่ มีร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนอนเอนหลังอยู่ ใบหน้าของฝ่ายนั้นแดงจัดคล้ายเพิ่งผ่านพิษไข้ มือหนึ่งกุมขาไว้แน่น แผ่นผ้ารอบข้อเท้ามีรอยเลือดซึมสีแดงเข้ม แทรกด้วยรอยเขี้ยวสองจุดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน

ฉินอี้หนิงเพ่งมองแผลครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยเสียงแผ่ว

“ท่านถูกงูกัดหรือเจ้าคะ?”

ชายหนุ่มเบือนสายตามาทางนางทันที แววตาที่เคยอ่อนล้าแปรเปลี่ยนไปเพียงชั่วขณะ สีหน้าละล้าละลังประหนึ่งสุขใจที่มีผู้มาพบ และอับอายที่ตนบาดเจ็บ

“เจ้า…เจ้าเป็นใคร?” คราแรกเขานึกว่าตนตาฝาดหรือเกิดภาพหลอนไปเองเสียแล้ว ทว่าใต้แสงแดดอ่อนนี้ มีเด็กหญิงนางหนึ่งยืนอยู่กลางเงาไม้ตรงหน้าของเขาจริงๆ

นางอายุไม่มาก แต่ผิวพรรณผ่องใส ดวงหน้าแจ่มจ้าดุจภาพวาดจากปลายพู่กันของปรมาจารย์ด้านศิลปะ แววตาของนางแน่วนิ่งเกินวัย มือเล็กถือวิสาสะจรดบนชายเสื้ออย่างสำรวม ยามพูดไม่มีวาจาไร้ประโยชน์แม้แต่ครึ่งคำ

“คุณชายรู้หรือไม่ว่าตนเองถูกงูชนิดใดกัด”

ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาเบาๆ “ข้า…ไม่เห็นตัวมัน มันฉกเร็วเกินไป พอรู้ตัวอีกทีมันก็หนีไปเสียแล้ว”

ฉินอี้หนิงใช้เวลาขบคิดเพียงครู่หนึ่ง นางไม่ได้กล่าวอะไรอีก รีบฉีกชายเสื้อของตนขึ้นมามัดเหนือแผลงูกัดเพื่อไม่ให้พิษแล่นเข้าร่างกาย ขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะพยุงร่างชายคนนี้ไปยังไง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายแบกฟืนเดินผ่านทางมาพอดี

“ลุงเจิ้ง ข้าเจอคนถูกงูกัดเจ้าค่ะ ท่านจะขนฟืนกลับบ้านพอดีหรือเจ้าคะ เช่นนั้นข้าขอรบกวนฝากท่านลุงไปแจ้งท่านตาของข้าทีเถิด”

ท่านลุงเจิ้งมองชายหนุ่มที่กำลังนอนพิงต้นเหมยแวบหนึ่ง หน้าตาชายหนุ่มผู้นี้ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง พอเห็นเสื้อผ้าของชายผู้นั้นสะอาดเรียบร้อยคล้ายผู้มีความรู้ เรียวคิ้วของชายวัยกลางคนก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ แต่ก็เลือกที่จะพยักหน้ารับ แล้วรีบเดินต่อไปตามทางโรงหมอสกุลฉินทันที

ฉินอี้หนิงย่อตัวลงข้างชายแปลกหน้า ใช้น้ำดื่มที่พกมาเทราดแผลเขี้ยวงูของเขา พร้อมทั้งใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดของตนเช็ดเลือดให้เขาอย่างเบามือที่สุด

“มันอาจไม่ใช่งูมีพิษ หรือหากเป็นงูมีพิษจริงแต่ถ้าให้หมอรักษาทัน ท่านย่อมไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”

เสียงของนางเยือกเย็น อีกทั้งเป็นการปลอบโยนที่ทำให้ไอร้อนภายในอกของชายหนุ่มลดลงอย่างประหลาด เขาเอาแต่จับจ้องนางอยู่อย่างนั้น พอรู้ตัวว่าตนเผลอมองนางนานเกินไป จึงรีบเบือนหน้าหลบไปทางอื่นเพื่อซ่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่กำลังก่อเกิดขึ้นอยู่ภายในใจ

เด็กหญิงไม่เคยรู้เลยว่า เพียงเงาของนางที่ทอดลงบนพื้นดิน…ก็สามารถทำให้หัวใจของผู้มาใหม่เต้นผิดจังหวะอย่างไม่อาจควบคุม ทว่าสีหน้าขาวจัดที่เริ่มขึ้นริ้วแดงระเรื่อก็ทำให้ใครบางคน (หรือจะบอกว่าแมวบางตัว) พอจะเดาออกว่าบุรุษผู้มาใหม่กำลังคิดสิ่งใดกับฉินอี้หนิง

หลี่โต๋วเปาในร่างแมวอ้วนสีขาวนั่งอยู่นิ่งๆ ใต้ร่มไม้ร่มเดียวกัน พร้อมทั้งตั้งใจเฝ้ามองทั้งสองอยู่นั้น ชายหนุ่มกระพริบตาช้าๆ หนึ่งครา ขณะที่หางฟูๆ เผลอฟาดเบาๆ ลงบนพื้นดินแห้งกรังดังตุบ

แม้ตอนนี้เขาจะอยู่ในร่างแมวที่ไร้ความอันตราย แต่สัญชาตญาณความขี้หวงยังไม่เลือนหาย และหากมีผู้ใดตั้งใจฟัง ก็คงได้ยินเสียงขู่เบาๆ ในลำคอของเจ้าแมวอ้วนขนสีขาวตัวนี้ ซึ่งฟังดูคล้ายว่าอารมณ์ของมันจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

บุรุษผู้นี้ใจกล้ายิ่งนัก เอาแต่จ้องฉินอี้หนิงของเขาไม่วางตาเลย มันจะจ้องนานเกินไปแล้ว!!!

ชายหนุ่มผู้ผ่านการสอบเข้าหอศึกษาหลวงมาแล้วถึงสองปีเต็ม ถึงกับต้องเบือนหน้าไปทางอื่น หวังเพียงซ่อนริ้วแดงที่แล่นวาบขึ้นมาบนใบหน้าของตน

อาจเพราะเขาไม่คุ้นชินกับการถูกผู้อื่นแตะต้อง โดยเฉพาะจากเด็กหญิงผู้มีใบหน้างดงามจนคล้ายภาพวาดเทพธิดาในใจของบัณฑิตหนุ่มทุกคน ในยามที่อาจารย์ให้วาดฝันถึงเทพธิดาแห่งป่าไผ่ที่มีเพียงในบทกวีโบราณ

แม้จะรู้ว่านางไม่ใช่เทพธิดา แต่กระนั้น…นางก็ยังดูงดงามพอจะทำให้เขาลืมพิษงูในชั่วขณะหนึ่ง

“ท่านลุงเจิ้งหายไปนานเกินไปแล้ว” เสียงหวานใสบ่นงึมงำ ก่อนจะหันไปมองคนเจ็บ “คุณชายเจ้าคะ ท่านพอจะเดินไปกับข้าไหวหรือไม่?”

เสียงที่ถามฟังดูจริงจังอย่างที่สุด อีกทั้งดวงตากลมใสใต้แพขนตายาวก็ยังคงจ้องมองเขาอย่างรอคำตอบ

“หวะ…ไหว” เขาตอบในที่สุด แม้น้ำเสียงจะไม่ค่อยมั่นคงนักก็ตาม

ฉินอี้หนิงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนหันไปเรียกเจ้าโต๋วเปาที่นั่งอยู่เงียบๆ ใต้ร่มมั่วลี่ฮวา แมวอ้วนขนฟูนั่งนิ่งไม่ไหวติง แววตาสีอความารีนสะท้อนภาพชายแปลกหน้าที่กล้ามานั่งอยู่ใกล้กับของของมันจนมากเกินไป ก่อนที่ร่างนั้นจะยอมลุกขึ้น แล้วเดินเข้ามายืนเคียงข้างฉินอี้หนิงอย่างเงียบงัน

ระหว่างที่เด็กหญิงกำลังเข้าไปประคองชายหนุ่มให้ลุกขึ้น หลี่โต๋วเปาในคราบแมวอ้วนก็ก้าวเดินผ่านชายหนุ่มผู้นั้นไปราวกับในใจมีแผนร้าย ก่อนจะยกอุ้งเท้าแปะลงบนมุมชายผ้าของฝ่ายนั้นอย่างจงใจ

การเหยียบนั้นไม่แรงพอจะทำให้ผ้าฉีกขาด แต่ก็แรงพอจะหยุดคนอ่อนแอให้เสียหลักเซน้อยๆ และมันก็ได้ผล ชายหนุ่มแปลกหน้าชะงักกึก ก่อนก้มหน้ามองแมวตัวใหญ่นั้นอย่างประหลาดใจ

ขนาดก้มมองเช่นนี้ อุ้งเท้าเล็กคล้ายลูกพีชนั่นก็ยังคงทับอยู่บนชายผ้าเช่นเดิม ใบหน้าของเจ้าแมวนั่นเชิดขึ้นนิดๆ ทว่าหางที่กำลังขยับแผ่วเบาคล้ายกำลังระวังอารมณ์ตนไม่ให้เผลอแสดงออกมาจนมากเกินไป

แต่ถ้าหากสังเกตดูดีๆ ก็จะพบว่าในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นไม่ใช่เพียงความอยากรู้อยากเห็นของสัตว์ทั่วไป หากแฝงไว้ด้วยสายตาของผู้จับจ้องคู่แข่งในสนามรบ

“แม่นาง แมวของเจ้าดูเหมือนจะ…ไม่ค่อยชอบข้าเท่าใด”

ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากราวกับไม่แน่ใจว่าตนเองพูดล้อเล่นหรือกล่าวจริง

“เจ้าโต๋วเปาไม่เคยชอบใครเป็นพิเศษหรอกเจ้าค่ะ” ฉินอี้หนิงตอบกลั้วหัวเราะขณะพยุงเขาก้าวต่อ “ขนาดข้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเคยชอบข้าบ้างหรือไม่”

หลี่โต๋วเปาเลิกทับชายผ้าของบัณฑิตหนุ่มในที่สุด แต่ยังคงเดินตามหลังด้วยระยะประชิด คล้ายเป็นเงาตามตัวที่พร้อมจะเหยียบย่ำอีกครั้งหากชายผู้นั้นกล้าก้าวล้ำเกินขอบเขต

เสียงฝีเท้าเล็กที่เคียงข้าง ร่างผอมบางที่ช่วยประคองเขาไปทีละก้าว ยิ่งทำให้หัวใจของเขาว้าวุ่นมากกว่าพิษงูเสียอีก หนึ่งคนเจ็บ หนึ่งเด็กหญิง และแมวอีกหนึ่งตัว กำลังเดินกลับไปยังสถานที่ที่เด็กหญิงเรียกว่าบ้าน

เด็กหญิงนางนี้มีชื่ออะไร เรื่องนั้นเขายังไม่ทันได้เอ่ยถาม รู้เพียงแต่ว่าดวงหน้าของนางช่างอ่อนละมุนจนคล้ายหยาดน้ำค้างบนดอกบัวเพิ่งแย้มบานยิ่งนัก

นางไม่ได้หวาดหวั่นต่อบาดแผล ไม่ได้ตื่นตระหนกเมื่อต้องพยุงชายแปลกหน้า ไม่ได้หัวเราะเยาะเขาเหมือนคนอื่น ไม่ได้พูดมากว่าตนเป็นใครมาจากไหน อีกทั้งไม่เอียงอายที่จะช่วยเหลือ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั้น นางอาจทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวมากยิ่งกว่าเดิม หากนางยิ้มให้เขาอีกสักเพียงหนึ่งครั้ง…

ตั้งแต่เด็กจนโต เขาเคยผ่านหญิงงามในเมืองหลวงมานักต่อหนัก เสียงหัวเราะของสตรีในงานร่ายรำ แววตาซ่อนประกายใต้ชายผ้าไหม แค่เพียงชั่วอึดใจเขาก็ลืมเลือนพวกนางได้หมด แต่กับเด็กหญิงผู้หนึ่งในป่าหลังตลาด…

ดวงหน้าใสสะอาดข้างกายดูคล้ายยังเยาว์ แต่ดวงตาคู่นั้นคล้ายกำลังแบกรับทั้งฤดูใบไม้ผลิในโลกนี้เอาไว้ นางทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่บนกลีบดอกกุ้ยฮวานุ่มชื้นในยามฤดูฝน เพียงก้าวเดียวก็ไม่กล้าเหยียบแรง

ทว่าหลงใหลในความงามของอิสตรีได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าของเจ้าแมวที่เดินตามมาไม่ห่าง ก็ทำให้เขารู้สึกคล้ายถูกเพ่งมองอยู่ตลอดเวลา

ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าตนจะรู้สึกเกรงใจแมวได้ขนาดนี้มาก่อน แต่ในดวงตาสีฟ้าของเจ้าแมวตัวนี้ช่างดูลึกลับเกินกว่าจะเป็นเพียงสัตว์สี่ขาธรรมดาทั่วไป

“คุณชายไหวหรือไม่ บ้านของข้าอยู่ถัดไปอีกเพียงครึ่งเค่อเท่านั้นเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสของสตรีงามข้างกายกล่าวขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเบาที่ถามไถ่แสดงออกอย่างชัดเจนว่านางไม่คิดล่วงเกินเขา

ชายหนุ่มพยักหน้ารับช้าๆ จึงค่อยเอ่ยคำแรกออกมา

“แม่นางน้อย…ข้ามีชื่อว่าอี้เหวินเซ่อ ไม่ทราบว่าแม่นางน้อยมีชื่อว่าอะไร”

ประโยคนั้นทำให้นางหันมามองเขานิ่งๆ ฉับพลันที่หัวคิ้วเรียวขยับเพียงเล็กน้อย

“เรียนคุณชายอี้ ข้ามีชื่อว่าฉินอี้หนิงเจ้าค่ะ”

แน่นอนว่าคำตอบที่ชายหนุ่มต้องการมีเพียงเท่านี้ และชื่อของนางก็สลักลงในห้วงจิตของบัณฑิตหนุ่มผู้ไม่เคยจดจำชื่อสตรีนางใดได้เลยสักครา

เมื่อมาถึงบ้านของฉินอี้หนิงซึ่งเป็นเป้าหมาย พบว่าท่านตาฉินยืนรออยู่หน้าประตู สวมเสื้อผ้าสีเรียบเก่าแต่สะอาด ใบหน้าเรียวมีเคราหนวดสีเงินแซมเต็มคาง ดวงตาแหลมคมมองหลานสาวที่พาชายแปลกหน้ามาด้วยท่าทีที่ไม่คิดถามไถ่

เพียงเห็นสีหน้าเขียวซีดของบัณฑิตหนุ่ม กับผ้าพันแผลบริเวณน่อง และรอยแผลรูปเขี้ยวงูที่เริ่มมีเลือดสีแดงซึมออกมา ท่านตาฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยเพียงว่าให้พาเขาเข้ามาด้านใน

เมื่อเข้าไปในโรงรักษา กลิ่นใบฝางแห้งกับชะเอมจีนจางๆ ก็ลอยมาแตะจมูก จนคนเจ็บรู้สึกวิงเวียนน้อยลงอย่างน่าประหลาด

ฉินอี้หนิงช่วยประคองบัณฑิตหนุ่มให้นั่งลง ส่วนท่านตาฉินที่ทรุดตัวลง ข้างๆ ก็ทำเพียงชำเลืองมองแผลอย่างไม่เร่งรีบ แต่สายตาทอประกายเฉียบคมใต้ขนคิ้วสีเทา

“ไม่ทันเห็นงูสินะ” เขาถาม

ฉินอี้หนิงพยักหน้า “เจ้าค่ะ อยู่ในพงไผ่หลังตลาด แผลฉกรรจ์แต่ไม่ลึกนัก หนิงเอ๋อร์รีบใช้ผัดมัดและประคองเขามาที่นี่ทันที”

ท่านตาไม่ได้ตอบอะไร แต่หยิบกล่องเก็บสมุนไพรจากชั้นไม้ พอเปิดออกก็หยิบถุงผ้าเล็กออกมาสามถุง เทผงยาบางอย่างลงในถ้วยเคลือบขนาดเล็ก

มือกร้านบดผงยาด้วยแรงสม่ำเสมอ แล้วผสมน้ำอุ่นจากกาน้ำที่วางบนเตาถ่านข้างห้อง พอคลุกไปมาจนได้ยาข้นเหนียว กลิ่นหอมขมก็อบอวลขึ้นเต็มห้องรักษา จากนั้นจึงใช้ไม้พายบางขนาดเล็กแซะยามาแตะลงบนปากแผลของบัณฑิตหนุ่มอย่างนุ่มนวล

“ยังดีที่พิษไม่ลึก” ท่านตาฉินเอ่ยเบาๆ ขณะทายา “เลือดที่ไหลออกมาก เป็นตัวช่วยดึงพิษออกเองได้ส่วนหนึ่ง”

บัณฑิตหนุ่มเม้มปากแน่น แม้จะรู้สึกแสบเมื่อยาสัมผัสแผล แต่ก็ไม่เอ่ยครางหรือขัดขืน ทำเพียงหลุบตาลงต่ำและรับการรักษาอย่างสงบ

ท่านตาฉินลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังชั้นสูงสุดของตู้เก็บยา คว้าขวดยาน้ำสีน้ำตาลเข้มมารินลงในถ้วยเล็กอีกใบ

“ดื่มเสีย นี่เป็นยาขับพิษร้อน ถ้าไม่มีไข้ขึ้นภายในคืนนี้ แสดงว่าไม่อันตรายถึงชีวิต”

อี้เหวินเซ่อรับถ้วยด้วยสองมือ ก่อนเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณท่านหมอฉิน…และขอบคุณแม่นางฉินด้วย”

ฉินอี้หนิงส่ายหน้าช้าๆ “ข้าแค่เห็นว่าท่านบาดเจ็บ จึงช่วยเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้าค่ะ”

ยามนี้แววตาของนางสงบ ทำให้เขารู้สึกไม่กล้าเอ่ยคำอื่นจนเกินความจำเป็น

ส่วนหลี่โต๋วเปานั้นนอนหมอบอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาสีอความารีนเงียบขรึม ไม่แม้แต่จะส่งเสียงใดออกมา แต่กลับจงใจเฝ้าดูทุกอิริยาบถของชายแปลกหน้าอย่างจับผิด

“เสี่ยวหนิง เจ้าไปต้มยาเถาไห่ให้เขาอีกถ้วย แล้วหาน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้เขาสักหน่อยเถอะ”

“เจ้าค่ะ” ฉินอี้หนิงรับคำแล้วถอยกายออกไปอย่างคล่องแคล่ว

ท่านตาฉินมองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูดบางอย่างต่อ

“คนหนุ่มจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่ไม่ได้ทนพิษงูไผ่ได้ดีเช่นนี้”

อี้เหวินเซ่อยกยิ้มบาง ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ข้าอาจไม่ได้แข็งแรงนัก…แต่ก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อยขอรับ” คำพูดนั้นดูเหมือนล้อเล่น แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงความเหนื่อยล้าจากชีวิตที่ผ่านมาอยู่หลายส่วน

ท่านตาฉินทำเพียงยกถ้วยยาที่ชายหนุ่มดื่มหมดแล้วกลับไปวางบนโต๊ะ แล้วหยิบสมุดยาปกไม้ไผ่ขึ้นมาจดบันทึกสิ่งที่ใช้ในการรักษา เพื่อส่งให้ชายหนุ่มใช้ในเบื้องหน้า

“เจ้านอนพักก่อนเถิด อีกไม่นานอาการก็คงดีขึ้น”

“ขอรับท่านหมอ”

 

 

[1] มะลิจีน ดอกสีขาว กลิ่นหอม ใช้ชงชามะลิ สื่อถึงความบริสุทธิ์ ความรักแบบไม่หวังสิ่งตอบแทน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 21 ทวงคืนภรรยาที่ถูกพรากไป (จบบริบูรณ์)

    กลับมาที่สถานการณ์ในปัจจุบัน…สิ้นเสียงเหี้ยมกับประโยคไร้มารยาทนั้น เมื่อหลี่หยางหนิงอันหันไปสบสายตากับอีกฝ่าย สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่เพียงใบหน้าที่ดูคล้ายเขาราวกับแกะ แต่เป็นโทสะและความเหี้ยมเกรียมในแบบที่เขารู้จักดี“เจ้ากล้ามาก ที่มาแตะต้องภรรยา และแตะต้องลูกของข้า” เสียงของหลี่โต๋วเปานิ่งงัน แต่ทุ้มต่ำจนเหมือนจะสามารถสะเทือนผนังหินของตำหนักได้อย่างง่ายดายหลี่หยางหนิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้ากำลังจะสั่งให้หมอหลวงเอาเด็กในท้องนางออกพอดี แต่เพราะต้องพักฟื้นร่างกายนาน เลยคิดว่าจะพาขึ้นเตียงทั้งที่ยังท้อง คงให้อารมณ์แปลกใหม่ไม่น้อย” ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจงใจยั่วโมโหฝ่ายนั้น “เช่นนั้นเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าสินะ?”ชายหนุ่มในชุดซอมซ่อสีเทาไม่ตอบ มือข้างหนึ่งยกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขาเรืองแสงวาบสีฟ้าอความารีนแผ่วเบา คล้ายกระจกจักรวาลที่สามารถสะท้อนแรงโน้มถ่วงให้ย้อนคืนได้ฉับพลันที่อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน แรงกดดันไร้รูปประหนึ่งกำปั้นพลังจิตกระแทกเข้าที่กลางอกของจักรพรรดิหนุ่มหลี่หยางหนิงอัน จนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นป้องกันอันตรายที่มองไม่เห็น“อย่าคิดว่าต่อจากนี้เจ้ายังจะสามารถอยู่หายใจได้อีก…”

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 20 ไม่ให้อดีตซ้ำรอยเดิม

    หนึ่งเดือนกับอีกสามสัปดาห์ที่หลี่โต๋วเปายังไม่กลับมา ฉินอี้หนิงนั่งจิบชากุหลาบอยู่ที่ชายเรือนสกุลฉิน ลมยามบ่ายพัดกรูจากทิศตะวันออก พาเอาใบไผ่ที่ลู่ลมอยู่บนเนินเตี้ยหล่นเกลื่อนทั่วลานทว่าเสียงกีบม้านับสิบและฝีเท้าเกราะเหล็กที่ดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงพายุ กลับทำให้หมู่บ้านฮุ่ยฟางที่เคยเงียบงัน เกิดความสนันหวั่นไหวราวกับมีเงามรณะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมทั่วผืนดินรถม้าขนาดใหญ่สลักลายมังกรดำขอบทอง เคลื่อนมาหยุดลงบริเวณหน้าบ้านสกุลฉิน ก่อนที่บรรดาทหารสวมเกราะดำประทับตราจักรพรรดิหลี่จะวิ่งเข้ามารายล้อมรอบบ้านเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งตวาดดังแทรกเสียงใบไม้ปลิว“เรามารับตัวหรันฝูหรง สตรีอายุสิบเก้าหนาวที่ซ่อนตัวในหมู่บ้านแห่งนี้!”ท่านตาฉินที่กำลังสานกระด้งไม้ไผ่รีบก้าวออกมาจากเรือน ร่างชราภาพฝืนฝ่าแนวทหารเข้ามาขวาง“ขออภัยด้วย ที่นี่ไม่มีใครชื่อเช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าไม่รู้จัก! ส่วนสตรีที่อายุสิบเก้า ที่นี่ก็มีเพียงบ้านสกุลหลาน สกุลซ่ง สกุลกั๋ว และหลานสาวของข้า…นางชื่อฉินอี้หนิง”แม่ทัพผู้นั้นกระตุกยิ้มมุมปาก พร้อมทั้งจ้องมองฉินอี้หนิงอย่างเย้ยหยัน“เช่นนั้นข้าก็มาถูกแล้วล่ะ เพราะนามเ

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 19 ความวุ่นวายในยุคจักรวรรดิอวกาศ

    ยุคจักรวรรดิอวกาศ ภายในสถานีวิจัยหลักของตระกูลหลี่ ชั้นบัญชาการพลังงานควอนตัม ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้นเมื่อคนที่หายตัวไปกลับเข้ามาสั่งงานจนกองพะเนิน“โธ่เอ๋ย…ครั้งแรกผมก็นึกว่าท่านประธานหลี่ของเราหลุดเข้าไปอยู่ในปฏิกรณ์ชีวภาพจนแยกโมเลกุลไม่ออกเสียแล้ว ที่แท้…ก็แค่ติดภรรยาเท่านั้น”ร่างสูงของหลี่โต๋วเปายืนพิงกรอบประตู มือซุกกระเป๋าเสื้อโค้ตสีเทาเรียบทว่าหรูหรา ไม่มีคำเถียงใด มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่เจือแววอ่อนโยนบางอย่าง…คล้ายไม่คิดปฏิเสธความจริงข้อนั้น“ก็แค่ใช้เวลาให้คุ้มกับชีวิตบ้าง คุณต้องลองไปปลูกฟักทองดูสักครั้งสิ แล้วจะเข้าใจว่าทุกเช้าในทุ่งหมอกนั้นมีค่ามากกว่างานวิจัยที่เขียนมาพันปีเสียอีก”หลี่เฮ้าถงกลอกตาเล็กน้อยขณะมองหลายชายเพียงคนเดียว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ“อา…ฟักทองยังไม่เท่าไร แต่ถ้าประธานหลี่ของเราหายหน้าไปอีกสามเดือน ผมอาจจะกลับเข้าไปลักพาตัวภรรยาของท่านมาขังไว้ที่นี่แทน แล้วให้ท่านประธานเข้าออกห้องทดลองตลอดยี่สิบชั่วโมงเสียเลย”“แบบนั้นก็เป็นความคิดที่ดีนะ” หลี่โต๋วเปาพึมพำ พร้อมกับหยิบซาลาเปาไส้เห็ดหอมออกมาจากถุงเล็กๆ ในมือ ก่อนจะยื่นให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน “ข

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 18 ข้อเสนอปลอมๆ จากขุนนางสวี่

    หลังเกี่ยวและตากข้าวจนเสร็จสรรพ ครอบครัวสกุลฉินก็เว้นช่วงเวลาสำหรับหยุดพักผ่อน ด้วยเพราะร่างกายที่ชราภาพของท่านตาท่านยาย พอทำงานไร่นานานเข้าจึงปวดเมื่อยมากกว่าปกติส่วนหลี่โต๋วเปาและฉินอี้หนิงก็ใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการดูแลสวนผัก ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาขาย และใช้เวลาร่วมกันในฐานะสามีภรรยาทว่าวันนี้ แขกผู้มาเยือนกลับเป็นอดีตขุนนางผู้ต้องสูญเสียบ้านให้หลี่โต๋วเปาอย่างสวี่อี้เจิน“คารวะผู้อาวุโส”เสียงทุ้มของหลี่โต๋วเปาเอ่ยช้าๆ ดวงตาเรียวคมสังเกตท่วงท่าการเดินของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกคุ้นเคยนัก ทว่านี่ไม่ใช่ท่าทีของผู้อาวุโสสวี่อี้เจินที่เขาเคยประลองหมากล้อมด้วยอย่างแน่นอน“เจ้าน่ะใช้ชีวิตได้ดี กลายเป็นผู้เยาว์ที่สร้างครอบครัวอบอุ่นจริงเชียว” ชายชรามองสำรวจทั่วทุกมุมบ้านราวกับไม่เคยเห็น ก่อนที่สายตาจะพลันมาหยุดลงที่ร่างบอบบางของฉินอี้หนิงซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นสาวงามเต็มตัวไปเสียแล้ว “โอ้~ นี่คือฉินอี้หนิงคนนั้นรึ…” ชายชรายิ้มอย่างสดใสพลางมองสำรวจใบหน้างามอย่างชื่นชม“เชิญผู้อาวุโสสวี่นั่งพักก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะไปเอาชาอวิ๋นอู้ [1] ที่ได้จากภูเขาหลูซานมาให้” เสียงหวานกล่าวอย่างอ่อนโยน ขณะเดินหายเข้าไป

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 17 ฤดูเกี่ยวข้าว

    วันเวลาผ่านเลยไปจากวันกลายเป็นหนึ่งเดือน ยามนี้สายลมปลายเดือนเปลี่ยนผิวทุ่งนาหน้าบ้านให้กลายเป็นสีทองอร่าม ลำต้นข้าวโน้มลงตามแรงน้ำหนักของรวงเมล็ดที่สุกงอม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้า เสียงเคียวเกี่ยวข้าวเสียดสีเบาๆ สะท้อนชัดอยู่กลางนาหลี่โต๋วเปาค้อมตัวใช้เคียวไม้ด้ามสั้นในมือเกี่ยวรวงข้าวอย่างระมัดระวัง ท่วงท่าของเขาแม้ยังไม่คล่องแคล้วนัก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ มือทั้งสองที่แกร่งอยู่แล้วบัดนี้ยิ่งแกร่งขึ้นซึ่งเป็นผลจากการจับจอบ ขุดหลุม และหาบน้ำทุกวัน จนรอยด้านปรากฏชัดที่ฝ่ามือ“เจ้าหนุ่มจากเมืองหลวง เจ้าน่ะก้าวหน้ากว่าที่ข้าเคยคิดไว้มากจริงๆ”เสียงของท่านตาดังมาจากอีกฟากของแปลงข้าว ใต้หมวกฟางเก่าคร่ำ ดวงตาของชายชรายังสะท้อนความชื่นชมไม่เสื่อมคลายหลี่โต๋วเปาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วหัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มย้อนนึกถึงตอนที่เขาอยู่ในตำแหน่งจอมพล ถ้าตอนนี้อยู่ในยุคจักรวรรดิ เขาคงสามารถสั่งคนให้ขุดหลุมปลูกข้าวได้เป็นพันหลุม แต่เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุด คือการเกี่ยวข้าวแค่เพียงมัดเดียว“ฮ่าๆๆ เจ้ารู้วิธีปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งของชีวิต” ท่านต

  • นางกลับมาเพื่อร่ำรวย   บทที่ 16 หนึ่งยามในคืนวสันต์ มีค่าดั่งพันทอง

    หลังผ่านพ้นค่ำคืนของการร่วมหอ ร่างงามก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกแกร่งไม่ไปไหน หลี่โต๋วเปาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะกว่าเขาจะเสร็จกิจแต่ละรอบก็ใช้เวลานานเสียจนตัวเขาเริ่มนอนไม่หลับ ได้แต่กอดฉินอี้หนิงไว้ ขณะมองใบหน้าขาวนวลในยามนิทราบนโต๊ะข้างเตียงมีกะละมังไม้ใส่น้ำอุ่นที่เริ่มจะเย็นชืด พร้อมด้วยผ้าขาวที่ถูกใช้แล้ววางพาดอยู่ แน่นอนว่าเป็นหลี่โต๋วเปาที่นำมันมาเพื่อเช็ดผิวกายให้ภรรยาตัวน้อย อาจเพราะเขาไม่ได้ปลดปล่อยตนเองมานานหลายปี เจ้าของเหลวสีขาวขุ่นเหล่านั้น จึงมีมากเสียจนอาจทำให้ฉินอี้หนิงนอนหลับแบบไม่สบายตัวนัก ซึ่งในฐานะผู้กระทำ เขาจึงต้องทำความสะอาดให้นางทุกครั้งแพขนตาหนาที่เริ่มขยับน้อยๆ ทำให้หลี่โต๋วเปาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตบนเปลือกตาของนาง ไล่เรื่อยลงไปจนถึงหน้าอกนุ่มที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบฉินอี้หนิงที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมา เผลอทำหน้าอิดออดน้อยๆ เมื่อส่วนล่างของนางมันทั้งบวมและเจ็บระบมอย่างที่ไม่เคยเป็น ค่ำคืนเข้าหอนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากจริงๆ ยิ่งเมื่อผู้เป็นสามีไม่ยอมจบดังที่ควรเป็นใต้ผ้าห่มมีบางอย่างขยับอยู่ เคลื่อนจากหน้าอกสู่ส่วนล่างอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกการสัมผัสล้วนเต็มไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status