บรรยากาศของเรือนวันนี้ช่างครึกครื้นเป็นพิเศษอีกครั้งเมื่อเหล่าบ่าวในเรือนต่างพากันพูดคุยขณะจัดเตรียมข้าวของกันอย่างขยันขันแข็ง เรื่องราวที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงหนาหูที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของแม่หญิงปิ่นแก้วกับคุณหลวงผู้เป็นคู่ครอง ที่จะมาเยี่ยมเยียนเรือนในวันนี้ อินเพียงรับฟังเงียบ ๆ ขณะเดินผ่าน แม้จะไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ก็พอรับรู้ว่าแม่หญิงปิ่นแก้วเป็นสตรีที่งดงามและอ่อนโยน ครั้งหนึ่งเขาก็เคยได้พบเจอนางมาแล้ว
เสียงบ่าวไพร่พูดคุยกันอย่างออกรส ทำให้อินอดรู้สึกไม่ได้ว่าบรรยากาศเช่นนี้มันดูห่างไกลจากความรู้สึกของเขาเหลือเกิน ราวกับว่าความสนุกสนานเหล่านั้นเป็นโลกของผู้อื่น ส่วนเขาเพียงแค่เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ และยังคงต้องทำหน้าที่ของตนเองต่อไปเช่นทุกวัน ระหว่างที่เหล่าบ่าววุ่นวายอยู่กับการจัดอาสำหรับแขก อินก็ต้องเตรียมน้ำอาบให้คุณเปรมเช่นเคย เป็นเวลากว่าเดือนแล้วที่หน้าที่นี้กลายเป็นของเขาอย่างถาวร เพราะยายช่อที่แก่ชรานั้นไม่อาจแบกน้ำขึ้นมาเองได้อีกแล้ว หากเป็นแต่ก่อน เขาคงบ่นอุบหรือไม่ก็อิดออด แต่ในตอนนี้ ทุกครั้งที่ตักน้ำ ทุกครั้งที่เทน้ำร้อนผสมลงไป ทุกครั้งที่เห็นไอร้อนลอยขึ้นมาเป็นควันจาง อินกลับรู้สึกว่าเวลาเช่นนี้เป็นช่วงที่เขาได้อยู่ใกล้คุณเปรมมากที่สุด แม้จะเป็นความใกล้ชิดที่เงียบงันก็ตาม หลังจากวันนั้น วันที่คุณเปรมพูดกับเขาที่ใต้ต้นมะลิ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไป คุณเปรมดูยุ่งกับงานราชการจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน บางวันกลับเรือนดึก บางวันไม่กลับเลยเสียด้วยซ้ำ การพบหน้ากันระหว่างพวกเขากลายเป็นเพียงเสี้ยวเวลาในยามเช้าหรือก่อนเข้านอน และที่สำคัญที่สุด บทสนทนาของพวกเขาก็เหลือน้อยลงเรื่อย ๆ “คุณเปรม วันนี้น้ำอุ่นพอไหมขอรับ” อินถามเสียงแผ่ว ขณะตักน้ำราดลงอ่าง เสียงน้ำกระเพื่อมสะท้อนออกมาในห้อง “อืม” เป็นคำตอบสั้น ๆ จากคุณเปรม อินเม้มปากแน่น คำตอบนี้เขาได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะเอ่ยถามสิ่งใด คุณเปรมก็มักจะตอบกลับมาเพียงแค่นั้น หรือไม่ก็เพียงพยักหน้าหรือส่ายหน้า แล้วทุกอย่างก็จบลง อินคุกเข่าอยู่ข้างอ่างน้ำ มือขาวซีดลูบไล้ผ่านขอบอ่างด้วยความเหม่อลอย ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ระหว่างพวกเขา ทำให้ความอึดอัดตีตื้นขึ้นมาในอก “ท่าน...ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าครับ” อินถามออกไปในที่สุด เสียงของเขาสั่นเพียงนิดเดียว แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดจากหูของคุณเปรมไปได้ คุณเปรมชะงักมือที่กำลังตักน้ำขึ้นลูบไล้ต้นคอของตัวเอง เขาไม่ตอบในทันที ปล่อยให้ความเงียบกินเวลายาวนาน ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่มีอะไร” “หากไม่มีอันใด แล้วเหตุใดท่านจึงไม่พูดกับข้าเลยเล่า” อินเผลอเอ่ยไปโดยไม่ทันคิด สีหน้าคุณเปรมไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่แววตากลับดูอ่อนลงไปชั่วครู่ “ข้าคิดว่าเจ้าเองก็คงเข้าใจ” อินชะงักงัน คำพูดนี้ราวกับมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่ และเขาก็รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร แต่มันกลับทำให้หัวใจของเขาบีบรัดแน่นยิ่งขึ้น “ถ้าหมายถึงเรื่องที่ท่าน...พูดวันนั้น” อินหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยต่อ “ข้า...ข้าไม่ได้รังเกียจท่านเลยแม้แต่น้อย” คุณเปรมมองหน้าเขาอย่างพินิจ ก่อนจะแค่นยิ้มจาง ๆ คล้ายขบขัน คล้ายขมขื่น “แต่ข้ารังเกียจตัวเอง” ประโยคนี้ทำให้อินเงียบงัน เขาไม่รู้ว่าควรตอบอะไรดี มีเพียงความรู้สึกจุกแน่นที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในอก อินรู้ดีว่าตัวเขาเองก็เปลี่ยนไป ตั้งแต่คืนวันนั้นที่ฝันถึงอินในอีกห้วงหนึ่ง ราวกับตัวเขาที่ตายไปแล้วฝากฝังให้เขาดูแลคุณเปรมแทน และเขาก็เต็มใจจะทำเช่นนั้น แม้ว่ามันจะทำให้ใจของเขาเจ็บปวดทุกครั้งที่คุณเปรมปฏิเสธการอยู่ใกล้กันก็ตาม คุณเปรมถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะลุกขึ้นยืน น้ำหยดลงจากเรือนกายสูงโปร่ง อินรีบหันไปหยิบผ้าเตรียมส่งให้ตามหน้าที่ แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาก็สบเข้ากับดวงตาของคุณเปรมโดยไม่ตั้งใจ สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อินไม่อาจอ่านออก แล้วคุณเปรมก็เอื้อมมือมารับผ้าไปจากมือของเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย อินเม้มปากแน่น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวถอยหลังออกไป ให้ระยะห่างระหว่างพวกเขากลับมาเป็นเช่นเดิม หากแต่ในใจ อินรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะรับมือกับความเงียบของคุณเปรมไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว บรรยากาศยามเย็นภายในเรือนใหญ่ของคุณหลวงอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ เสียงถ้วยชามกระทบกันเบา ๆ ขณะบ่าวไพร่จัดสำรับมื้อค่ำใต้แสงตะเกียงวาววับ แม้จะเป็นเรือนของคุณหลวงผู้มีศักดิ์สูงส่ง แต่ค่ำคืนนี้กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเป็นกันเองยิ่งนัก แม่หญิงปิ่นแก้วนั่งอยู่ถัดจากสามีของนาง นางมิได้สงวนท่าทีดั่งหญิงสูงศักดิ์เช่นยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น แต่กลับนั่งเอนกายอย่างสบายอารมณ์ พลางหยอกเย้าพี่ชายของนางเป็นระยะ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเหล่าบ่าวไพร่ที่แอบฟังอยู่เงียบ ๆ ด้วยความเอ็นดู ขณะที่อินกำลังจะยกหีบขึ้นเรือน แม่หญิงปิ่นแก้วเหลือบมาเห็นเขาเข้า นางโบกมือทักทายอย่างเป็นมิตรพร้อมกับยิ้มกว้างให้ "อ้าว! นายอิน! เจ้าสบายดีหรือไม่?" อินที่เห็นท่าทางเป็นกันเองของนางก็ยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างสุภาพ "ขอบพระคุณที่เป็นห่วงขอรับ ข้าสบายดี" คุณเปรมและคุณหลวงมองภาพนั้นด้วยความเอ็นดู แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าดุปนขบขันกับกิริยาที่ดูไม่งามนักของแม่หญิงปิ่นแก้ว "ปิ่นแก้ว เจ้าควรจะวางตัวให้เหมาะสมหน่อย เป็นถึงภรรยาของคุณหลวงวิษณุแล้ว" คุณเปรมเอ่ยขึ้น แม่หญิงปิ่นแก้วแยกเขี้ยวใส่พี่ชาย “คุณพี่เปรมเจ้าคะ ท่านยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะเจ้าคะ ยังจู้จี้กับข้าอยู่ได้” แม่หญิงปิ่นแก้วกล่าวพลางทำแก้มป่อง นางเอื้อมมือไปหยิบชิ้นหมูทอดในจานของพี่ชายอย่างไม่เกรงใจ คุณเปรมกลอกตา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนใจ “เจ้าเองก็มิได้เปลี่ยนเลย เจ้ายังซุกซนเหมือนตอนเด็ก ๆ มิได้โตขึ้นเลยกระมัง” คุณหลวงวิษณุหัวเราะเบา ๆ พลางตักน้ำแกงใส่ถ้วยให้ภรรยา “ก็เพราะนางเป็นเช่นนี้กระมัง ข้าถึงได้ตกหลุมรัก” แม่หญิงปิ่นแก้วเบิกตากว้าง ก่อนจะหัวเราะคิกคัก “ท่านก็ช่างกล่าวให้ข้าเขินนัก” อินที่ยืนอยู่ห่าง ๆ พลางคอยมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขาไม่เคยเห็นคุณเปรมในมุมนี้มาก่อน คุณเปรมที่มักเคร่งขรึม ดูจริงจัง และบางทีก็มักจะพูดจาเจ้าเล่ห์หยอกเขา บัดนี้กลับดูอ่อนโยน อบอุ่น และเป็นกันเองยามอยู่กับน้องสาวและพี่เขย แต่แล้วสายตาของอินกลับเหลือบไปเห็นภาพหนึ่งที่ทำให้เขานิ่งงันไปชั่วขณะ คุณหลวงโน้มตัวเข้ากระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของคุณเปรม ทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันมากกว่าปกติ คุณเปรมเองก็มิได้มีท่าทีรังเกียจหรือถอยห่างออกไป กลับกัน เขาเพียงยกมือขึ้นลูบคางตัวเองเล็กน้อย ราวกับกำลังขบคิดตามสิ่งที่คุณหลวงกล่าว อินรู้สึกคิ้วขมวดขึ้นโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล เขาพยายามบอกตัวเองว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องปกติ คุณเปรมและคุณหลวงเป็นญาติกัน ก็ย่อมต้องสนิทสนมกันเป็นธรรมดา แต่ทำไม… ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่พอใจ? เขาสูดลมหายใจลึกแล้วรีบก้มหน้าก้มตาจัดหีบของที่ถูกสั่งให้ขนขึ้นเรือน แต่มือที่จับขอบหีบกลับแน่นขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกบางอย่างกำลังตีตื้นขึ้นมาในอก… ความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน อินพยายามสลัดความคิดนี้ออกจากหัว แต่มันก็ยังคงติดอยู่ในใจ จนกระทั่งหมดวัน แขกทั้งสองเดินทางกลับไปแล้ว และถึงเวลาเตรียมน้ำชาร้อนให้คุณเปรม อินเดินเข้ามาในห้องทำงานของคุณเปรมพร้อมกับถาดน้ำชา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ห้องทำงานของคุณเปรมเป็นห้องกว้างขวาง ผนังไม้สักสีเข้มตัดกับแสงตะเกียงน้ำมันที่ส่องแสงสลัว โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ด้านหนึ่งของห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่เรียงรายไปด้วยตำราและเอกสารสำคัญ หน้าต่างสูงโปร่งถูกปิดด้วยผ้าม่านสีกรมท่า มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านทำให้บรรยากาศดูขรึมเคร่ง คุณเปรมนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือหนึ่งกุมขมับขณะที่อีกมือถือพู่กัน เขากำลังขีดเขียนบางอย่างลงบนกระดาษสา แต่ก็ต้องละสายตาจากงานตรงหน้าเมื่อเห็นอินยืนอึ้งอยู่กลางห้อง "เป็นอะไรไป? ไยไม่รินน้ำชาให้ข้าเสียที " อินสะดุ้ง รีบขยับมือทำหน้าที่ของตน แต่ในใจก็ยังสับสน เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเผลอถามออกไปอย่างไม่ทันคิด "เมื่อช่วงเย็น ข้าเห็นคุณหลวงกระซิบอะไรกับท่าน... ท่านกับเขาสนิทกันมากหรือขอรับ?" คุณเปรมชะงักเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ วางพู่กันลงแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ "เจ้าถามอะไรแปลกๆ นะ อิน คุณหลวงเป็นน้องเขยของข้า จะสนิทกันก็ไม่แปลกนี่" อินหลุบตาลง ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดเรื่องอะไร แต่รู้สึกไม่พอใจโดยไม่มีเหตุผล "แต่ข้าเห็นว่า... ท่านดูใกล้ชิดกับเขามากไปหน่อย" คุณเปรมเลิกคิ้วขึ้น มองอินอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเอนตัวไปข้างหน้า วางแขนพาดกับโต๊ะไม้ "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า? ทำไมเจ้าต้องมาสนใจเรื่องของข้ากับน้องเขยข้าด้วย?" อินรู้ตัวว่าตนเองเผลอแสดงความรู้สึกออกไปมากเกินไป เขากัดริมฝีปาก ไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ความรู้สึกหึงหวงที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจมันชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธ คุณเปรมขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาหาอิน สายตานิ่งลึกและเหมือนจะจับผิด "ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ว่าข้าจะไม่ยุ่งกับเจ้า และเจ้าก็อย่ามายุ่งเรื่องของข้า" อินเบิกตากว้าง ด้วยอารมณ์ที่คับแน่น "ทำไมล่ะขอรับ ทำไมท่านต้องผลักไสข้าแบบนี้ด้วย!" คุณเปรมกุมขมับ ก่อนจะส่ายหน้า "เพราะข้า เจ้าเลยต้องเป็นแบบนี้" อินรู้สึกไม่เข้าใจ ก่อนจะพูดต่ออย่างใจเย็นขึ้น "เพราะท่าน? ทำไมล่ะขอรับ" จู่ๆ เรื่องของความฝันคืนนั้นก็ตีเข้าหัว หรือเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนทำให้เขาตกน้ำจน... คุณเปรมมองอินอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจ "เอาเถอะ... ข้าจะบอกให้ก็ได้ ถ้าข้าไม่ทำตัวน่ารังเกียจขนาดนั้น วันนั้นเจ้าก็คงไม่ต้องมาเห็นภาพที่น่าอับอายของข้า.." เสียงนั้นแผ่วเบาลง อินนิ่งไป เขาเข้าใจความรู้สึกที่คุณเปรมมีต่ออินคนนั้น เขาหลุบตาลงต่ำ "ไม่ขอรับ! ท่านไม่ผิดอะไรเลย ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าไม่ได้รังเกียจท่านเลยแม้แต่น้อย" คุณเปรมมองอินด้วยสายตาที่คาดไม่ถึง ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะศีรษะเขาเบาๆ "ไม่เป็นไร เจ้าเองก็อาจจะยังไม่รู้ใจตัวเองมากนัก ไว้เราค่อยคุยกันใหม่เถอะ" อินเงยหน้าขึ้นมองคุณเปรม สายตาของเขาสับสนและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขาไม่เข้าใจว่าคุณเปรมหมายถึงอะไร แต่หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมา เสียงพู่กันหล่นกระทบโต๊ะเบาๆ ท่ามกลางความเงียบงันระหว่างพวกเขาทั้งสอง อินรู้สึกว่าคืนนี้คงเป็นคืนที่ทำให้เขานอนไม่หลับอีกคืนหนึ่ง อินได้แต่ข่มตาหลับไปทั้งเสียงหัวใจที่สั้นไหวเขาคิดเพียงต้องทำอย่างไรต่อไปดี.. ค่ำคืนที่โกลาหล เสียงหวีดร้องของบ่าวไพร่ดังแหวกม่านรัตติกาล อินสะดุ้งตื่นจากนิทรา ก่อนจะพบว่าภายนอกเรือนนั้นเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกโกลาหล ควันดำลอยกรุ่นพวยพุ่งขึ้นฟ้า ลุกไหม้เป็นจุดๆ บนเรือนบ่าวและบางส่วนของเรือนใหญ่ เขากระโจนออกไปทันที หัวใจเต้นระรัว ภาพตรงหน้าแทบไม่น่าเชื่อสายตา เพลิงสีแดงส้มลามเลียเสาไม้ กลืนกินแผ่นหลังคาที่เคยร่มเย็น เสียงตะโกนโหวกเหวกของทาสที่ตักน้ำมาสาดดับไฟดังระงม แต่ท่ามกลางหายนะ กลับปรากฏร่างของชายชุดดำกลุ่มหนึ่ง พวกมันปิดหน้าปิดตา ขี่ม้าถืออาวุธในมือ ไล่ฟันบ่าวไพร่ล้มลงราวกับใบไม้ร่วง สายเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นดิน อินกำหมัดแน่น เขาเริ่มเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที นี่ไม่ใช่เพียงไฟไหม้ แต่มันคือการปล้นสังหาร “คุณเปรม!” เขาไม่รอช้า รีบวิ่งไปยังเรือนใหญ่ แต่ขนาดที่กำลังเร่งรีบ สายตาดันเหลือบไปเห็นเข้ากับ ต้นมะลิที่คุณเปรมรักถูกเผาจนต้นล้มนอนอยู่กับพื้นหญ้า ทำเอาใจของเขารู้สึกปวดร้าวขึ้นมาดื้อๆ พอเท้าก้าวขึ้นบันได เสียงปืนก็ดังขึ้นหลายนัด ตามด้วยเสียงฟาดฟันของดาบ อินใจหายวาบ เขาเร่งฝีเท้า กระโจนพรวดขึ้นไป และสิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้เลือดในกายแทบจะเย็นเฉียบ คุณเปรมยืนหยัดอยู่กลางห้องโถง มือหนึ่งกำดาบแน่น อีกมือถือปืนโบราณที่เพิ่งยิงออกไป แต่ร่างสูงสง่าของเขากลับเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดซึมเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าจนแทบแยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นผ้า ตรงไหนเป็นเนื้อหนัง อินเห็นประกายความมุ่งมั่นในดวงตานั้น แม้ร่างกายจะอ่อนล้า แต่คุณเปรมยังไม่คิดจะล้มลงง่ายๆ “หลวงพิชิตเดโช...ดูเหมือนว่าเจ้าจะตายยากกว่าที่คิด” ชายชุดดำคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มันเป็นเสียงที่อินจำได้ดี เสียงของคนที่เคยจับเขาไปที่ตลาด ดวงตาของอินเบิกกว้าง หัวใจเต้นรัวหนักกว่าเก่า เป้าหมายของพวกมันคือคุณเปรม! อินรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเอาชนะพวกนี้ได้เพียงลำพัง แต่เขาไม่มีเวลาจะคิดหาทางช่วยได้มากนัก สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเอาตัวคุณเปรมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด “นครบาลมาแล้ว!” อินตะโกนสุดเสียง พวกโจรสะดุ้งเฮือก หันมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก “บ้าจริง! เราโดนล้อมแล้วรึ?” “ใครบอกเจ้าว่าพวกมันรู้แผนเรา!?” เสียงสบถดังขึ้นจากกลุ่มชายชุดดำ บางคนเริ่มแตกตื่น มองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง พวกมันรีบวิ่งหนีกันชุลมุน เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังไปทั่วบริเวณ อินไม่รอให้พวกมันจับได้ว่าเป็นกลลวง เขารีบพุ่งเข้าไปพยุงตัวคุณเปรมขึ้นมา แต่ทันทีที่มือแตะลงที่ไหล่ อินก็ต้องขบฟันแน่น แผลที่กลางหลังของคุณเปรมใหญ่เกินไป เลือดไหลนองพื้นเป็นทางยาว “เจ้า...มา...ทำอะไรที่นี่...” คุณเปรมเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ยังคงไว้ซึ่งอำนาจ อินไม่ได้ตอบ เขาก้มหน้ากัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจ เขาก้มลง ช้อนร่างของคุณเปรมขึ้นพาดบ่าราวกับตุ๊กตายัดนุ่น “เฮ้ย! ไอ้ทาสนั่น!” หนึ่งในโจรที่ยังอยู่ตะโกนขึ้นมา อินไม่รอฟังคำพูดให้จบ ขาทั้งสองข้างออกวิ่งทันที พวกมันร้องด่าก่อนจะไล่ตาม เสียงฝีเท้าวิ่งกระทบไม้ดังสนั่นไปทั่วบ้าน ชีพจรของอินเต้นแรง ทุกย่างก้าวคือความเป็นความตาย เขากระโจนลงบันไดในพริบตา โจรกลุ่มหนึ่งตามหลังมาติดๆ “ยิงมัน!” เสียงปืนดังขึ้น อินกัดฟันกรอด ปลายกระสุนเฉียดผ่านต้นแขน แรงกระแทกทำให้ร่างเขาสะดุด แต่เขายังคงวิ่งต่อไป ดวงตาจับจ้องไปยังท่าเรือเพียงแห่งเดียว พวกมันไม่มีเรือ ไม่มีทางตามมาได้แน่! อินพุ่งขึ้นเรือ พายออกจากท่าโดยไม่สนใจอาการปวดแปลบจากแผลที่ต้นแขน เลือดอุ่นไหลลงตามข้อศอก แต่เขากลับสนใจแต่เพียงชายที่อยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าของคุณเปรมซีดขาว ดวงตาค่อยๆ ปิดลง “คุณเปรม! อย่าเพิ่งหลับ!” อินเขย่าตัวเบาๆ “ผมจะพาเจ้าไปหาคนช่วย คุณปิ่นแก้ว!ขอรับ” คุณเปรมครางแผ่ว “ไม่ได้ ไปหาปิ่นแก้วไม่ได้...หลังตลาด...” เสียงแหบพร่ากระซิบออกมา “...ในป่า...มีที่ซ่อน...” อินขมวดคิ้ว แต่ไม่มีเวลาไต่ถามต่อ เมื่อคุณเปรมสิ้นเสียงก็ดูเหมือนเขาจะหมดสติไปแล้ว อินหันไปมองรอบตัว พยายามตัดสินใจด้วยตัวเอง ทะเลสาบที่ทอดยาวเบื้องหน้าเงียบงัน มีเพียงเงาของเปลวไฟจากเรือนที่ยังคงลุกไหม้อยู่เบื้องหลัง อินกลืนน้ำลาย พยายามตั้งสติ มือที่พายเรือสั่นเล็กน้อย เขาไม่รู้แน่ชัดว่าทางที่ไปนั้นปลอดภัยหรือไม่ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อใจคุณเปรม เขาหันหัวเรือไปตามทิศทางที่คาดว่าเป็น “หลังตลาด” แล้วพายไปข้างหน้า อย่างมุ่งมั่น คืนนี้ยาวนานเหลือเกิน...แต่เขาต้องรอด ต้องรอดไปด้วยกันให้ได้ หรือตะต้องทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อให้คุณเปรมอยู่รอดเขาก็ยอมแลกหลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า