การตามหาความจริงอย่างไม่ลดละ
อินยังคงไม่ละความพยายามที่จะค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวเอง แม้จะถูกบ่าวไพร่ในเรือนมองว่าแปลกที่เอาแต่ซักไซ้เรื่องของตัวเองกับคนอื่น แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาเดินวนไปทั่วเรือน คอยถามไถ่ถึงเรื่องราวในอดีตของ "อิน" ที่เขาเคยเป็น ตลอดหลายวันที่ผ่านมา อินมักจะเดินวนเวียนไปตามเรือน คอยทำเนียนตีสนิทกับเหล่าบ่าวไพร่ ก่อนจะแอบซักถามเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองในอดีต แต่ทุกครั้งที่เอ่ยปากถาม ก็มักจะได้เสียงหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยเข้าหูเท่าไร "เองนี่ชักจะเป็นบ้าไปจริง ๆ หรือเปล่า? หลงลืมไปหมดแล้วรึไง?" แม้จะถูกมองด้วยสายตาแปลกใจ หรือแม้กระทั่งบางคนถึงกับหลบเลี่ยงไม่อยากตอบคำถาม แต่ความพยายามของอินก็ไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว เพราะยังมีบางคนที่ยอมเปิดปากเล่าอะไรบางอย่างให้ฟัง "ที่คุณเปรมซื้อเองมา เพราะท่านบอกว่าเองละม้ายคล้ายกับเพื่อนในวัยเด็กของท่าน" คำพูดนี้ทำให้อินชะงักไปชั่วครู่ คิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว... เพื่อนในวัยเด็ก? อีกคนหนึ่งที่ถูกถามไปเมื่อวันก่อน ก็เคยพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ "ข้าไม่คิดว่าเองจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ จากที่เคยปิดปากเงียบสนิท ราวกับกลัวพิกุลจะล่วง กลายมาเป็นพูดมากจนพวกข้าขี้เกียจตอบ" อินหลุบตามองพื้น คำพูดนี้ยิ่งทำให้เขาสับสนมากขึ้นกว่าเดิม แล้วอีกเสียงหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในหัว... "คุณเปรมกับเอง ดูท่าเหมือนจะสนิทกัน แต่ก็ไม่สนิท" ประโยคนี้ฟังดูแปลกประหลาด แต่กลับทำให้หัวใจของอินรู้สึกหน่วงแปลก ๆ เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่างที่เกือบจะนึกออก... แต่กลับจับต้องไม่ได้เสียทีเดียว เงาของความทรงจำใต้ต้นมะลิ อินพยายามตามหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเองมาโดยตลอด ถามไถ่เหล่าบ่าวไพร่ไปทั่ว แต่ดูเหมือนยิ่งถาม ยิ่งได้รับแต่คำตอบที่ทำให้สับสนมากขึ้นไปอีก จนท้ายที่สุด เขาหันไปใช้วิธีอื่นแทน คือการเฝ้าสังเกตคุณเปรมด้วยตาของตัวเอง และมันก็นำพาเขามาพบกับภาพหนึ่ง... คุณเปรมยืนอยู่ใต้ร่มเงาอ่อนโยนของต้นมะลิ ท่ามกลางสายลมเย็นยามบ่าย แสงแดดอ่อนสาดกระทบใบไม้สีเขียวสดจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ ดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์เริ่มผลิบานตามกิ่งก้าน ส่งกลิ่นหอมอบอวลในอากาศ ชายหนุ่มเจ้าของรูปลักษณ์สง่างามยังคงยืนนิ่ง ไร้ซึ่งคำพูดหรือการเคลื่อนไหวใด ๆ มีเพียงสายตาที่ทอดมองต้นไม้นั้นอย่างเงียบงัน ราวกับกำลังพินิจบางสิ่งที่อยู่ไกลเกินจะเอื้อมถึง อินซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเสา มองภาพตรงหน้าโดยไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองกำลังกลั้นหายใจ ‘ต้นมะลิ...’ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นคุณเปรมมายืนตรงนี้ แต่อาจเป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ปกคลุมบรรยากาศรอบกายคุณเปรม ความโหยหา ความอาวรณ์ และบางสิ่งที่ดูคล้ายกับความเจ็บปวดเงียบ ๆ ราวกับต้นมะลิต้นนี้คือเศษเสี้ยวของความทรงจำที่ฝังรากลึกในใจของเขา อินเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเหลือบมองต้นไม้นั้นอย่างครุ่นคิด ‘ต้นมะลิต้นนี้... มีความหมายอะไรกับคุณเปรมกันแน่?’ เสียงลมพัดแผ่วผ่าน ใบไม้พลิ้วไหว อากาศเย็นราวกับฤดูฝนกำลังจะมาเยือน ทว่าในใจของอินกลับเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้มากขึ้นกว่าเดิม... ขณะเดินผ่านลานกว้างหลังเรือน อินเห็นสิงกำลังกวาดลานอยู่ เขาเดินเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล "สิง ข้าถามอะไรหน่อยสิ" อินเปิดประเด็น " เออ อะไรอีกละ " " ต้นมะลินี่น่ะ คุณเปรมดูรักมันมากเลยนะ" สิงเงยหน้าขึ้นจากไม้กวาด มองอินด้วยแววตาขบขัน "เองนี่ชักจะอาการหนักจริงๆ ลงลืมเสียหมดแล้ว" "ห้ะ? ทำไมนายถึงว่าแบบนั้น?" อินเลิกคิ้วสงสัย สิงถอนหายใจเฮือก ก่อนจะพยักพเยิดไปทางมุมเรือนที่มีต้นมะลิแผ่กิ่งก้านเล็กๆ อยู่ "ก็ต้นมะลิต้นนั้นน่ะ เองกับคุณเปรมช่วยกันปลูกขึ้นมาไม่ใช่รึ?" อินเบิกตากว้าง มองตามไปยังต้นมะลิที่มีดอกขาวสะอาดส่งกลิ่นหอมจางๆ ในสายลมยามเย็น "ข้ากับคุณเปรม...ช่วยกันปลูก?" อินพึมพำ "อืม ตอนแรกมันเกือบตายแล้วแท้ๆ รากเน่า ใบเหลือง แต่เองกับคุณเปรมก็ช่วยกันดูแลมันทุกวัน ขุดดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำ บางคืนเองยังเอาน้ำค้างจากโอ่งไปรดต้นไม้ต้นนี้อยู่เลย ขนาดข้าจะล้มตัวลงนอนยังเห็นเองวิ่งวุ่นอยู่ตรงนี้" สิงพูดยิ้มๆ พลางส่ายหน้า "ข้าก็นึกว่าเองคงจำได้อยู่หรอก" อินยืนฟังนิ่งๆ ความรู้สึกบางอย่างไหลเข้ามาในอก เขามองต้นมะลิต้นนั้นอย่างพิจารณา แผ่วเบาสายตาไล่ตามกลีบดอกที่สะท้อนแสงตะวันราวกับความทรงจำที่หล่นหาย ต้นมะลิที่กำลังออกดอกงดงาม...เป็นสิ่งที่เขากับคุณเปรมเคยช่วยกันดูแล อินยกมือขึ้นแตะที่อกตนเองเบาๆ เขาไม่รู้ว่าหัวใจดวงนี้กำลังเต้นแรงเพราะอะไร รู้แค่ว่า...เขาอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณเปรมให้มากกว่านี้ อากาศยามบ่ายคล้อยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางของดอกมะลิ อินยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ กวาดตามองพิจารณากลีบสีขาวสะอาดที่บานแย้มรับแสงอ่อน ๆ อย่างเงียบงัน ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ พาเอากลิ่นหอมละมุนมาปะทะจมูก ราวกับความทรงจำบางอย่างที่เขาเอื้อมไม่ถึงกำลังค่อย ๆ ไหลผ่านไปพร้อมกับสายลม อินมัวแต่จมอยู่ในภวังค์ จนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีบุคคลหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ จู่ ๆ ความรู้สึกอุ่นร้อนก็แตะแผ่วเบาที่ต้นคอ ทำให้ร่างสูงสะดุ้งสุดตัว รีบหันหลังกลับไปอย่างฉับพลันโดยไม่ทันระวัง แรงปะทะเบา ๆ ทำให้คนที่เข้ามาเผลอเซถอยไป อินรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ตามสัญชาตญาณ ก่อนจะดึงเข้ามาประคองตัวไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาสองคู่สบกันในระยะประชิด ใกล้เสียจนอินมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาสีนิลของอีกฝ่าย "ข้าไม่คิดว่าอินจะเป็นเจ้าตูบ ที่ตื่นตูมง่ายเช่นนี้" เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของคุณเปรม อินเพิ่งรู้ตัวว่าแขนแกร่งของตัวเองยังคงโอบเอวอีกฝ่ายไว้แน่น ร้อนวูบไปทั้งตัว รีบปล่อยมือแทบไม่ทัน "ข-ขออภัยขอรับ!" เขาพูดตะกุกตะกัก ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ ใบหูแดงจัดจนซ่อนไม่มิด คุณเปรมไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะละสายตาจากอินไปมองต้นมะลิแทน เขายืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ อินโดยไม่พูดอะไร แต่กลับให้ความรู้สึกสงบอย่างประหลาด อินเหลือบตามองไฝเล็กๆนั้นที่มุมปากอิ่ม มีแสงแดดอ่อน ๆ สาดกระทบบนเสี้ยวหน้าของคุณเปรม นัยน์ตาคู่งามสะท้อนเงาของต้นมะลิที่ปลูกไว้ด้วยกัน ในแววตานั้นมีบางสิ่งที่ลึกซึ้งและอ่อนโยน ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มแผ่วเบา ในวินาทีนั้น อินไม่แน่ใจเลยว่ากลิ่นหอมของดอกมะลิ หรือกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวของคุณเปรมที่กำลังทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงกันแน่... สายลมพัดเอื่อย ๆ แทรกผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้ เสียงใบไม้กระทบกันเบา ๆ เป็นจังหวะเดียวกับความเงียบที่โรยตัวลงระหว่างคนสองคน หลังจากยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน คุณเปรมก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หนักแน่น "ข้าขอโทษ...ที่คืนนั้นทำให้เจ้าต้องเห็นภาพอันน่าอับอาย และคงน่ารังเกียจสำหรับเจ้า" อินชะงักไปเล็กน้อย หันมองคนข้างกายที่ตอนนี้ใบหน้าขาวนวลกลับดูหมองเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สงบ แต่แววตาที่หลุบลงต่ำกลับซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้ไม่มิด อินเม้มริมฝีปากแน่น ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมา เขาอยากจะยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบางเพื่อปลอบโยน แต่ก็ต้องชะงักมือกลางอากาศ มันคงไม่งาม หากเขาจะแสดงความใกล้ชิดเช่นนั้น และก่อนที่อินจะเอ่ยอะไรออกไป คุณเปรมก็พูดต่อ "หลังจากนี้ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของข้าแล้วนะ เพราะข้าเองก็จะเลิกยุ่งกับเจ้าแล้วเช่นกัน" น้ำเสียงเรียบเรื่อยของเขาฟังดูเหมือนเป็นคำประกาศที่แน่วแน่ แต่กลับทิ้งร่องรอยของความเจ็บปวดไว้ในอากาศอย่างประหลาด อินเบิกตากว้างเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร คุณเปรมก็หมุนตัวเดินจากไปเงียบ ๆ แผ่นหลังที่เคยดูสง่างาม บัดนี้กลับดูเปราะบางราวกับพร้อมจะแตกสลายไปกับสายลม อินยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาจับจ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ ลับไปจนสุดทางเดิน ความเงียบที่เข้ามาแทนที่กลับทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง ทิ้งไว้เพียงความสงสัยในอดีตของเขากับคุณเปรม ที่ดูเหมือนจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ… ห้วงฝันที่ไร้ทางตื่น ค่ำคืนโรยตัวลงมาปกคลุมเรือนทั้งหลัง แสงจันทร์ทอประกายเรืองรองอยู่กลางฟ้า อินทอดกายนอนลงบนที่นอนอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ในหัวกลับวุ่นวายด้วยความคิดวกวน คำพูดทิ้งท้ายของคุณเปรมดังก้องอยู่ในโสตประสาท ซ้ำไปซ้ำมา "หลังจากนี้ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้าแล้วนะ เพราะข้าเองก็จะเลิกยุ่งกับเจ้าแล้วเช่นกัน" คิ้วของอินขมวดเข้าหากัน ความสงสัยทำให้จิตใจไม่เป็นสุข ก่อนสติจะค่อย ๆ จมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมา แต่มันกลับเป็นที่ที่แปลกประหลาด รอบกายเป็นเรือนที่คุ้นเคย ทว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง อากาศดูขุ่นมัว แสงตะเกียงริบหรี่ราวกับพร้อมจะดับลงได้ทุกเมื่อ อินก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่เท้ากลับนำพาเขาไปยังเรือนหน้าหลังใหญ่ ราวกับมีบางสิ่งเรียกหา ร่างของคนสองคนที่ยืนคุยกันอยู่หน้าเรือนคนนึงปิดหน้าปิดตามิดชิด ส่วนอีกคนที่ยืนหันหลังให้กับเขา ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก คนให้ผ้าโพกหัวพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ธีรัชรู้สึกตะหงิดใจแปลกๆ " ข้ารู้ว่าเจ้ารักนายตัวเองแบบใด..แต่การที่เจ้าจะมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับเขา เรื่องมันจะจบไม่สวยเอาหนา " " ท่านเอาอะไรมาพูดขอรับ.. คุณเปรมหาได้ชอบคอข้าไม่ " " งั้นถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า..ก็ลองขึ้นไปดูบนเรือนตอนนี้เสีย " ชายที่แต่งตัวคล้ายบ่าว มันรีบเคลื่อนที่เร็วผิดปกติ วิ่งขึ้นไปบนเรือนราวกับวิญญาณเร่ร่อนที่หาที่สิงสถิต ส่วนชายอีกคนที่ปิดบังตัวตนกลับค่อยเดินหนีหายตัวไปจากตรงนั้น ธีรัชซึ่งบัดนี้กลายเป็นผู้สังเกตการณ์ กวาดตามองรอบตัวด้วยความกังวล ในใจคิดว่าหากคนคนนั้นบังอาจล่วงล้ำเข้าไปในเรือนของคุณเปรม มีหวังได้ถูกลงโทษแน่ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นไปตามบันได แล้วก็ต้องชะงัก ร่างนั้น คืออิน กำลังคุกเข่าอยู่หน้าห้องคุณเปรม มือทั้งสองยันกับพื้น ดวงตาเบิกกว้างจ้องลอดร่องไม้เข้าไปด้านใน ความเงียบงันปกคลุมอยู่เพียงครู่เดียวก่อนธีรัชจะเดินเข้าไปใกล้ ทว่าไม่ว่าเขาจะเรียกอินอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะขยับตัว ราวกับถูกบางสิ่งตรึงไว้ สายลมเย็นเยียบพัดผ่าน ผิวกายขนลุกซู่ไปทั้งตัว ธีรัชลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดตัวลงนั่งข้างอิน แล้วหันไปมองผ่านรอยแยกของบานประตูเช่นเดียวกัน ทันทีที่ได้เห็น โลกทั้งใบก็เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในห้องนั้น คุณเปรมกำลังเอนกายพิงพนักเก้าอี้ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ผิวกายเปลือยเปล่าถูกไล้สัมผัสด้วยมือของตัวเอง ริมฝีปากเผยอออก เล็ดรอดเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ทว่าสิ่งที่ทำให้เลือดในกายของธีรัชเย็นเฉียบคือชื่อที่ถูกเอื้อนเอ่ยแผ่วพร่า "อิน..." ปากที่เอาแต่พูดชื่ออีกคนไปมา แต่มือเรียวยังคงชักรูดแท่งเอ็นร้อนที่ตั้งตระหง่านนั้นอย่างสม่ำเสมอ อินสะดุ้งถอยหลัง มือสั่นเทา สีหน้าซีดเผือดเหมือนไม่อาจรับรู้ได้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือความฝัน และก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตั้งตัว "โครม!" อินเสียหลักหงายหลังล้มไปด้านหลัง ฝ่ามือปัดถูกบานประตูจนเกิดเสียงดังสนั่น คุณเปรมที่อยู่ด้านในชะงักกึก สองมือรีบคว้าผ้ามาคลุมตัว ก่อนดวงตาตื่นตระหนกจะเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างที่นั่งอยู่หน้าห้อง “อิน...” แค่เพียงเอ่ยชื่อออกมา อินก็พรวดพราดลุกขึ้นวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง ธีรัชที่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง รีบวิ่งตามไปติด ๆ แต่เมื่อไปถึงด้านล่างเรือน ร่างของอินก็พุ่งตัวลงน้ำไปแล้ว เสียงน้ำกระเพื่อมดังสะท้อนในความมืด “อิน!” ธีรัชตัดสินใจโดดตามลงไป น้ำรอบตัวเย็นเยียบ แต่เขายังสามารถสัมผัสได้ถึงเงาร่างที่กำลังจมหายไปในความมืด ธีรัชพยายามพุ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ ทว่ามีบางสิ่งฉุดรั้งเขาไว้ ร่างกายหนักอึ้ง หายใจไม่ออก คล้ายถูกกดจมลงไปทีละน้อย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น อินอยู่ตรงนั้น อินที่ยิ้มให้เขาอย่างแปลกประหลาด ริมฝีปากขยับเปล่งเสียง แม้เสียงนั้นจะไม่ควรดังลอดออกมาในห้วงน้ำ "ข้าไม่ได้รังเกียจคุณเปรม..." "ข้ารักท่าน ข้าถึงต้องทำเช่นนี้..." น้ำเริ่มเอ่อเข้ามาในปอด ธีรัชสำลัก ดิ้นรนจะว่ายขึ้นด้านบน แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ร่างกายก็จมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ " ช่วยดูแลเขาแทนข้าที " ปากนั้นยังคงพูดคำไร้เสียงออกมา ถึงจะไม่ได้ยินเสียง แต่เขากูรับรู้ได้ว่าอีกคนพูดอะไร ราวกับมันเเล่นเข้ามาในหู จนกระทั่ง— สะดุ้งตื่น! ธีรัชผุดลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก รอบกายยังคงเป็นเรือนเดิม แสงอรุณแรกของวันลอดผ่านเข้ามาในห้อง ทว่าความรู้สึกหนาวเหน็บและฝันร้ายนั้นยังคงฝังลึก ไม่ว่าเขาจะพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดเพียงใด เสียงกระซิบของอินในห้วงน้ำก็ยังคงดังก้องอยู่ในใจไม่จางหาย...หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า