บรรยากาศร้อนระอุของบ่ายแก่ๆ เสียงเครื่องปรับอากาศภายในบ้านจัดสรรสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่ ทำงานราวกับจะกลบเสียงแมลงน่าร้อนที่ส่งเสียงระงมอยู่ด้านนอก ชายหนุ่มในชุดสุภาพยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก การสนทนาที่อยู่ตรงหน้าเขามันชวนให้น่าดึงดูดมากกว่าอากาศร้อนด้านนอก
ดวงตาของธีรัช ส่องประกายด้วยความมั่นใจ ขณะยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนวัยกลางคนสามถึงสี่ท่าน ที่ดูเหมือนจะตั้งใจมองหาบ้านหลังใหม่ เขาไม่สนใจความร้อนระอุที่มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะปิดดีลนี้ให้สำเร็จ
ธีรัชในชุดสุภาพ เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กสีดำ สวมให้ลุควันนี้ดูเรียบหรูน่าเชื่อถือ พร้อมกับผมสีดำขลับ ที่เซ็ดไว้อย่างดี ดูเหมือนว่าเขาคือมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูงในการขาย และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เขาจะใช้มันจริงๆ เพราะเขารู้ดีว่าลูกค้าทั้งสามคนนี้ คงไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธการซื้อบ้านง่ายๆ
"บ้านหลังนี้ สถานที่ดีมากนะครับ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ถ้าคิดถึงอนาคต อยากได้บ้านที่ทั้งสะดวกสบายและเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หลังนี้ถือว่าตอบโจทย์ที่สุด"
ธีรัชพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ ปล่อยให้ลูกค้าฟังไปขณะใช้สายตาสอดส่องไปตามแต่ละมุมของบ้าน
ลูกค้าหญิงคนหนึ่งซึ่งดูจะมีอายุมากที่สุดจากทั้งสามคน พยักหน้าและเอ่ยขึ้น
"ก็เป็นบ้านที่ดีนะ แต่ราคามันค่อนข้างสูงไปหน่อยน่ะพ่อหนุ่ม" เธอกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ธีรัชยิ้มบางๆ "เข้าใจครับ แต่ถ้าดูจากทำเลและการออกแบบแล้ว ราคานี้ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่า
"ไม่ใช่แค่บ้านธรรมดาๆ นะครับ แต่มันคือการลงทุนที่คุณจะได้ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายและมูลค่าในอนาคต"
เขาตอบอย่างฉะฉานและมั่นใจในสิ่งที่พูด
ทันทีที่เขาพูดจบ ลูกค้าสองคนที่เหลือก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เห็นได้ชัดว่าธีรัชทำการบ้านมาอย่างดี และรู้จักวิธีอ่านใจลูกค้าของตัวเอง
หลังจากนั้น ธีรัชก็เดินมาหยิบเอกสารราคาบ้าน พร้อมส่งยิ้มให้ลูกค้าทั้งสาม
"ถ้าสนใจ ผมสามารถเสนอดีลที่ดีกว่านี้ได้ครับ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณทั้งสามคน"
คำพูดของเขาทำให้ลูกค้าทั้งสามหยุดนิ่ง และเริ่มสนใจมากขึ้น พวกเธอกลับมานั่งที่โต๊ะในบ้าน ขณะที่ธีรัชก็ใช้โอกาสนี้ในการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
สายจากกิ๊ฟ เพื่อนร่วมงานที่เป็นสายเซลล์เหมือนกันกำลังโทรเข้ามา ธีรัชรับสายทันที
"เฮ้ ว่าไงกิ๊ฟ " เขาทักทายด้วยน้ำเสียงเบาๆ
"ธีรัช นี่กิ๊ฟเอง มีบ้านใหม่มาขายต่อให้อีกหลังนะ ขายง่ายมาก ฉันแค่ฝากให้เเกไปจัดการหน่อย ราคาดี มีส่วนลดให้อีก ถ้าขายได้ฉันจะตอบแทนให้"
"โอเคป่ะ"
ธีรัชก้มมองเอกสารในมือพลางยิ้ม
"โอเคคกิ๊ฟ รับปากไว้แล้ว เดี๋ยวไปจัดการให้เร็วที่สุดครับ"
ก่อนที่เขาจะพูดต่อ โทรศัพท์ของเขาก็ถูกเปลี่ยนสายมาเป็นของเจน ลูกค้าผู้หญิงที่เขาค่อนข้างรู้สึกว่าเธอหมายปองเขามากกว่าแค่การซื้อบ้าน
"ธีรัชคะ... คุณจะว่างไปดื่มกับเจนไหมคะ?" เสียงของเจนดังออกมาจากปลายสายอย่างเป็นกันเองจนฟังแล้วยากจะปฏิเสธ
ธีรัชมองสายตาลูกค้าทั้งสามที่ยืนฟังเขาพูด และตัดสินใจตอบกลับ
"ขอบคุณครับคุณเจน... แต่ตอนนี้อาจต้องขอโทษไว้ก่อนนะครับ ผมคงไม่ว่างจริงๆ วันนี้คุยธุรกิจเยอะแล้ว"
เขาพูดเสียงเรียบ แต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ก่อนจะวางสายและหันกลับไปสู่การต่อรองราคากับลูกค้า ธีรัชมองเห็นสายตาของพวกเธอแล้วรู้ว่าเขามาถูกทางแล้ว...
.
.
.
.
.
หลังจากดีลราคาบ้านกับสามสาววัยกลางคนเสร็จ เขาก็เดินทางมาหาลูกค้าดีลบ้านคนต่อไปที่กิ๊ฟเป็นคนฝากไว้ กว่าจะเดินทางมาถึงภัตตาคารที่นัดลูกค้าไว้เวลาก็ปาไปเกือบทุ่ม ระยะทางที่ไกลและบรรยากาศรถติดของกรุงเทพมหานครมันช่างน่าหงุดหงิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก
พอหาที่จอดรถได้ ขายาวก็รีบก้าวฉับๆเข้าไปในร้านอาหารแห่งนี้ทันที แต่ใครจะไปรู้ละ ว่าบ้านที่กิ๊ฟฝากขาย คนซื้อจะเป็นคุณเจนน่ะ
ธีรัชยิ้มมุมปากขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะกับลูกค้าผู้หญิงหน้าตาคุ้นเคย ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่เขาตั้งใจปิดการขายในคืนนี้ เธอสวยและมั่นใจ ทำให้ธีรัชรู้สึกได้ถึงความท้าทายในการปิดดีลนี้ แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไป เพราะเขารู้วิธีอ่านคน รู้ว่าเธอชอบอะไรและต้องการอะไร
"คุณธีรัชคะ" ลูกค้าผู้หญิงเอ่ยขึ้นในน้ำเสียงหวาน
"วันนี้คุยธุระจนรู้สึกสนุกจังเลยค่ะ แล้วตอนนี้... เจนอยากจะชวนคุณไปดื่มต่อได้มั้ยคะ? พอดีมีร้านใหม่ที่เปิดไม่นานมานี้ "
ธีรัชยิ้มกว้าง รู้ว่าคำชวนนี้มันมีความหมายมากกว่าการดื่มแค่แก้วเดียว เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีเสน่ห์
"ขอบคุณครับ คุณเจน... แต่ผมว่าขอแค่พอแค่นี้จะดีกว่า วันนี้งานค่อนข้างเยอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปจัดการเรื่องหลายอย่าง"
เขาทิ้งคำตอบแบบสุภาพไป ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าสะพายขึ้น และลุกออกจากโต๊ะเพื่อเดินไปยังทางออก แผนการในหัวยังคงคิดถึงลูกค้ารายอื่นที่เขาต้องพบเจอในวันพรุ่งนี้ แต่ในใจเขาก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
"แค่ดื่มสักแก้วไม่เสียหายหรอกค่ะ" เสียงของเธอดังขึ้นตามหลังมา แต่ธีรัชเลือกที่จะไม่หันไปมอง รู้ดีว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ควรเกินเลยมากไปเดิมทีตอนนี้เขาเองก็ถูกยัยลูกค้าคนสวยมอมไปหลายแก้วแล้ว
เขาพยักหน้าให้กับลูกค้าสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ แล้วเดินออกมาจากร้าน การปฏิเสธคำชวนที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าเมื่อเขาก้าวออกไปจากร้านแล้ว ความเมาที่เริ่มจะมีมากขึ้นในตัวเขาก็ทำให้การเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โลกหมุนไปมาเหมือนกับเขากำลังอยู่ในโหมดหลับตาเดิน แต่เขาก็ยังฝืนตัวเองขับรถกลับบ้าน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำมากๆ เลยล่ะ
ท่ามกลางความมึนงงจากแอลกอฮอล์ เขายังคงพยายามตั้งใจขับรถไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย และในที่สุดก็เริ่มรู้สึกว่าอาการแย่ลงทุกขณะ แต่เขาก็ยังคงกดคันเร่งไปข้างหน้า
"แค่ถึงบ้านก็พอ..." เขาบ่นกับตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ มืดลงจนเขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวพรัอมกับสติที่จางหายไป
เอี๊ยดดด!! โครม!!
เสียงล้อเสียดสีกับถนนดังลั่น ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเสียหลัก พุ่งไถลออกจากไหล่ทางราวกับถูกฉุดกระชาก แสงไฟหน้าสะท้อนกับราวสะพานเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ตัวรถจะทะยานออกไปในอากาศ แล้วดิ่งลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่างอย่างไร้หนทางหวนกลับ
ตูม!!
เสียงกระแทกกับพื้นน้ำดังสนั่น ความมืดกลืนกินทุกอย่างรอบตัว รถทั้งคันจมหายไปใต้สายน้ำเย็นเยียบ ทิ้งไว้เพียงฟองอากาศที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเงียบๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น...
.
.
.
.
.
แสงแดดอ่อน สาดส่องกระทบเปลือกตา ธีรัชค่อยๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบหมุนไปรอบตัว สายตาที่มองเห็นคือเพดานไม้เก่าๆ ที่ส่องแสงรางๆ ผ่านช่องเล็กๆ ของบ้านที่เก่าและโทรม เขารู้สึกงุนงงอย่างที่สุด เมื่อได้ยินเสียงน้ำไหลในหู และลมหายใจหนักๆ ที่เหมือนจะทำให้ทุกอย่างดูมืดมนไปหมด เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
ที่นี่มันที่ไหนกัน?
ไม่ใช่บ้านของเขาแน่ๆ คำถามนี้ลอยขึ้นในหัวโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ทั้งห้องที่แคบและลานพื้นไม้ที่เก่าหยาบ บรรยากาศรอบๆ ชวนให้รู้สึกว่าเขามาอยู่ในที่ที่แปลกประหลาดเกินไป
เมื่อเขาพยายามจะขยับตัวเพื่อจะลุกออกจากที่นอน ความรู้สึกหนักๆ ก็ส่งมาอีกครั้ง บางอย่างไม่คุ้นเคยในร่างกายตัวเอง ช้าๆ เขาหันไปมองอีกมุมหนึ่ง ก่อนจะพบกับชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง ใส่โจงกระเบนสีเข้มที่ดูเก่าและขาดๆ ซึ่งเหมือนจะผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ร่างกายของเขาคล้ำแดดราวกับคนใช้แรงงาน
ชายคนนั้นมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางงุนงง แต่แล้วเมื่อธีรัชสะดุดตากับความมึนงงในสายตานั้น ก็ไม่สามารถทนถามได้อีก
“ที่นี่ที่ไหนครับ?”
ธีรัชถามออกไปเสียงต่ำ ขณะที่ยังคงพยายามทำใจให้สงบ แต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าสมองยังทำงานช้าๆ ไม่เต็มที่
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่รอช้า พลางหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน แล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้เขา ก่อนจะตบเบาๆ ที่ไหล่ของธีรัชในท่าทีคุ้นเคย
“ฮ่าๆๆ จมน้ำจนเพี้ยนไปแล้วรึ ไอ้อิน?” ชายคนนั้นพูดจาอย่างสนิทสนมเหมือนกับเคยรู้จักกันมานาน ไม่ได้ดูแปลกใจอะไรกับสถานการณ์นี้
ธีรัชขมวดคิ้วขึ้น ท่าทางไม่เข้าใจสักนิด ก่อนที่ชายหนุ่มคนเดิมจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงท่าทางเหมือนรู้จักกันดี
“ที่นี่น่ะ มันเรือนทาสไง มึงจำไม่ได้เหรอ? กูก็คือไอ้สิงค์ เพื่อนมึงไง ?”
ธีรัชยังคงยืนงงอยู่อย่างนั้น สองมือขยับไปมาเหมือนจะหาเหตุผลแต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ สิ่งที่ชายคนนี้พูดมันไม่ตรงกับสิ่งที่เขารู้เลย แม้แต่นิดเดียว เขายังยืนยันในใจว่าตัวเองเป็นธีรัช ไม่ใช่ใครอื่น แต่ทำไมเขาถึงอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดนี้? ทำไมเขาถึงมีชื่อว่า “ไอ้อิน” ?
ท่ามกลางความสับสน ธีรัช เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย มันทั้งหนัก ทั้งอ่อนล้าไปหมด ราวกับเพิ่งผ่านความตายมาอย่างหวุดหวิด แขนขาที่เคยแข็งแรงกลับรู้สึกปวดระบมไปทุกส่วน เขาขมวดคิ้วมองมือตัวเองที่ทั้งกร้านและดำคล้ำจากการทำงานกลางแดดจัด แล้วสายตาก็ค่อยๆ ปรับรับกับแสงรำไรในเรือนแคบๆ ที่ดูเก่าโทรม ราวกับถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน
ก่อนจะทันได้ตั้งคำถาม เสียงห้าวๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นข้างกาย
"เองจะมัวมึนเมาน้ำไปถึงไหนวะไอ้อิน! ลุกได้แล้วโว้ย! มึงต้องไปตักน้ำตักท่า แล้วก็พายเรือให้คุณเปรมท่าน"
ธีรัชสะดุ้ง หันไปมองต้นเสียงก็เห็นชายหนุ่มร่างกำยำ ผิวคล้ำแดด นุ่งโจงกระเบนสีหม่นเปื้อนดิน ผมเผ้ายุ่งเหยิงแต่ดวงตามีแววขี้เล่น เขายืนกอดอกอยู่ข้างๆ ฟากเรือนด้วยท่าทางที่ดูสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานาน
ธีรัชยังไม่ทันจะตั้งตัว เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง
"ผมหรอ?"
"ก็เอ็งน่ะสิวะ! จะให้ข้าไปเรียกไอ้เปรื่อง ไอ้มั่นรึไง?" เจ้าของเสียงกระแทกไหล่มาแรงๆ
"นอนป่วยให้กูต้องกระเตงทำงานแทนตั้งสามวันสามคืน นี่หายดีก็รีบลุกไปทำงานให้มันเสร็จๆ ได้แล้วโว้ย!"
ธีรัชกะพริบตาปริบๆ หัวสมองยังสับสนว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะได้ทบทวนอะไรให้มากกว่านั้น เจ้าหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘ไอ้สิงห์’ ก็กระชากแขนเขาให้ลุกขึ้นมานั่ง พอขยับตัวได้ เขาก็มองไปรอบๆ และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
เขาอยู่ในเรือนทาส… และนี่ไม่ใช่โลกที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว
รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดพัก หญิงชายในชุดพื้นเมืองเก่าๆ กำลังจัดแจงงานของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว บางคนขนฟืน บางค
นหาบน้ำ บ้างก็กำลังตำข้าวอยู่ใต้ถุนเรือน เสียงสนทนาวิ่งสวนกันไปมาพร้อมเสียงสากตำข้าวกระทบครกเป็นจังหวะ ทุกคนล้วนดูยุ่งวุ่นวายราวกับมดงาน และไม่มีใครสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
ธีรัชกลืนน้ำลายลงคอ แม้อากาศจะอ้าวจัด แต่เขากลับรู้สึกหนาวเยือก
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย…?!
ธีรัชในร่างอิน ยืนตัวแข็งอยู่กลางตลาดน้ำที่จอแจด้วยผู้คน เขากลืนน้ำลายลงคอพลางหันซ้ายหันขวาอย่างกระวนกระวาย เชี่ยแล้ว ตอนนี้..เขาหลงกับคุณเปรมและแม่หญิงปิ่นแก้วแล้วจริงๆรอบตัวเขาคือภาพของตลาดน้ำสมัยโบราณที่ดูสมจริงยิ่งกว่าฉากในละครพีเรียดที่เขาเคยดู มันมีชีวิต มีเสียง มีสีสัน และมีกลิ่นที่อบอวลไปหมด กลิ่นหอมของขนมไทยอย่างทองหยิบ ฝอยทอง ลอยปะปนมากับกลิ่นปลาย่างและข้าวใหม่หุงร้อนๆ ใกล้ๆ กันคือร้านขายสมุนไพรไทยที่วางขมิ้น ตะไคร้ และเครื่องเทศแห้งส่งกลิ่นหอมฉุน แม้จะคึกคัก แต่ทุกอย่างล้วนเป็นของที่เขาไม่คุ้นเคยในฐานะ คนยุคเจนซีที่เติบโตมากับห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้ออินยกมือขึ้นปาดเหงื่อ พยายามรวบรวมสติ เอาไงดีวะ เรามาเดินกับคุณเปรมแถวร้านขายเครื่องประดับนี่หว่า แต่พอหันไปมองรอบตัวแล้วกลับพบว่าร้านที่เขาเดินผ่านเมื่อครู่ดูคล้ายกันไปหมด ร้านค้าทำจากไม้ไผ่และใบจากถูกตั้งเรียงรายอยู่บนโป๊ะริมน้ำ บ้างตั้งขายบนเรือพายที่จอดอยู่ริมท่า ในแม่น้ำมีพ่อค้าแม่ค้าแจวเรือไปมา เสียงเจรจาการค้าดังแข่งกันจนแทบจับใจความไม่ได้“ไอ้หนุ่ม! จะมายืนเกะกะตรงนี้ทำไม ถ้าไม่ซื้อก็ไปยืนที่อื่น!” เสียงพ่อค้าคน
เสียงเครื่องมือกระทบกันเป็นจังหวะ ละอองฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ท่ามกลางไอแดดยามสาย แรงงานทาสหลายสิบชีวิต ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างขยันขันแข็งบางคนขุดดิน บางคนแบกฟืน บ้างกวาดลานดินกว้างของเรือนหลังใหญ่ ทุกคนต่างมีสีหน้าซีดเซียว เหงื่อไหลท่วมกาย และแววตาเหนื่อยล้าธีรัชหยุดกึก สายตากวาดมองรอบตัวอย่างไม่อยากเชื่อนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี้ย?หัวใจของเขาเต้นระส่ำ ภาพตรงหน้าดูแปลกประหลาดและไม่คุ้นเคย นี่มันยุคไหนกันแน่? เท่าที่จำได้... เขากำลังขับรถกลับบ้านหลังจากออกไปดีลงานกับคุณเจน ไม่ใช่เหรอ? แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกที กลับพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางแรงงานทาสและเรือนไม้เก่าแก่ที่ดูคร่ำครึ แต่สะอาดเหมือนโดนขัดให้เงาอยู่ตลอดเวลาหรือว่านี่เป็นผลจากการดื่มหนักจนเกินไป?ความคิดยังไม่ทันตกผลึก ภาพบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว แสงไฟหน้ารถพุ่งลงสู่แม่น้ำ ความรู้สึกเย็นเฉียบของสายน้ำที่โอบล้อมร่างก่อนทุกอย่างจะดับวูบถ้าอย่างนั้น...เขาตายแล้วอย่างนั้นเหรอ!?ร่างกายชาวาบไปหมด ความเป็นจริงโถมเข้าใส่จนแทบตั้งตัวไม่ติด ก่อนที่ธีรัชจะได้ขบคิดถึงเรื่องนี้ต่อ เสียงทุ้มเข้มของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง"ไออิน! มึ
บรรยากาศร้อนระอุของบ่ายแก่ๆ เสียงเครื่องปรับอากาศภายในบ้านจัดสรรสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่ ทำงานราวกับจะกลบเสียงแมลงน่าร้อนที่ส่งเสียงระงมอยู่ด้านนอก ชายหนุ่มในชุดสุภาพยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก การสนทนาที่อยู่ตรงหน้าเขามันชวนให้น่าดึงดูดมากกว่าอากาศร้อนด้านนอก ดวงตาของธีรัช ส่องประกายด้วยความมั่นใจ ขณะยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนวัยกลางคนสามถึงสี่ท่าน ที่ดูเหมือนจะตั้งใจมองหาบ้านหลังใหม่ เขาไม่สนใจความร้อนระอุที่มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะปิดดีลนี้ให้สำเร็จธีรัชในชุดสุภาพ เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กสีดำ สวมให้ลุควันนี้ดูเรียบหรูน่าเชื่อถือ พร้อมกับผมสีดำขลับ ที่เซ็ดไว้อย่างดี ดูเหมือนว่าเขาคือมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูงในการขาย และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เขาจะใช้มันจริงๆ เพราะเขารู้ดีว่าลูกค้าทั้งสามคนนี้ คงไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธการซื้อบ้านง่ายๆ"บ้านหลังนี้ สถานที่ดีมากนะครับ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ถ้าคิดถึงอนาคต อยากได้บ้านที่ทั้งสะดวกสบายและเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หลังนี้ถือว่าตอบโจทย์ที่สุด" ธีรัชพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ ปล่อยให้ลูกค้าฟังไปขณะใช้สายตาสอดส่องไปตามแต่ละมุมของบ้านลูกค้าหญิงคนหนึ่ง