บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน
หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู
“ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น
เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง
“แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน”
“มีเรื่องใดรึ” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น
“มีเด็กๆ กลุ่มหนึ่งมาตะโกนเรียกหาคุณหนูที่หน้าคฤหาสน์ขอรับ”
“เด็ก?”
“ขอรับ พวกเราห้ามไว้ไม่ให้เข้ามา พวกเด็กจะบุกเข้ามาให้ได้ขอรับ”
“ก็แค่เด็กจะตื่นเต้นไปไย”
“แต่นายท่านมิชอบให้ผู้อื่นเข้ามารบกวน ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบ...”
“เข้าใจแล้วๆ ข้าไปเอง”
เยว่ซินโบกมือห้ามไว้ก่อน นางหมุนตัวแล้ววิ่งไปโดยเร็ว
ทำไมเส้นทางการเดินไปพบหน้าฉู่ห่าวหราน ถึงได้ยาวไกลเช่นนี้นะ!
“เด็ก?”
“เด็กๆ จากในหมู่บ้านขอรับ”
“นางคิดจะทำอะไรกันแน่” ฉู่ห่าวหรานส่งพู่กันให้หันซูแล้วหยิบผ้ามาเช็ดมือ “ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
“ไปดู...เอ่อ...”
“ทำไมมีอะไรที่ข้าไม่ควรเห็น?” ฉู่ห่าวหรานเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ไม่มีขอรับ แค่เห็นว่านายท่านไม่ชอบเด็กๆ”
“ข้าแค่ไม่ชอบเสียงดัง” เขาส่ายหน้าไปมา “พาข้าไป”
“ขอรับ”
หันซูเข็นรถเข็นของนายท่านมาที่ลานบ้าน เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังเหลาไม่ไผ่ เด็กผู้หญิงนั่งบนพื้นรออยู่ใกล้ๆ ส่วนหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางเด็กเหล่านั้น ก็เหมือนเป็นเด็กตัวโตเสียมากกว่า
“นี่ๆ ระวังด้วย”
“ทราบแล้วพี่เยว่ซิน”
“ช่วยกันทำ อย่าทำแค่ของตัวเอง” นางยืนคุมเด็กน้อยที่กำลังทำว่าวกระดาษ เสียงหัวเราะของเด็กน้อยชะงักไปทำให้นางรู้สึกตัว เห็นสายตาของเด็กๆ จ้องมองไปด้านหลังนาง นางจึงหมุนตัวหันกลับไปมอง
“ท่านราชครู” นางฉีกยิ้มกว้าง แต่เห็นสีหน้าราบเรียบราวแผ่นน้ำแข็งแล้วก็หุบยิ้มแล้วหมุนตัวไปพูดกับเด็กๆ “นี่ๆ พวกเจ้าเบาเสียงหน่อยสิ เกรงใจเจ้าของบ้านบ้าง”
“แล้วพี่เยว่ซินไม่ใช่เจ้าของบ้านหรือ?”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” นางยื่นมือไปขยี้ผมของเด็กชายแรงๆ “ข้ามาอาศัยท่านราชครูอยู่ต่างหากละ”
ดวงตาของฉู่ห่าวหรานกระตุก หญิงสาวหันกลับมาส่งยิ้มกว้างให้เขา
“ข้ารู้ว่าใต้เท้าจะถามอะไร ข้าตอบเลยก็แล้วกัน ท่านคงพอจำได้ เด็กๆ กลุ่มนี้ท่านพบที่ริมแม่น้ำแล้ว” นางหยุดแล้วรอดูสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่อสีหน้าเขายังคงเดิมไม่เปลี่ยน นางจึงพูดต่อ “พวกเขาอยากไปเล่นน้ำอีก แต่ข้าไม่อยากให้พวกเขาไปเล่นกันเอง และข้าก็ไม่อยากไปเป็นเพื่อนพวกเขา ข้าเลยเสนอตัวสอนเด็กๆ ทำว่าวกระดาษแทน หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
“ว่าวกระดาษ?”
“อื้ม” นางรีบหยิบว่าวที่ทำเสร็จแล้วส่งให้เขาดู “กระดาษไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอเอามาทำเล่นได้เจ้าค่ะ”
แม้ไม่อยากรับ แต่ยื่นใส่มือเช่นนี้ ฉู่ห่าวหรานจำใจรับว่าวกระดาษมาพลิกดูไปมา งานไม่ละเอียดและกระดาษไม่ดีนัก แต่ดูแล้วก็พอใช้เล่นสนุกได้
“ถ้าท่านชอบ ข้ายกให้” เยว่ซินยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เพราะเขานั่งบนรถเข็น นางจึงค้อมเอวลงมาเล็กน้อย ใบหน้าของนางใกล้กับใบหน้าน้ำแข็งของฉู่ห่าวหรานมาก ลมหายใจอุ่นๆที่ปะทะใบหูทำเอาชายหนุ่มชะงักงันไปชั่วขณะ
“ข้าก็อยากได้นะพี่เยว่ซิน”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้าด้วย”
นางยืดตัวขึ้นแล้วพูด “ได้ๆ ได้ทุกคนไม่ต้องห่วง เพราะพวกเจ้าต้องทำเอง”
เสียงเด็กๆโห่ร้องไม่พอใจ เยว่ซินขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นกอดอก “ข้าสอนพวกเจ้าทำว่าวเป็น วิชาความรู้นี้ไม่ได้เรียนกันโดยง่าย ข้าสอนพวกเจ้าไม่มีสิ่งใดแลกเปลี่ยน ตามหลัก พวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์แล้ว”
“อาจารย์?”
“ถูกต้อง” นางพยักหน้ารับ “แต่ข้าเป็นคนดีไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าเรียกข้าว่าพี่เยว่ซินก็พอ”
“พี่เยว่ซิน!”
“พวกเจ้าลงมือทำตามที่ข้าสอน ฝึกฝนบ่อยๆ ก็เชี่ยวชาญชำนาญไปเอง”
นางเอ่ยจบก็หันกลับมาทางฉู่ห่าวหราน “ข้าใช้ลานบ้านท่านโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ท่านไม่ถือโทษโกรธข้านะ”
ถ้าบอกว่าไม่พอใจก็พูดไม่ได้สินะ
ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย นางยิ้มทะเล้นแล้วเอ่ย “ที่นี่ไม่มีสำนักศึกษา พ่อแม่จะส่งลูกๆไปเรียนก็ไกลเหลือเกิน พวกเขาก็หวังอยากให้ลูกมีความรู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กพวกนี้น่าสงสาร บางคนเขียนชื่อตัวเองไม่เป็นเลย”
น้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกเวทนานั้น ไม่ได้ทำให้ฉู่ห่าวหรานใจอ่อน แต่กำลังใจตั้งใจฟังว่านางพยายามทำสิ่งใดอยู่
“มีสิ่งใดก็พูดออกมาเลยดีไหมแม่นางเหอ”
“เยว่ซิน” นางรีบพูดแทรก “ข้ายินดีให้ท่านเรียกข้าว่าเยว่ซิน”
“แม่นาง...”
“เรียกแค่เยว่ซินก็พอแล้ว ท่านจะเรียกทั้งชื่อแซ่เลยหรือไร อย่างไรเสียข้ายังตัวติดกับท่านอีกนาน” นางฉีกยิ้มประจบใส่ดวงตาของเขา
“เยว่ซิน” เขาเอ่ยชื่อนางตามที่นางร้องขอ ไม่ใช่เพราะนางสั่ง แต่เขาแค่อยากตัดความรำคาญนี้ทิ้งไป
“ใต้เท้าฉู่ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ” นางเปลี่ยนสีหน้าให้ดูน่าสงสาร หลุบตาลงเล็กน้อย ทำทีเป็นชำเลืองมองไปทางเด็กกลุ่มนั้น “หากมีใครสักคนยอมสละเวลา ฝึกสอนให้พวกเขาได้ร่ำเรียนเขียนอ่านคงดีไม่น้อย”
“แม่นางเหอจะให้ใต้เท้าฉู่สอนเด็กๆ เหล่านี้รึ” หันซูเบิกตากว้าง เรื่องเช่นนี้ เขาเองยังไม่เคยคิด ฉู่ห่าวหรานสั่งสอนแต่ราชนิกูล ไม่เคยสอนชาวบ้าน และที่สำคัญ เด็กเล็กขนาดนี้ด้วย
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ