แสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกไม้ไผ่ ทาบทอแผ่นไม้พื้นและผนังห้องเปลือกไข่ในเรือนของคุณพระผู้เป็นบิดา อ้อมกอดแห่งยามเช้าทำให้เสียงจิ้งหรีดเงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจและเสียงไอแผ่วเบาจากเตียงคนไข้
อินลืมตาขึ้นช้า ๆ ปวดแปลบที่ต้นขาข้างซ้ายจนต้องขมวดคิ้ว พยายามยันตัวลุก แต่ก็รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกซักพัก เมื่อเขาเลื่อนสายตาไปเห็นใบหน้าคุณเปรมก้มลงมาใกล้ กำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดเหงื่อและคราบเลือดแห้งจากขอบผ้าพันแผล อินถึงกับเบิกตาโพลง “คุณเปรม… ผม… ผมอยู่ที่ไหนครับ?” น้ำเสียงแหบพร่าพลางพยุงตัวขึ้นเล็กน้อย เปรมวางผ้าสะอาดลงบนโต๊ะเล็กข้างเตียง ยิ้มอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยห่วงใย “นี่…เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าฟื้นมาอยู่ในเรือนของพ่อแม่บุหลันต่างหากล่ะ ข้า…ข้าพามาที่นี่ตอนรุ่งสาง เมื่อวันนั้นหลังจากที่เจ้าจมน้ำ ข้านัดแนะกับคุณพระพิศาลให้ท่านส่งคนมาช่วยและเจ้ามารักษาที่นี่ ท่านกรุณาให้พวกเราใช้ห้องนี้จนกว่าเจ้าจะหายดีเอง” อินค่อย ๆ หายใจเข้าลึก พยายามนึกภาพที่ผ่านมา “แต่…หลวงวิษณุล่ะครับ? เขา…เขายังอยู่หรือเปล่า?” เปรมถอนหายใจ พยักหน้าเล็กน้อย “มันหนีไปได้…แต่ข้าได้แจ้งทางการเรียบร้อยแล้ว ว่ามีคุณหลวงคิดการร้ายบุกเผาไร่เผาเรือนข้า รวมทั้งก่อเหตุลอบค้าของผิดกฎหมายในโรงบ่มเหล้า มันมีหมายจับรออยู่ หากไม่หนีไปไกล ครู่เดียวก็วิบัติแน่” อินพยายามจรดริมฝีปากให้เรียบ “ขอบคุณคุณเปรมมากครับ…ที่มาช่วยผม” เปรมยิ้มบาง แววตาอบอุ่น “ข้าจะปล่อยให้คนที่ข้ารักไปตายได้อย่างไรเล่า เจ้าเด็กโง่” อินกลั้นยิ้ม ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ “ขอบคุณ…จริง ๆ นะครับ ผมรู้สึกอบอุ่นจนไม่รู้จะบอกคุณยังไงดี" เปรมเอื้อมมือมาลูบศีรษะอินเบา ๆ เส้นผมเปียกชุ่มจากน้ำฝนและน้ำแม่น้ำ “พักเถอะ เดี๋ยวข้าจะเช็ดแผลให้ เจ้าอย่าเพิ่งคิดมากหรือขยับมากนัก” อินยิ้มรับ แววตาสดใส “ครับ ผมจะตั้งใจพัก…แต่ขออยู่ใกล้คุณเปรมนิดหนึ่ง” เปรมถอนหายใจยาว พลางจัดผ้าปูให้เรียบ และหยิบกรรไกรเล็กออกมาอย่างเชี่ยวชาญ “แผลเจ้าเริ่มตกสะเก็ดแล้ว แต่บางจุดยังต้องเช็ดชำระ แล้วข้าจะพันผ้าให้ใหม่ จัดตัวให้นิ่งนะ” อินเอียงคอให้เปรมดูแล พลางส่งสายตาอ้อน ๆ “ครับคุณพ่อ…อย่าดุผมเลยนะ” " พ่อกะไรของเจ้า " เปรมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วจัดการล้างแผลอย่างทะนุถนอม เขาก้มมองผิวแทนกำลังเริ่มคืนสีสม่ำเสมอ รอยยิ้มเต็มใจประดับอยู่บนใบหน้า เขาทำทุกอย่างด้วยความเอาใจใส่ ด้วยมือที่ไม่เคยสั่น แม้หัวใจจะเต้นแรงเพราะความห่วงใย “นี่…เจ้ารู้ไหม เห็นเจ้าเจ็บปวดขนาดนี้ ข้าก็เจ็บไปด้วย” เปรมพูดเสียงอ่อน อินเงยหน้าขึ้นสบตา “ผมเองก็ไม่อยากให้คุณเปรมเป็นห่วง…แต่ผมรู้ว่าคุณรักผมมากกว่าที่ผมเคยรู้” เปรมหยุดเช็ดแผล หันมาจ้องอินอย่างจริงจัง " ปากหวานจริงนะ..นึกภาพไม่อกเลยจริงๆว่าถ้าเจ้าไม่รอดใครจะมาพูดจาลามปามแบบนี้กับข้าอีก" อินละสายตาไปชั่วครู่ แล้วหัวเราะน้ำตาซึม “ถ้าผมไม่กลับมา…ผมก็จะวิ่งส่งจดหมายจากโลกอนาคตไปหา” เปรมมองค้อน “โลกอนาคตนั่นมันอะไรของเจ้า มันทำได้ถึงขนาดนั้นเลยรึ” “โธ่…พูดเล่นนั่นแหละครับ แต่ผมจะอยู่กับคุณเปรมจริง ๆนะ” อินยักคิ้ว ก่อนจะวางศีรษะลงบนหมอน พลางยิ้มสบายใจ เปรมปิดผ้าห่มผืนบางลงมาระดับเอว “นอนเถอะ เจ้าบ่าวขึ้นนาย เดี๋ยวข้าจะแวะมาดูอีกที” อินหาวหนึ่งทีแล้วหลับตา “คร้าบบ…ขอบคุณครับคุณเปรม” ก่อนที่อินจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ความรู้ที่รับรู้ได้ทั้งภาพและเสียงตอนขณะจมน้ำ ..ร่างในโลกเก่าของเขาที่กำลังนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงโรงพยาบาลหรือความจริงเขายังไม่ตายกันนะ แค่กำลังหลับและฝันระยะยาวอยู่หรือเปล่า แต่ก็ชั่งมันเถอะ ขอแค่ได้อยู่กับคุณเปรมแบบนี้ ต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ มันก็โคตรจะมีความสุขแล้ว พอเห็นว่าคนป่วยข่มตาหลับ เปรมเงียบไปครู่หนึ่ง สำรวจอีกฝ่ายที่หลับสนิท ก่อนจะค่อย ๆ ถอยตัวออกจากเตียง เดินไปหยิบผ้าห่มอีกผืนมาคลุมให้พอดี จากนั้นกาลเวลาก็ล่วงเลยหลายเดือน อินพักฟื้นอยู่ในเรือนของคุณพระจนร่างกายเริ่มแข็งแรงดี แผลที่ต้นขาซ้ายแม้ยังทิ้งรอยจาง ๆ เอาไว้ แต่ก็หายสนิทพอให้ขยับเดินเหินได้ตามปกติ ภายใต้การดูแลเอาใจใส่ของคุณเปรมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยาสมุนไพร ทั้งการเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าพันแผล และการพูดคุยให้คลายทุกข์ เปรมเฝ้าดูแลอินราวกับคนสำคัญที่สุดในชีวิต เมื่ออินแข็งแรงพอ คุณเปรมจึงตัดสินใจคิดจะพาตัวเขากลับไปที่เรือนของตนเอง เรือนใหญ่ที่เคยอาศัย ซึ่งบัดนี้ได้รับการซ่อมแซมจนกลับมาน่าอยู่ดั่งเดิม เพราะด้วยการช่วยเหลือจากคุณพระ ตั้งแต่ขัดพื้นไม้ เปลี่ยนหลังคาที่รั่ว ไปจนถึงปลูกไม้ดอกริมชานบ้าน คนงานที่คุณพระหามาให้ช่วยบำรุงเรือน เปรมตั้งใจเปลี่ยนเรือนหลังนี้ให้กลายเป็นที่พักพิงอันอบอุ่นอีกครั้ง ส่วนทางด้านแม่ปิ่นแก้ว น้องสาวเพียงคนเดียวของคุณเปรม แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับความผิดของสามีอย่างหลวงวิษณุ แต่เมื่อข่าวแพร่สะพัดว่าเขาคิดร้ายและถูกหมายจับในข้อหาหนัก ทรัพย์สินในเรือนของเขาจึงถูกยึดตามระเบียบ ปิ่นแก้วจึงตกอยู่ในฐานะหญิงม่ายที่ไร้ทั้งเรือน ทั้งคนดูแล เหลือเพียงชื่อเสียงที่มัวหมองและหัวใจที่บอบช้ำ เปรมที่ทราบข่าว จึงรีบไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง “ปิ่นแก้ว...กลับไปอยู่กับพี่เถิด เรือนพี่ยังมีที่ว่างเสมอ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น หญิงสาวซบหน้ากับผ้าคลุมไหล่ หลบสายตาแล้วพูดเบา “คุณพี่เปรม...อย่าพูดเลย หากข้าไปอยู่กับพี่ พวกเขาจะหาว่าพี่ให้ที่พักพิงคนของกบฏ ข้าไม่อยากให้พี่ต้องเดือดร้อนไปด้วยอีกคน” “ข้าไม่สนว่าผู้คนจะพูดอย่างไร” เปรมพูดเร็วขึ้นเล็กน้อย จ้องหน้าน้องสาวด้วยแววตาแน่วแน่ “ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร เจ้าคือปิ่นแก้วน้องสาวเพียงคนเดียวที่ข้ารัก” ปิ่นแก้วน้ำตาคลอ ขอบตาแดงก่ำ “แต่ข้า...ข้าอยู่ตรงนี้คนเดียวได้ ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ” “เจ้าอย่าดื้อกับพี่เลย” เปรมถอนหายใจ ยื่นมือไปกุมมือเธอ “เจ้าต้องมีคนดูแล ไม่ใช่เพราะเจ้าช่วยตัวเองไม่ได้...แต่เพราะเจ้าควรได้รับการดูแลอย่างสมเกียรติ ไม่ใช่ต้องทนลำบากอยู่ลำพังเพียงเพราะผัวของเจ้าก่อเรื่อง” ปิ่นแก้วนั่งนิ่งอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยคำเบา ๆ ว่า “...ข้าคิดถึงคุณพี่เหลือเกินเจ้าค่ะ” เปรมยิ้มอย่างโล่งใจ “เช่นกัน ปิ่นแก้ว...กลับบ้านกับพี่เถอะ” ในที่สุด ปิ่นแก้วก็ยอมตกลงกลับไปอยู่ที่เรือนของคุณเปรม และเมื่อเธอก้าวเข้าไปในเรือนหลังนั้นอีกครั้ง ได้เห็นใบไม้ถูกกวาดเรียบ ม่านขาวโบกพลิ้วในสายลม และกลิ่นขนมไทยลอยมาแตะปลายจมูก หญิงสาวก็รู้ทันทีว่า แม้จะสูญเสียหลายสิ่งไป แต่เธอยังมี “ครอบครัว” อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ในสายเลือดเพียงอย่างเดียว หากแต่ในความรักและความผูกพันที่แนบแน่นเกินคำใดจะบรรยาย เสียงแมลงหริ่งหรีดเริ่มขานรับยามเย็น กลิ่นดินหลังฝนตกชัดเจนขึ้นทุกย่างก้าว เมื่ออินเดินช้า ๆ ตามคุณเปรมกลับมาถึงเรือนหลังเก่า ที่บัดนี้ได้รับการซ่อมแซมจนสะอาดสะอ้าน มุงจากใหม่เอี่ยม ผนังปะชุนอย่างประณีต ดอกไม้ป่าปลูกเรียงริมรั้วไม้ไผ่ ขันโตกเล็ก ๆ ยังตั้งอยู่หน้าห้องพร้อมถ้วยน้ำชาและข้าวตอกในพานเงิน อินยิ้มกว้างทันทีที่มองเห็น บ้านของเขา บ้านที่แทบไม่มีโอกาสได้กลับมา “โห…เปลี่ยนเยอะมากครับ ผมจำแทบไม่ได้แน่ะ” “จำไม่ได้น่ะสิ ก็ข้าเล่นใหญ่เพิ่มนั้นนี้ตามใจคิดว่าเจ้าน่าจะชอบ” เปรมประชดแต่ยิ้มตาหยี อินหัวเราะเบา ๆ " นี้เรือนคุณเปรมนะครับ ถ้าผมไม่ชอบก็แย่แล้ว " นั้นสินะ... ถ้าเจ้าไม่ชอบแล้วใครจะมาอยู่กับข้ากันละ" เปรมพึมพำแล้วเดินนำเข้าเรือนไป ทั้งคู่ขึ้นบันไดบ้าน อินก็ต้องชะงักเมื่อเห็น แม่ปิ่นแก้ว นั่งพับเพียบอยู่หน้าห้องรับแขก แววตาคู่งามที่เคยเหยียดหยัน กลับดูระวังตัวและเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด “คุณพี่เปรม! ข้าทำกับข้าวไว้รอท่านตั้งนานจนมันเย็นหมดแล้วนะเจ้าคะ " อินถึงกับยืนตัวเกร็ง หันไปมองเปรมอย่างขอคำอธิบาย “ก็ที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง..นางยอมย้ายมาอยู่ด้วยแล้ว” เปรมพูดเรียบ ๆ แต่เสียงนุ่มลง อินยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะโค้งให้นาง “สวัสดีครับคุณปิ่นแก้ว สบายดีนะครับ…” แม่ปิ่นแก้วเบิกตากว้าง " ข้าสบาย อินเจ้าหิวหรือยังเล่า...คุณพี่ข้า! เหตุใดพาเจ้ามาช้านัก" พรางทำหน้ามุ่ย ใส่คุณเปรม เปรมหัวเราะพรืดอย่างอดไม่อยู่ " ดูทำหน้าทำตาเข้า ไม่อายบางเลยหรือแม่นาง " แม่ปิ่นแก้วเบะปาก " อายกะไรอีกเจ้าคะ นั้นก็อิน นี้ก็คุณพี่ มีแต่คนที่รู้จักกันทั้งนั้น ข้ามีอะไรต้องอายอีกเล่า" อินมองสองพี่น้องเถียงกันด้วยสายตาเหมือนเด็กดูตลกหุ่นกระบอก ปากคลี่ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว บ้านหลังนี้แม้จะเก่า แม้จะเต็มไปด้วยรอยร้าว แต่บรรยากาศอบอุ่นเหลือเกิน “ว่าแต่…ผมอยู่ที่นี่ได้แน่นะครับ?” อินถามเปรมเบา ๆ เปรมหันมายิ้ม " ทำไมเจ้าจะอยู่ที่นี้ไม่ได้ เจ้าอยู่กับข้าที่นี่มาตั้งนานแล้วนะอิน “อะแฮ่ม! ถูกต้องอย่างที่คุณพี่กล่าว ข้าสัญญาจะไม่แอบดูเวลาพวกเจ้ากะนู๋กะนิ่งกัน ” แม่ปิ่นแก้วว่าเสียงห้วน “คุณปิ่นแก้วพูดอะไรออกมาน่ะครับ…” อินหลบตา เปรมแกล้งเลิกคิ้ว “ปิ่นแก้ว ดูสิเจ้าหยอกพี่ สะใภ้เขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว” “คุณเปรม! อย่าแหย่ผมสิ ใครพี่สะใภ้ผมเป็นเขยต่างหาก!” แม่ปิ่นแก้วแอบอมยิ้ม “ดูเขาสิพี่เปรม ข้าบอกแล้วว่าเจ้านี่มันจะอยู่บนน่ะ คิกคิก” เปรมเทน้ำใส่ขันให้แล้วส่งให้อิน “รอดูก่อนเถอะเรื่องแบบนี้ เปลี่ยนตำแหน่งกันได้เสมอแหละ” อินรับน้ำไปดื่มเงียบ ๆ แต่แก้มเริ่มขึ้นสีโดยไม่รู้ตัว แต่ภายในใจก็เอาแต่นึกถึง "ร่างกายที่เปลือยเปล่าของอีกคน บนเกวียนในวันนั้น วันแรกที่ได้เผลอตัวเผลอใจทำลงไป ตัวก็เล็กก็ว่า หน้าอกที่เต็มไม้เต็มมือ กับเอวคอด ดูยังไงก็ไม่น่าสลับตำแหน่งได้เลยนะ ไม่เลยสักนิด " ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสามก็นั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกัน แม่ปิ่นแก้วเล่าเรื่องเรือนของตนที่ถูกยึดด้วยเสียงเรียบ ๆ แต่เปรมแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากให้เธอต้องกังวล “เจ้าจะอยู่ที่นี่ อยากทำอะไรบอกข้า เจ้าคือครอบครัวเดียวที่ข้ายังมีอยู่ และอินเองก็เหมือนกัน เราต้องช่วยกันดูแลกันให้ดี” แม่ปิ่นแก้วถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้า อินเหลือบมองทั้งสองแล้วก็พูดอย่างขี้เล่น “งั้นผมขอเริ่มด้วยการขอห้องที่ติดกับครัวได้ไหมครับ เผื่อหิวตอนดึกจะได้ย่องไปได้ง่าย ๆ” “เจ้าก็เป็นสัตว์ดูดกลืนอาหารสินะ” แม่ปิ่นแก้วส่ายหน้า “อ้าว ผมไม่ได้กินเก่ง ผมแค่…รักในศาสตร์การปรุงแต่งจากธรรมชาติ” เปรมหลุดหัวเราะออกมาทันที “นี่เจ้าเป็นบ่าว หรือเป็นนักกินกันแน่?” “ก็เป็นคนที่คุณเปรมจะต้องเลี้ยงไปตลอดชีวิตไงครับ” อินยิ้มหน้าตาย เปรมถึงกับชะงักแล้วหลุบตาลง “เลี้ยงก็ได้…แต่ขอแค่เจ้าหายขาดก่อน อย่าล้มหมอนนอนเสื่อให้ข้ากังวลอีกเลย” อินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมจะดูแลตัวเองให้ดี…เพื่อจะอยู่ดูแลคุณเปรมได้นาน ๆ เหมือนกันครับ” บรรยากาศในเรือนอวลด้วยกลิ่นของอาหารเย็น ผสานเสียงหัวเราะและถ้อยคำกระเซ้าแหย่กันระหว่างพี่น้อง กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เริ่มรู้สึกว่าในโลกใบนี้ ช่างน่าอยู่จนไม่อยากกลับไปเลยเเหะ ยามค่ำคืนทอดตัวเงียบงันมาเยือน ผืนฟ้าปราศจากเมฆหมอกมีเพียงดวงดาวแต้มประกายพราวพร่างเหนือชายคาเรือน ความเย็นแผ่วบางจากสายลมพัดเลียบผิวไม้ของระเบียงเรียบยาว ท่ามกลางแสงตะเกียงนวลอุ่น อินกับเปรมเอนกายนั่งอยู่ข้างกันอย่างสบายใจ แก้วสุราดินเผาถูกยกขึ้นจิบกันคนละคำ รสขมติดปลายลิ้นแต่งแต้มบทสนทนาให้กรุ่นกลิ่นความจริงใจ “ขอบคุณนะครับ…ที่ให้ผมอยู่ที่นี่แบบไม่ว่าอะไรเลย” อินพูดเสียงเบา หันมองเปรมที่นั่งข้าง ๆ อย่างลังเล เปรมวางแก้วลง พลางพิงตัวกับเสาเรือน “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรหรอกอิน ข้าก็แค่…อยากให้เจ้าในสิ่งที่ข้ามี” “แต่ผมไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไรขนาดนั้น” อินหัวเราะแห้ง ๆ “ผมแค่คนที่ถูกขาย ถูกยกให้ไปรับใช้กับเจ้านาย อยู่แบบทาสจนชินแล้วครับ” เปรมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือแตะหลังมืออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “งั้นเจ้าก็ทำตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสมเถิด ถ้าอยากทำงานเหมือนแต่ก่อน ข้าก็ไม่ห้าม…” น้ำเสียงของเปรมอ่อนโยนและมั่นคง “แต่แค่เวลานอนกับเวลากิน เจ้ามาอยู่ข้างข้าได้หรือไม่? ไม่ต้องแยกไปไหน ข้าจะได้มั่นใจว่าเจ้าอยู่ดีมีสุข” อินมองอีกคนตาโตเล็กน้อย ราวกับไม่เคยมีใครพูดอะไรแบบนั้นกับเขา…ไม่เคยมีใครขอให้เขา “อยู่ข้างกัน” อย่างแท้จริง “คุณเปรม…” “เจ้าจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะข้าตั้งกฎแล้ว” เปรมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยื่นแก้วให้เขา “ฉลองสิ คืนนี้ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่มีพันธนาการใดที่นี่ มีแต่ข้า…ที่อยากให้เจ้ามีอิสระ” อินรับแก้วมา ดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะเผลอไอเบา ๆ ทำเอาเปรมหัวเราะขำ แล้วค่อย ๆ เอื้อมมือลูบหลังให้เบา ๆ อย่างใกล้ชิด “ใจร้อนเกินไปแล้ว เจ้านี่…” อินเงยหน้ามองอีกคน ลมหายใจประสานกันในระยะใกล้ที่ไร้สิ่งกีดขวาง ดวงตาของทั้งคู่สะท้อนแสงไฟจากตะเกียง แต่กลับดูอ่อนโยนกว่าแสงใดในค่ำคืนนี้ “…งั้นผมจะอยู่ข้างคุณ…ในทุกเวลาที่คุณต้องการ” อินกระซิบ เปรมไม่พูดอะไรอีกต่อไป แต่โน้มหน้าเข้าใกล้จนปลายจมูกเฉียดแก้มของอิน กลิ่นสุราอ่อน ๆ และกลิ่นกายอุ่น ๆ ทำให้อีกฝ่ายตัวแข็งชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา “เจ้าเมานิดหน่อยแล้วนะ” เปรมกระซิบข้างหู พร้อมรอยยิ้มขี้เล่น “เปล่า…ผมเมาคุณมากกว่า” อินตอบกลับก่อนจะยิ้มบาง คำพูดนั้นทำให้เปรมนิ่งไปครู่ ก่อนจะตัดสินใจแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของอินอย่างนุ่มนวล ละเมียดละไม ราวกับต้องการสื่อให้รู้ว่าทุกสัมผัสคือการยอมรับ ไม่ใช่คำสั่ง อินตอบรับจูบนั้นอย่างประหม่าก่อนจะคลายตัวลงในอ้อมแขนของเปรม ลมหายใจร้อนแลกเปลี่ยนกันช้า ๆ มือทั้งสองเกี่ยวกันไว้แน่น จากจูบแรก…กลายเป็นจูบที่สอง… และเมื่อร่างแนบชิดมากขึ้น เปรมก็โอบร่างของอินขึ้นช้า ๆ พาเดินเข้าไปในห้องด้านใน โดยที่สายตาเขาไม่ละจากคนในอ้อมแขนเลยแม้แต่น้อย “คืนนี้…อย่าไปไหนเลยนะอิน อยู่กับข้า…ทั้งคืน” เสียงประโยคนั้นกระซิบอยู่ข้างหู ก่อนที่ประตูไม้จะค่อย ๆ ปิดลง ปล่อยให้ไฟในห้องนั้นเรืองนวล…หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
ประตูห้องบานไม้ปิดลงเบา ๆ พร้อมเสียงกลอนที่ถูกหมุน เสียงฝีเท้าของอินหยุดชะงักอยู่หน้าประตู ก่อนจะหันกลับมา“จะให้ผมหาน้ำให้ดื—”เขาพูดได้แค่นั้นก่อนที่ร่างกำยำจะถูกคว้าหมับเข้ามาในอ้อมกอดแน่นหนา กลิ่นน้ำอบอ่อนๆจากเสื้อลินินของคุณเปรมยังไม่ทันจาง ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประกบลงมาทาบปิดคำพูดของเขาแรงแต่ไม่รุนแรง เร่าร้อนแต่มั่นคง และเต็มไปด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นจนล้นขอบใจอินนิ่งไปชั่วครู่ สมองขาวโพลน ก่อนที่มือจะเลื่อนขึ้นจับแผ่นอกแข็งแรง แล้วหลับตาตอบรับจูบนั้นอย่างเงียบงันแฮ่ก เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะ ต้นขาเรียวถูกสอดเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างขาของคนตัวใหญ่กว่า ร่างทั้งสองบดเบียดเข้าหากันจนหลังพิงผนังไม้ ลิ้นร้อนดูดดึงรสหวานขมปลายจากปากของอีกฝ่าย มือหนากอดรัดเอวคอดไว้หลวมๆ ขนาดที่พยายามจูบตอบ" อดทนมาทั้งวันแล้ว แฮ่ก.. " เสียงพูดสุดเร้าใจดังขึ้นอยู่ข้างหูของอิน " ถอดผ้าออกสิอิน " ปากอิ่มพึมพำพ้นลมร้อนใส่ ก่อนจะใช้มือขยำก้นของอินอย่างปลุกเร้าเป้าที่นูนขึ้นโผล่พ้นผ้าโจงออกมาอย่างเห็นได้ชัดกำลังถูกันไปมาทุกครั้งที่ร่างเบียดเข้าไปใกล้ชิดจนแทบไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่าน " เร็วเข้า.. " มือเรี
พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเรือนพัก เสียงกรอบแกรบของไม้เก่าที่ขยับตามลมเบาๆ แทบจะกลบเสียงหัวใจที่เต้นดังตุบๆ ของคนสองคนไม่ได้เลยอินขยับฟูกเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด… แล้วก็อีกนิด จนได้กลิ่นน้ำอบอ่อนๆ จากเสื้อผ้าคุณเปรมที่พาดไว้มุมฟูก"วันนี้ข้าตรวจบัญชีจนตาแทบบอด" เปรมบ่นเสียงเบา ขณะเอนตัวลงข้างอิน แขนข้างหนึ่งยันศีรษะ ส่วนอีกข้างปล่อยวางสบายๆ"ผมก็ขายของจนปากแห้ง คิดว่าจะไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ… แต่แม่บุหลันมาช่วยไว้ทันครับ""นางมักใจดีเช่นนั้น…""แล้วคุณเปรมล่ะครับ วันนี้นอกจากจ้องตัวเลข ยังคิดถึงผมบ้างไหม?" อินแกล้งถามเสียงเบา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับใต้แสงตะเกียงเปรมเลิกคิ้วมอง ก่อนเอื้อมมือมาดีดหน้าผากอีกคนเบาๆ "ข้าคิดถึงเจ้าทุกคราวที่หยุดหายใจ… แบบนี้พอหรือยัง?"อินหัวเราะคิก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ "จะหวานไปไหนครับท่าน!"เปรมหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะขยับมือไปแตะแก้มอินแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือลูบวนเบาๆ ราวกับสำรวจทุกอณู"คราวหน้า อย่าเอาเงินทั้งหมดมาให้ข้าอีก เข้าใจหรือไม่""แต่ผมอยากให้คุณ…""เจ้าจะไถ่ตัวเองไม่ใช่หรือ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกจองจำตลอดชีวิตดอกหนา""แล้วถ้า… ผมยินดีจะเป็นทาสคุณตลอดช
แสงแดดอ่อนยามเช้าโรยตัวลงบนระเบียงเรือน เสียงไก่ขันเบา ๆ เคล้าเสียงนกกระจิบที่บินวนอยู่ตามชายคา เรือนเปรมในยามเช้าช่างสงบงามราวภาพวาด แต่บรรยากาศบนเรือนกลับไม่เงียบเหงาเหมือนวันก่อน ๆ เพราะชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งจิบชาร้อน พลางสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย"เจ้าจะกลับไปอยู่เรือนท้ายอย่างเดิมจริง ๆ หรือ อิน?" คุณเปรมวางถ้วยชาลงบนถาดไม้ไผ่ เคลื่อนตัวนั่งหลังตรง สีหน้าไม่เห็นด้วยนิด ๆ "ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดเจ้าจึงต้องทำเยี่ยงนั้น ทั้งที่บัดนี้เจ้าอยู่ตรงนี้ก็สุขสบายดี"อินนั่งก้มหน้า มือเกาะแก้วชาราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของชีวิต“ก็เพราะว่าข้ามันเป็นทาสน่ะสิครับ” เสียงเขาเบาจนแทบเป็นกระซิบ “มันก็ไม่ยุติธรรมนักที่ผมได้อยู่เรือนหน้า กินดีอยู่ดี ขณะที่คนอื่นลำบากกันอยู่นั่น”คุณเปรมถอนใจยาว พยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้ดูหงุดหงิด เขาไม่อยากบังคับอิน แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนตรงหน้าเลือกทางที่ทำร้ายตัวเองโดยไม่จำเป็น" เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้ารักเจ้าน่ะอิน " เปรมกุมขมับปลายตามองคนตรงหน้า" รู้ครับ..ผมเองก็รักคุณเปรม " เขาลอบกลืนน้ำลายลงคอ นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่ใช้ชีวิตเกินฐานะ แต่ถ้า