เสียงแกรกกรากของใบไม้แห้งใต้ฝ่าเท้าดังสะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่เงียบงันของป่าริมน้ำ อินยืนตัวแข็ง ขณะที่ลำกล้องปืนโบราณเย็นเยียบจ่ออยู่ตรงหน้าผากของเขา แสงตะเกียงสลัวในมือชายชราส่องกระทบใบหน้าของอีกฝ่าย เผยให้เห็นหนวดเครารกครึ้มและดวงตาคมปลาบราวกับพญาอินทรี อินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก
“มึงเป็นใคร” เสียงห้าวต่ำของชายแก่กดต่ำลง ราวกับเสียงนั้นสามารถกรีดผ่าความมืดมิดรอบกายออกจากกันได้ อินยกมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีอาวุธ ค่อยๆ หันหน้าไปเผชิญหน้ากับชายชรา “ผ...ผม...ผมพาคุณเปรมหนีมา” อินพยายามพูดให้เป็นปกติ แต่เสียงสั่นเครือออกไปโดยไม่รู้ตัว “โจรพวกมัน...เผาเรือน ไฟลุกไปทั่ว พวกโจรฆ่าคนเหมือนล่าสัตว์” ชายชราขมวดคิ้วแน่น สายตายังเต็มไปด้วยความระแวง อินรีบพูดต่อ “คุณเปรมบอกให้ผมพามาที่นี่ เขาบอกว่ามันปลอดภัย” แสงตะเกียงถูกลดระดับลง ส่องไปยังร่างไร้สติของคุณเปรมที่นอนจมกองเลือดในเรือ ชายชราผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะอุทานออกมาเสียงดัง “เจ้าเปรมรึ!?” ร่างสูงของชายชราขยับเข้ามาใกล้ทันที มือหยาบกร้านจับต้นแขนคุณเปรมพลิกดูบาดแผลที่แผ่นหลัง เลือดสีเข้มยังคงไหลซึมออกมาไม่หยุด อินเห็นดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกใจเสีย คุณเปรมตัวเย็นลงเรื่อยๆ และหากปล่อยไว้นานกว่านี้คงไม่รอดแน่ “ช่วยเขาด้วยเถิดลุง” อินเอ่ยวิงวอน เสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความร้อนรน ชายแก่เงียบไปอึดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “แบกมันขึ้นเรือน” เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนถึงเรือนไม้ กลางดึกสงัด เหนือน่านน้ำอันเงียบงัน อินพายเรืออย่างเงียบเชียบไปตามสายน้ำที่ทอดตัวยาวเป็นเงาดำสะท้อนแสงจันทร์เรืองรอง บรรยากาศโดยรอบถูกกลืนกินด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงพายกระทบผิวน้ำดังแผ่วเบา ราวกับไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ถึงการมีตัวตนของเขา เรือนไม้หลังแล้วหลังเล่าผ่านสายตาของอิน เรือนแม่หญิงปิ่นตั้งตระหง่านอย่างสงบ ปราศจากวี่แววของความวุ่นวายจากเหตุโจรปล้นเรือนใหญ่ เขาผ่านตลาดที่เคยคึกคักในยามกลางวัน แต่บัดนี้กลับกลายเป็นสถานที่ร้างไร้ชีวิต มีเพียงแสงริบหรี่จากตะเกียงร้านค้าบางแห่งที่ยังไม่ได้ดับลง ท่ามกลางความมืดมิด อินเหลือบไปเห็นเงาราง ๆ ของเรือนไม้เก่าแก่หลังหนึ่ง มันตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมตลิ่ง ราวกับถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แสงไฟจากตะเกียงเพียงดวงเดียวส่องริบหรี่ภายในเรือน ทำให้เงาของไม้กระดานสั่นไหวไปตามแรงลมยามค่ำคืน อินหยุดพาย ร่างกายที่เหนื่อยล้ากำลังสั่นสะท้านจากอาการบาดเจ็บ แต่สัญชาตญาณสั่งให้เขาเชื่อว่า ที่นี่แหละ... จนประจวบมาเวลาปัจจุบันที่เกิดขึ้น อินไม่รอช้า ใช้แรงทั้งหมดที่มีแบกร่างของคุณเปรมขึ้นเรือนเล็กๆ ที่ดูเก่าโทรม แม้แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวจะไม่สามารถไล่ความมืดรอบข้างไปได้หมด แต่ภายในเรือนกลับมีกลิ่นสมุนไพรจางๆ ลอยอยู่ในอากาศ เขาวางร่างของคุณเปรมลงบนแคร่ไม้เก่าคร่ำคร่า ขณะที่ชายชรารีบก้มลงตรวจดูอาการ แสงไฟสะท้อนให้เห็นริ้วรอยลึกบนใบหน้าของชายแก่ แต่แววตาของเขากลับยังคงเฉียบคม มือหยาบกร้านกดลงบนบาดแผลเพื่อหยุดเลือดไหล คุณเปรมกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่ได้สติ “เองออกไปรอข้างนอก” ชายแก่สั่งเสียงห้วน อินลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายตาเด็ดขาดของอีกฝ่าย เขาก็พยักหน้ารับแล้วเดินออกไปยืนตรงระเบียงด้านนอก บรรยากาศโดยรอบเงียบงันจนน่าขนลุก มีเพียงเสียงลมพัดไหวผ่านยอดไม้และเสียงแมลงกลางคืนดังระงมไม่ขาดสาย ความมืดกลืนกินทุกอย่างรอบตัว มีเพียงแสงจันทร์สีซีดที่พอให้เห็นเส้นทางเล็กๆ ระหว่างต้นไม้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามข่มใจให้สงบ แต่ภาพของบ่าวที่ถูกเชือดคอในเรือนยังคงติดตา เลือดที่สาดกระเซ็นบนพื้น เสียงกรีดร้องโหยหวน ทุกอย่างยังคงวนเวียนอยู่ในหัว อินกำมือแน่น พยายามไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป เสียงแอ๊ดของประตูไม้ทำให้เขาสะดุ้งหันไปมอง ชายแก่เดินออกมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลและสมุนไพรในมือ “มึงเองก็บาดเจ็บเช่นกัน” เขาพูดพลางนั่งลงตรงหน้าอิน “มา ข้าดูให้” "ขอบคุณขอรับ.." อินที่พยายามกลั้นความเจ็บปวดมาตลอดเพิ่งรู้ตัวว่าแขนของเขาชาไปหมด เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลที่ไหล่ขวา เมื่อชายแก่ใช้น้ำสมุนไพรล้างแผล ความเจ็บแปลบก็พุ่งเข้าใส่จนอินสะดุ้งเฮือก น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว “อึก...” อินเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ดวงตาร้อนผ่าว น้ำใสๆ ไหลลงมาตามแก้มเงียบๆ ชายชราเหลือบมอง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “กะอีแค่แผลเท่านี้ เองยังจะร้องไห้อีกรึ” อินรู้สึกอับอายจนต้องรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว “ผมไม่ได้ร้อง! ก็มันเจ็บนี่” ชายแก่หัวเราะในลำคอ ก่อนจะลุกขึ้น “ข้ามีชื่อว่าเพิ่ม เรียกกูลุงเพิ่มก็ได้” เขายกมือขึ้นลูบเคราของตนเอง “เป็นลุงของเจ้าเปรม และเอ็งคงเป็นทาสที่ช่วยมันออกมา ข้าล่ะต้องขอบใจจริงๆ” อินกะพริบตาปริบๆ อย่างตกใจ “ลุงของคุณเปรมหรอขอรับ?” “ใช่” ลุงเพิ่มพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจ “ข้าต้องขอโทษที่เล็งปืนใส่เอง พอดีว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีคนมา ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุดใช่ไหมล่ะ” พูดจบลุงเพิ่มก็แย้มยิ้ม สายตาของเขาแม้จะดูดุดัน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น อินพอเห็นดังนั้นก็คลายความกังวลไปเล็กน้อย อย่างน้อยคืนนี้เขาและคุณเปรมก็คงปลอดภัย... อย่างน้อยก็ตอนนี้ รุ่งเช้าแสงแดดยามอรุณค่อย ๆ ทาบทับลงบนใบหน้าคมสันของหลวงพิตชิเดโช หรือเปรม แสงสีทองอ่อน ๆ อาบไล้ผิวเนียนจนเจ้าตัวต้องค่อย ๆ ขยับเปลือกตา พลางครางแผ่วเบากับความปวดร้าวที่แล่นวาบไปทั่วร่างกาย ดวงตาสีนิลกวาดมองรอบ ๆ อย่างงุนงง เรือนไม้เก่าหลังนี้… เปรมรู้จักมันดี และก็รู้จักคนที่ครอบครองมันดีเช่นกัน เขาถอนหายใจ พลางเบ้ปากเล็ก ๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ลุงเพิ่ม… ไอ้ลุงขี้เกียจยังคงเป็นคนขี้เกียจเหมือนเดิม ไม่ต้องสังเกตอะไรมากก็รู้ว่าเรือนนี้ไม่ได้ถูกกวาดถูมาเป็นปี ฝุ่นจับจนแทบวาดลวดลายเล่นได้ เปรมเผลอยิ้มขำ ๆ กับตัวเอง แต่แล้วสายตาก็ดันไปสะดุดกับ หัวกลม ๆ ทุย ๆ ของใครบางคนที่ฟุบอยู่ข้างเตียง เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงระใบหน้า แผ่นหลังไหวขึ้นลงเป็นจังหวะช้า ๆ ของลมหายใจสม่ำเสมอ เปรมมองเจ้าตัวนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปลูบเส้นผมนุ่มเล่นเบา ๆ ราวกับลูกแมวตัวน้อย นิ่มจัง… ปลายนิ้วไล้ไปตามไรผมอย่างเผลอไผลจนกระทั่ง… “อื้อ…” เจ้าของหัวทุยขยับตัว เปรมสะดุ้ง รีบชักมือกลับแทบไม่ทัน แสร้งเบือนหน้าหนีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ปรือเพราะเพิ่งตื่นเต็มไปด้วยความง่วงงุน ทันทีที่รู้สึกตัวเต็มที่ อินก็ตาโต รีบโพล่งออกมา “คุณเปรมฟื้นแล้ว!!” เสียงตื่นเต้นแบบคนดีใจดังขึ้น เปรมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มจาง ๆ เจ้าหมาน้อยนี่ช่างน่าขันจริง ๆ อินขยับเข้ามาใกล้ทันที พร้อมยิงคำถามรัวเป็นชุด “เป็นยังไงบ้างครับ เจ็บตรงไหนมั้ย ลุกไหวรึเปล่า?” “อือ… ไม่เป็นไร” เปรมตอบพลางขยับตัวพยายามจะลุกขึ้น แต่ทันทีที่ออกแรง ความเจ็บก็พุ่งวาบไปทั่วแผ่นหลัง “อึก…!” ร่างสูงเซไปด้านหลังแทบจะล้มลงไปอีกครั้ง แต่ก่อนที่ร่างกายจะกระแทกพื้น แขนแข็งแรงของอินก็คว้าตัวเขาไว้ได้ทัน แผ่นอกกว้างแนบชิดเข้ากับร่างของอิน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้จันทน์เจือเหงื่ออ่อน ๆ ลอยมากระทบจมูก เปรมชะงักไปชั่ววินาที ขณะที่อีกฝ่ายถอนหายใจหนัก ๆ ข้างหู “เกือบไปแล้ว…” ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดอยู่ตรงซอกคอ เปรมตัวแข็งทื่อ ให้ตายเถอะ ทำไมมันร้อนแบบนี้ “ปล่อย!” เปรมร้องเสียงหลง รีบผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด อินทำหน้างง ๆ ก่อนจะเกาหัวพลางยิ้มแหย ๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะจับคุณเปรมหรอกนะครับ แค่กลัวคุณจะหงายหลังไปจริง ๆ” เปรมเม้มปากแน่น รู้สึกว่าถ้าอยู่ใกล้เจ้าหมานี่นานกว่านี้ ตัวเองอาจจะเป็นฝ่ายระเบิดออกมาก่อน “ลุงเพิ่มไปไหน” เปลี่ยนเรื่องดีกว่า! อินทำตาใสซื่อก่อนจะตอบกลับมา “ไปจ่ายตลาดตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ” เปรมพยักหน้า… แต่ทันใดนั้น อินก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเจือความตกใจ “คุณเปรมหลับไปตั้ง ห้าวัน เลยนะครับ!” “อะไรนะ!?” เปรมเบิกตากว้าง “ครับ… ห้าวันเต็ม ๆ เลย” อินทวนซ้ำอย่างจริงจัง เปรมยังคงอ้าปากค้าง ห้าวัน!? นี่เขาหลับยาวขนาดนั้นเลยเหรอ!? หลังจากฟื้นตัวได้ไม่นาน อินก็ไม่รอช้าที่จะดูแลปรนนิบัติคุณเปรมของเขาเป็นอย่างดี ร่างสูงโปร่งรีบไปหาน้ำมาให้คนที่หลับไปถึงห้าวันจิบน้ำดับกระหาย ก่อนจะพยายามหาของกิน แต่ในเรือนไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำกับถ้วยเปล่า ๆ ลุงเพิ่มก็ยังไม่กลับมาเสียที อินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าเป็นยุคเรานะ วิ่งไปร้านสะดวกซื้อแป๊บเดียวก็ได้ข้าวกล่องอุ่นร้อนมาวางตรงหน้าแล้ว ความคิดนั้นทำให้เขาอดเศร้าไม่ได้ ขณะที่คุณเปรมกำลังจิบน้ำ อินที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เพลิน ๆ ก็เผลอพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ผมคิดถึงเซเว่นแถวบ้านสุด ๆ เลยครับ” คุณเปรมที่ได้ยินเข้าก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พลางหันมามองอินอย่างงุนงง “เซอะไรนะ?” อินสะดุ้ง รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไร!” ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนด้วยการหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นขึ้นมา ตั้งใจจะเช็ดตัวให้คุณเปรม หวังให้เจ้าตัวลืมคำถามเมื่อครู่ไปเสีย เขาค่อย ๆ บรรจงเช็ดไปตามลำคอและแขนของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ด้วยความใกล้ชิด ทำให้ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างกายของคุณเปรมผสมกับกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ ที่ติดตัวเขา ทำให้อินต้องกลั้นใจไม่ให้เผลอเสียสมาธิ ขณะที่มือของเขาเลื่อนไปตามผิวเนื้อ คุณเปรมก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแฝงความขบขัน “ข้าติดหนี้เจ้าอีกแล้วกระมัง” อินชะงัก คิ้วขมวดเข้าหากันก่อนจะถามออกไป “ติดหนี้อะไรครับ?” คุณเปรมหัวเราะเบา ๆ พลางทอดสายตามองอินอย่างอ่อนโยน “ก็เจ้า…ช่วยชีวิตข้าไว้อีกครั้งแล้วนี่” เขาพูดพร้อมกับยื่นมือมาลูบหัวอินเบา ๆ ราวกับเป็นความเคยชิน อินรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือแข็งแรงของคุณเปรม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคน ๆ นี้ถึงทำแบบนี้กับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับ…คุ้นเคยกันมานานแสนนาน อินขบกรามแน่น ความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ในอกมาตลอดมันเริ่มปะทุขึ้นมาแล้ว ถ้าเขาไม่ถามตอนนี้ เขาคงไม่มีวันได้รู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่ค้างคาใจ “คุณเปรม…” อินเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ก่อน…พวกเราเคยเป็นอะไรกันหรอครับ?” คุณเปรมชะงักไปทันที ดวงตาสีนิลที่จ้องมองอินเมื่อครู่ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด แม้เขาจะยังคงมีรอยยิ้มแต้มบนริมฝีปาก แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกอยู่ข้างใน เขาเปิดปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้ว— “เจ้าเปรม! เอ็งฟื้นแล้วโว้ย!!” เสียงลุงเพิ่มดังขึ้นขัดจังหวะ เขาเดินเข้ามาพร้อมกับถุงห่อใบตองที่มีกับข้าวอยู่เต็มมือ เปรมจึงละสายตาจากอินแล้วหันไปสนใจลุงเพิ่มแทน อินที่เห็นว่าการสนทนาถูกตัดขาดไปกะทันหัน รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้กลางอากาศ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเลือกถอยออกมา ปล่อยให้คุณเปรมกับลุงเพิ่มได้พูดคุยกันไป เขาเดินออกไปข้างนอก ยืนกอดอกพิงเสาเรือนไม้ มองดูต้นไม้ใบหญ้ารอบ ๆ แล้วถอนหายใจอีกครั้ง นี่ฉันพูดอะไรออกไปวะ… ไม่คิดก่อนเลยหรือไง! อินบ่นกับตัวเอง ก่อนจะหันไปสะบัดใบไม้รอบ ๆ อย่างหงุดหงิดเหมือนเด็ก ๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป… บางสิ่งที่สำคัญมาก แต่เขากลับจำมันไม่ได้เลย และคุณเปรม… เขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ… แดดยามบ่ายทอดเงาลงบนเรือนไม้เก่ากลางป่า อากาศอบอ้าวจากสายลมอ่อน ๆ พัดไหวผ่านร่มไม้ใหญ่ ส่งเสียงใบไม้กระทบกันเบา ๆ สร้างบรรยากาศเงียบสงบเหมาะแก่การสนทนา เปรมค่อย ๆ พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากฟูก ก่อนจะหันไปมองอินที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ไม่ห่าง “ช่วยพยุงข้าหน่อยได้หรือไม่” น้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นทำให้อินรีบก้าวเข้ามาช่วยทันที “เดินไหวไหมครับคุณเปรม” อินถามขณะประคองอีกฝ่ายให้เดินออกจากตัวเรือนไปยังชานเรือนที่เปิดโล่งรับลมเย็น เปรมเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ ทันทีที่ก้าวออกมาด้านนอก ลุงเพิ่มที่นั่งสูบยาเส้นอยู่มุมหนึ่งของเรือนก็หัวเราะเบา ๆ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องอยากอยู่ลำพัง” เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน ปัดชายเสื้อให้เรียบร้อย “ข้าขอไปดื่มเหล้ากับพวกเพื่อนที่ตลาดเสียหน่อย คืนนี้คงกลับดึก” เปรมพยักหน้ารับโดยไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติม ส่วนอินมองตามลุงเพิ่มที่เดินหายลับไปก่อนจะกลับมานั่งลงข้าง ๆ เปรมที่เอนกายพิงเสาช้า ๆ แววตาของเปรมทอดมองไปยังปลายยอดไม้ไกล ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “เจ้าอยากรู้จริง ๆ หรือ ว่าอดีตของเราเป็นเช่นไร” เปรมเอ่ยถามเสียงเรียบ อินมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่นิ่งสงบแต่แฝงด้วยความลังเล ดวงตาคู่นั้นไม่ได้เปล่งประกายเจ้าเล่ห์เช่นเคย ทว่ากลับเต็มไปด้วยความหนักใจและความเศร้าลึกเร้น อินจึงพยักหน้าตอบโดยไม่ลังเล “ข้าอยากรู้จริง ๆ ครับ” เปรมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะทอดถอนใจออกมา “ข้าคิดว่าเหตุที่เจ้าจำไม่ได้ อาจเป็นเพราะเจ้าไม่อยากจะจำมันเสียอีก” รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นที่ริมฝีปากของเปรม แต่แทนที่จะดูอบอุ่น มันกลับให้ความรู้สึกโศกเศร้าอย่างประหลาด อินสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มนั้น เขายกมือแตะบ่าของเปรมเบา ๆ เชิงปลอบใจ เปรมเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะเล่าเรื่องของเด็กคนหนึ่งให้เจ้าฟัง” อินขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ เปรมเหลือบมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทอดสายตาออกไปไกล ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านราวกับจะพาเอาความทรงจำในอดีตกลับคืนมา “เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาในเรือนที่เต็มไปด้วยอำนาจ เขาเป็นบุตรชายของผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมือง แต่กลับถูกเลี้ยงดูเช่นคนไร้ค่า ถูกใช้เป็นหมากในเกมการเมือง ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวพอใจ แต่ไม่เคยได้รับความรักที่แท้จริง” เสียงของเปรมแผ่วเบา ทว่าสะท้อนถึงบาดแผลในใจที่ยากจะเยียวยา อินรับฟังโดยไม่พูดแทรก เพราะเขารู้ดีว่าทุกถ้อยคำที่เปรมเอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวด “จู่ ๆ วันหนึ่งเขาถูกศัตรูของพ่อลอบทำร้าย ขณะที่เด็กน้อยกำลังสิ้นหวังกับชีวิตที่ใกล้ดับสิ้น ใครบางคนก็พุ่งกระโจนเข้ามาช่วยเขาโดยไม่ลังเล แม้ตัวเองจะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม” อินกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขาถูกบีบรัดด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ “สุดท้ายเด็กน้อยรอดมาได้… แต่สหายของเขา กลับถูกช่วงชิงไป ด้วยฐานะที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว พวกเขาถูกพรากออกจากกัน โดยไม่มีแม้แต่โอกาสร่ำลา” เปรมหัวเราะเบา ๆ แต่เสียงนั้นกลับฟังดูเศร้าเหลือเกิน “เมื่อเติบโตขึ้น เขาได้พบกับสหายเก่าอีกครั้ง… แต่ครั้งนี้ สหายของเขากำลังจะถูกขายเป็นสินค้า เขาไม่อาจทนมองเห็นอีกฝ่ายถูกพรากไปอีกเป็นครั้งที่สอง จึงใช้วิธีเดียวที่เขามี—ซื้ออีกฝ่ายมาเสียเอง” เสียงของเปรมแผ่วลงแทบเป็นเสียงกระซิบ ทว่าแต่ละคำกลับกรีดลึกเข้าไปในใจของอิน “แต่ใครจะคิดกันเล่าว่า… ความรู้สึกที่เคยมีให้ในวัยเด็ก จะเติบโตขึ้นมาเป็นบางสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น” เปรมเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ปนเปไปด้วยความขมขื่นและอ่อนโยน “เจ้าว่า… มันน่าขันหรือไม่?” อินส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่น่าขันเลยครับ” เปรมเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลง ดวงตาคู่นั้นราวกับซ่อนความรู้สึกนับพันเอาไว้ “ข้าเพียงอยากให้เจ้ารู้ว่า… บางครั้ง การจำไม่ได้ อาจเป็นทางที่ดีกว่า” อินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามสิ่งที่ติดอยู่ในใจมาตลอด “คุณเปรม… เด็กคนนั้นคือท่านใช่ไหมครับ?” เปรมไม่ได้ตอบในทันที เขาเพียงแค่หันไปมองอินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มขึ้นเพียงเล็กน้อย แล้วเบนสายตากลับไปยังขอบฟ้าอีกครั้ง "แล้วสหายคนนั้นคืออินใช่มั้ยครับ.." บรรยากาศเงียบสงัดลงชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมพัดผ่านและเสียงใบไม้ไหวเป็นจังหวะ อินรู้สึกได้ว่าคำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ ต่อจากนี้หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า