“รีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อจะไปสูดอากาศหอมหวานในเอเธนส์ให้ฉ่ำปอดไปเลย”
หญิงสาวทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่ม รู้สึกมีความสุขดีเยี่ยมจนกระทั่งหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เธอมีภารกิจบางอย่างที่ต้องจัดการ นั่นคือเรื่องของมารดาผู้ทรงเกียรติ แน่นอน เธอมีที่อยู่ของครอบครัวนั้นแล้ว แต่คำถามก็คือ เธอควรจะไปพบกับผู้หญิงคนนั้นรึเปล่านะ?
“เธอจะรู้สึกยังไงนะ ที่ได้เจอกับเรา จะดีใจไหมนะ”
ดวงตากลมสวยจ้องมองดวงไฟเพดานนิ่งๆ แววตาที่ดูฉลาด สุกสกาว ก็พลันเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด กังวล เพียงไม่กี่วินาทีที่จ่มจมกับการตั้งคำถามงี่เง่าสารพัด เธอก็พลิกร่าง นอนตะแคง จับจ้องไปที่ตุ๊กตาหมีคู่กาย มันกำลังถูกสายลมเอื่อยเฉื่อยไหวไปมา
“พ่อจ๋า พ่อยังอยู่ข้างๆ หนูใช่ไหมคะ เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะคะ หนูจะทำทุกเรื่องที่พ่อสั่งไว้ให้ดีที่สุด”
เปลือกตาบางๆ ใต้คิ้วสีน้ำตาลอ่อน ค่อยๆ กลบปิดดวงตาสีน้ำเงินเข้มเอาไว้ในความชุ่มชื่นและมืดมิด หญิงสาวหลับใหลไปในโลกแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า ราวกับว่าเธอกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศ แหวกว่ายอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยดวงดาวและกลิ่นหอมจากดอกไม้นานาพันธุ์ มินานนัก ดวงตาของสาวน้อยก็ได้เห็นนางฟ้าตัวเล็กๆ กำลังวิ่งเล่นอยู่บนหาดทรายสีขาวระยิบระยับ ที่มีทะเลสีฟ้าสดโอบคลุม
เธอเป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก ช่างเจรจา ชอบมีคำถามชวนปวดหัวอยู่เรื่อยและหากสงสัยสิ่งใดก็จะต้องค้นหาคำตอบให้ได้ แน่นอนที่สุด เธอต้องถามเขาเรื่องมารดาอยู่แล้ว ที่ห้องเรียนของเธอ เธอเป็นหนึ่งในเด็กที่ไม่มีแม่ เป็นลูกฝรั่งที่มาปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทย ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำไปว่าเธอมีแม่เป็นคนไทย
พ่อของเธอ ไม่ยอมมีภรรยาใหม่ เพราะเขายังรักปักใจกับผู้หญิงคนนั้น เธอซึ่งได้จุมพิตลาเขาหลังจากที่คลอดลูกสาวให้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน บิดาเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับรักครั้งนั้นอย่างไม่คิดจะปิดบัง บอกให้เธอรักแม่ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เธอก็รับปากและสัญญาว่าจะเป็นลูกที่ดี แม้บางคราวที่เธอโหยหาอ้อมกอดอบอุ่นจากแม่ เธอก็จะเก็บงำอย่างเข้มแข็งและสวมกอดพ่อแทน
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของบิดาจากดินแดนอันไกลโพ้น ทำให้การลืมตาตื่นขึ้นในวันใหม่ของเธอเปี่ยมไปด้วยความหมาย เธอยิ้มรับกับแสงแรกของตะวันในเอเธนส์ ที่ส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ผ่านดอกforget me notช่อใหม่ที่เพิ่งจะผลิดอกก่อนรุ่งสาง แสงสีทองฉาบห้องเล็กๆ ให้มีพลัง อบอุ่น และงดงาม
“อรุณสวัสดิ์เอเธนส์”
อยู่ๆ เธอก็ได้กลิ่นขนมอบคลอเคล้ามากับอากาศอ่อนหวาน ได้กลิ่นอาหารที่มีเครื่องเทศผสมผสานอย่างคุ้นจมูก ทันใด เธอก็นึกถึงพิชซ่าบางชนิดขึ้นมา
“เหมือนเมนูของพ่อเลย ใช่แล้ว พิชซ่าหน้าอาหารทะเล” เธอดีดตัวลุกขึ้นนั่งเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุก “ไม่ได้การละ ต้องใช้เวลาในวันนี้ให้คุ้มค่าหน่อยสิ”
หญิงสาวกระโดดลงจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำ ไม่ได้อาบ แต่ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเท่านั้น เธอชโลมกายด้วยน้ำมันหอมกลิ่นธรรมชาติเพื่อป้องกันผิวแห้งแตก ไม่แต่งหน้า ทาปากด้วยลิปสติกมันเท่านั้น เธอแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว ใส่เสื้อผ้าสามชั้นเพื่อกันมิให้อุณหภูมิราวๆ สิบแปดองศาในวันนี้ทำอะไรเธอได้
เธอมีกระเป๋าหนึ่งใบสำหรับสะพายติดตัว ภายในกระเป๋า บรรจุของสำคัญทุกอย่าง รวมทั้งของวิเศษที่ทำให้สามารถเอาตัวรอดจากการหลงทางได้ โดยเฉพาะแผนที่อย่างละเอียดยิบและโปรแกรมสำหรับการท่องเที่ยวหนึ่งวันในเอเธนส์
“เริ่มต้นที่ตลาดพลาก้านี่แหละ”
หญิงสาวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ขณะลงมายังชั้นล่างสุดของตัวอาคาร กลิ่นของอาหารลอยอวลต้อนรับเธอ เธอแน่ใจว่าวันนี้จะเป็นวันที่ยอดเยี่ยมสำหรับเธอ แต่แล้วเมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้าย ฝีเท้าเธอกลับชะงัก ดวงตาตกตะลึงค้างเติ่ง ก่อนจะกระพริบเร็วๆ เหมือนคนไม่แน่ใจตัว
“เฮ้...”
ทำไมเธอไม่ได้กลิ่นสาบสางเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่มีอสูรกายเข้ามาในร้าน เธอต้องตาฝาดไปแน่ๆ ที่เห็นหมอนั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะติดกระจกตรงหน้าร้าน เขาสวมสูทหรูหราเช่นเคย ก็นะ หมอนี่คงไม่กล้าสวมเสื้อผ้าแบบอื่นออกจากบ้านเป็นแน่ละ เขากำลังนั่งดื่มกาแฟอย่างสบายอารมณ์ เขาไม่ได้ฮัมเพลงเหมือนกับเธอ แต่สีหน้าของเขาบอกว่าเป็นเช่นนั้น ควันโขมงที่ลอยเป็นริ้วอยู่เหนือถ้วยกาแฟ ทำให้รู้ว่าเขาเพิ่งจะมานี่ได้ไม่นาน
“ตลกแล้ว” แม้เธอมั่นใจว่าไม่ตลกแน่ๆ เขาหันมามองเธอ เผยรอยยิ้มที่ชวนประหลาดตา รอยยิ้มหยามเย้ย และชวนพิศวงระคนกัน “ยังจะกล้ามาอีก”
มาลินีคิดว่าเธอยังคงฝันอยู่เป็นแน่ เธอคงยังไม่ตื่นหรอก แต่อะไรเลยจะเท่ากับกลิ่นน้ำหอมที่ผสมมากับบรรยากาศเงียบสงบของร้านที่น่ารักแห่งนี้
เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา เขย่งปลายเท้าแล้วจูบแก้มสากหอมๆของเขาด้วยความรัก ชายหนุ่มน้อมรับความรู้สึกแสนสวยนั่นด้วยการก้มลงจูบแก้มแดงเรื่ออย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม เมื่อผละจาก ดวงตาสีเขียวคมกริบ จ้องมองใบหน้านวลในอุ้งมืออย่างมีความหมาย“แต่ใจผมเหมือนจะระเบิดทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าคุณ ผมถึงไม่อนุญาตให้คุณอยู่ใกล้ๆเวลาผมทำงานยังไงล่ะ”หญิงสาวยิ้มนิดๆ ดวงตาเต้นระยิบ“ทำไมคะ”เธอแสร้งถามไร้เดียงสา“เพราะผมอาจจะมีเซ็กกับคุณบนโต๊ะทำงานไง”“บ้า” เธอเขิน เขาหัวเราะ“ผมรักคุณนะ”“พูดแบบนี้อีกแล้ว” เขาพูดพลางยกร่างบางขึ้นอุ้ม แล้วพาเธอไปวางลงบนเตียงนอนแสนนุ่ม “คราวหลังพูดคำอื่นบ้างก็ได้ค่ะ”“เพราะถึงยังไง คุณก็ยอมผมอยู่ดี” แม้จนถึงวินาทีนี้ หัวใจของเขาและเธอก็ยังคงเต้นแรงทุกครั้ง การร่วมรักกันครั้งแล้วครั้งเล่าอาจหวานชื่น สดใส และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมซาบซ่านหัวใจ แต่เขารู้ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหน ๆ เพราะที่นี่คือเตียงแห่งความทรงจำ“forget me not”เขากระซิบบนปลายจมูกของเธอ หญิงสาวยิ้มหวาน“แต่ฉันกินมัสมั่นเข้าไปเยอะเลยนะคะ”เธอท้าทายเขา แต่เขาก็กลั้นใจยิ้ม“แต่ผมจะกินมัสมั่นจากปากของคุณ”หญิ
เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหารอันเลิศรสของครอบครัวที่แสนอบอุ่นมั่งคั่ง คู่พ่อแม่ก็แยกไปทำธุระสำคัญในฐานะนักการเมืองใหญ่ ส่วนคู่หนุ่มสาวที่มีหน้าที่หลักในการช่วยกันบริหารธุรกิจของออปเปนไฮน์ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป พวกเขาเขียนใบลาพักร้อนเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อจะไปฮันนีมูนที่เมืองไทย วางงานไว้ให้ผู้ช่วยได้สร้างผลงานบ้าง“ฉันดีใจจังเลยค่ะ ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว” ชายหนุ่มจูงมือเธอไว้แน่น ดวงตาเปล่งประกายขณะพาเธอเข้าลิฟต์แล้วกดลงชั้นต้อนรับของโรงแรม ทั้งที่ควรจะขึ้นไปยังห้องสวีตรูมอันเป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของท่านซีอีโอ เขามีโต๊ะทำงานอยู่บนห้อง เขามีเอกสารหลายอย่างที่ต้องเซ็นก่อนจะออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้“จะไปไหนหรือคะ” ประตูลิฟต์เปิดออก เธอถูกเขาลากไปราวกับเป็นของไร้น้ำหนัก “วิกเตอร์ คุณกำลังทำอะไรคะ ทำไมไม่รีบขึ้นไปเคลียร์งาน”เมื่อถึงบริเวณหน้าฟร้อน เธอก็ได้เห็นเหล่าบอร์ดี้การ์ดของเขา ยืนเรียงเป็นแถว เหมือนพนักงานต้อนรับ เจ้านายหนุ่มวางก้ามทันที เขาหันไปพยักพเยิดบอกลุยจิและแอนเดรียให้ทำตามแผนการที่วางไว้สองหนุ่มเดินเข้ามา หยุดต่อหน้าเจ้านาย“คิดจะทำอะไรกันแน่คะ”“เชิญครับ” ลุยจิยิ้มบางๆ พร
“อย่าคิดว่าจะลอยหน้าลอยตาอยู่ได้นาน คนอย่างเธอ...”“คนอย่างฉันมันยังไงหรือคะ ขอโทษเถอะคุณหนู คนอย่างฉันไม่เคยดูถูกใคร ไม่เคยคิดจะทำให้ใครเดือดร้อน เว้นก็แต่พวกเขาจะหาเรื่องเองทั้งนั้น”คุณหนูสะบัดมือจากการเกาะกุม หายใจฟืดฟาดๆ จนอกกระเพื่อม“ตอนนี้เธอคงจะสะใจละสินะ ที่เห็นครอบครัวของฉันต้องหมดเนื้อหมดตัว”“อย่าเอาความคิดของตัวเองมาตัดสินคนอื่นสิคะ ฉันไม่เคยคิดว่าความเดือดร้อนของคนอื่นเป็นของหวานหรอกนะคะ โดยเฉพาะกับคุณและคุณแม่ของคุณ”“อย่ามาสร้างภาพหน่อยเลยน่า คอยดูเถอะ ฉันจะทวงของๆฉันคืนจากเธอให้หมดเลย”มาลินียิ้มบางๆ เธออดตำหนิมารดาไม่ได้ ถึงมันจะเป็นบาปก็เถอะ ท่านเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน นอกจากจะมีนิสัยชอบดูถูกคนอื่น ชอบใช้กำลัง และขี้อิจฉาแล้ว เธอยังเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริงอีกด้วย นี่ถ้าเอามาให้เธออบรม เธอจะบ่มเสียใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า“เอาเถอะค่ะ ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ลองดู”“ฉันทำได้แน่ แล้วเธอจะได้รู้จักฉันดีขึ้น” มาลินีผละจากช่อดาวมา โดยไม่หันไปมองอีกเลย แม้เธอจะรู้สึกเป็นห่วงเจ้าหล่อนอยู่บ้างก็เถอะ เธอสั่งพนักงานให้จัดการดูแลหญิงสาวเป็นอย่างดี ก่อนจะเดินไปหาสาม
“ผมคงไม่ได้มาเยี่ยมท่านอีก ขอให้มีความสุขกับคุก ลาตลอดชาตินะครับ”เมื่อจบธุระที่แดนคุมขังนักโทษ ชายหนุ่มเดินทางไปยังสถานที่จอดเครื่องบินส่วนตัวของอธีน่ากรุ๊ป เพื่อพบกับภรรยาที่รออยู่ จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นเครื่อง ออกเดินทางไปยังครีตในวันนี้ คฤหาสน์อันน่าสะพรึงกลัวถูกบูรณะซ่อมแซมเสียใหม่จนกลายเป็นคฤหาสน์แสนสวยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ สวนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และทุ่งดอกไม้สีม่วงสดได้รับการปรับปรุงดูแลอย่างเหมาะสม มีการตกแต่งสวนหย่อมภายในรั้วเหล็กและปลูกดอกไม้เพิ่มเติมจนเต็มแน่นทุกพื้นที่ ตกแต่งด้วยลานน้ำพุ รูปปั้นเทพเจ้าต่างๆ มีผีเสื้อบินว่อนสร้างความมีชีวิตชีวาที่ซึ่งเคยเปรียบดั่งนรก บัดนี้กลับกลายเป็นสวรรค์ราวกับถูกเสก“สวยถูกใจคุณไหม” เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหลังของเธอ “ที่โยนเหรียญส่วนตัวของคุณ”หญิงสาวยังคงมองสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยความทึ่ง“คุณทำได้ยังไง สวยจนจำบรรยากาศเดิมแทบไม่ได้”“บอกแล้วว่าเงินบันดาลได้ทุกสิ่ง”“นอกจากมีเงินแล้ว ต้องเจ้าเล่ห์ขี้โกงด้วย”“ผมจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน”“ฉันด่าต่างหาก”“ถ้างั้น เมียด่า แปลว่าจะเจริญ”เธอหัวเราะกับความกะล่อนของสามี เขาหัวเราะตาม ความส
เขาพูดจบก็หันหลังขวับ จะเดินจาก หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน“เดี๋ยวค่ะ” เธอประคองตัวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจนร่างเซเกือบจะล้ม ชายหนุ่มอีกคนรีบเข้ามาจับตัวเธอไว้ แต่เธอไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ เธอผละจากเขา เดินไปหาผู้ชายที่กำลังจะจากไป “ฉันต้องขอโทษแทนพ่อของฉันด้วยนะคะ ที่มีส่วนทำให้คุณต้องเป็นทุกข์และมีชีวิตที่เดียวดายมาโดยตลอด”เขาหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมามองหญิงสาว“ได้โปรด อย่าเป็นทุกข์อีกเลยนะคะ เริ่มต้นชีวิตใหม่และมีความสุขกับทุกวัน”เขาหัวเราะในลำคอเบาๆราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก เขาตัดสินใจหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวอีกครั้ง เขายิ้มมุมปาก สีหน้ามีกลิ่นเย้ยหยันนิดๆติดอยู่อย่างจับได้ ครานี้แหละ เธอถึงตระหนักว่าสองหนุ่มหน้าเหมือนกันไม่น้อย“ถ้านี่เป็นคำอวยพร ก็ขอบคุณ แต่ถ้าอยากให้ผมมีความสุขจริงๆละก็ คุณก็เลิกกับหมอนั่นเสียสิ แล้วมาอยู่กับผมที่นี่แทน”วิกเตอร์รีบเดินมาดึงตัวเธอไปอยู่ข้างๆทันที เหมือนกลัวจะถูกโฉบไป“มันจะมากไปแล้วนะโว้ย เธอเป็นเมียฉัน เป็นน้องสะใภ้ของนายนะ”นีโอนาสทำหน้าหยัน“ใครจะสน”น้องชายชี้หน้าพี่ชาย หญิงสาวรีบจับแขนคนใจร้อนไว้เพราะกลัวเขาจะเปลี่ยนจากชี้เป็นก
“ช่วยไม่ได้ มันอยากโง่เองนี่นา” วิกเตอร์ไม่แปลกใจเลย เขาพอจะเดาเรื่องนี้ออกตั้งแต่ที่รู้ความจริงแล้ว สำหรับหญิงสาวก็เช่นเดียวกัน เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะเห็นความซื่อสัตย์ของปู่เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เธออยากจะทุบหัวหมอนี่ให้ยุบไปเลย“เขาไม่รู้หรอก ว่าฉันแอบมองมาจากตู้เสื้อผ้า ด้วยสายตาแน่วแน่ เพื่อจะจดจารรายละเอียดทั้งหมด เพื่อฝังเอาไว้ในหัวสมอง” ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เขาคลั่ง เขาเล่าเหมือนกำลังมองเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นอยู่ “ตอนที่เขาตบหน้าลูกชายของเขาด้วยความแรง และประกาศตัดขาดความเป็นพ่อลูก ฉันเฝ้ามองด้วยความสะใจ และบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆเข้าไว้ และรอคอยให้เวลานี้มาถึง พระเจ้า และเธอก็มาที่นี่ มาเพื่อฉันจริงๆด้วย”น้ำเสียงของเขาน่ากลัวนัก วิกเตอร์หายใจไม่ค่อยทั่วท้องสักเท่าไหร่ หัวใจเต้นเร่า หวาดหวั่นว่าหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากคนสติหลุด เขาจ้องมองหญิงสาวชนิดไม่ยอมกระพริบตา แต่เจ้าหล่อนกลับมีสีหน้าสงสัยมากกว่าจะหวาดกลัว นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มผู้กำความแค้น เต้นถี่ยิบและรุนแรงเหมือนจะระเบิดออกมา มันกระทุ้งลำตัวของเธอจนรู้สึกได้เป็นไปได้ไหมที่หมอนี่กำลังหวาดก