วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆ
ออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ
"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?"
"ไม่, คาลิเบล ข้ายุ่ง" ข้าตอบสั้น ๆ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ทุกครั้งที่ข้าปฏิเสธคำเชิญของเขาข้ารู้สึกผิดเล็กน้อยตลอดที่เห็นแววตาผิดหวังของเขา แต่ข้าไม่อาจปล่อยตัวได้ หากเสด็จพ่อเห็นเราเล่นกันอยู่ อาจตีความผิดไปได้ และข้าไม่ต้องการดึงดูดความสนใจจากเขา รวมไปถึงเรื่องในความฝันนั้น....ข้ายังไม่อาจยืนยันได้ว่าตัวข้านั้นปลอดภัยสำหรับเข้าจริงไหม
แต่คาลิเบลผู้ไม่เคยยอมแพ้ ไม่ว่าตลอดสี่ปีที่ผ่านมาข้าจะปฏิเสธเขาไปมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยลดความพยายามที่จะเข้าหาข้าเลยแม้สักครั้ง ซ้ำนับวันยังยิ่งหนักข้อแถมอาจหาญขึ้นด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาตามข้าไปจนกระทั่งถึงห้องอาบน้ำส่วนตัวของข้าด้วยซ้ำ เจ้าเด็กไม่รู้จักยางอาย!
เขาก้าวตามข้ามาติด ๆ "น่านะ ได้โปรดแค่แป๊บเดียวก็ได้! ท่านพี่ยุ่งตลอดไม่เห็นเคยว่างเลย วันนี้จะว่างซักห้านาทีจะเป็นอะไรไป" น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวัง พร้อมทำสายตาปริบๆ
ข้าแลมองซ้าย ขวา ก็ไม่เห็นมีใครอยู่จับตามองมากนัก วันนี้จึงอนุโลมให้เข้าหน่อยแล้วกัน "ก็ได้ๆ ข้ายอมเจ้าแล้ว"
"เย้ในที่สุดท่านพี่ก็ตอบรับคำขอข้า" ขณะที่เราเดินเข้าใกล้น้ำพุ เสียงพูดคุยและนินทาต่างๆจากในพระราชวังก็ค่อย ๆ เลือนหายไป ทิ้งให้มีเพียงเสียงฝีเท้าของเราทั้งสอง ข้าเหม่อมองน้ำพุในสวนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของนางเงือกสวยงาม—แต่ความสงบนี้กลับอยู่ได้เพียงครู่เดียว
ปัก! ทันใดนั้น จู่ๆก็มีเสียงกระแทกดังสนั่นทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบ รูปปั้นหินขนาดใหญ่รูปนางเงือกจู่ๆก็เกิดรอยร้าว มันเอียงกระเท่เร่ เสียงหินเสียดสีกันดังกึกก้องพร้อมที่หินก้อนยักษ์นั่นจะหล่นลงมา ทำให้หัวใจข้าเต้นระรัว ข้าหันขวับไปตามสัญชาตญาณ
คาลิเบลยืนอยู่ใกล้ ๆ จุดที่รูปปั้นกำลังจะล้ม ใบหน้าของเขาเงยขึ้นมองอย่างสงสัย ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เขาไม่รู้เลยว่าภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามา
"คาลิเบล! ถอยไป!" ข้ากรีดร้อง เสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเร่งรีบ แต่เขาไม่ขยับ—ราวกับว่าโลกหยุดหมุนลงในขณะนั้น ข้ารู้ว่าข้าไม่มีเวลาจะรออีกต่อไป
เพียงเสี้ยววินาที ข้าออกตัววิ่งไปหาเขา อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง "เจ้าเด็กบื้อ!" ข้าตะโกนขณะที่พุ่งตัวเข้าใส่เขา ทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องน้องชายจากภัยที่กำลังจะมาถึง
เสียงดังสนั่นกึกก้องเมื่อรูปปั้นกระแทกพื้น ข้าโอบตัวคาลิเบลไว้แน่น ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาอย่างรุนแรง หัวของข้ากระแทกกับอะไรบางอย่าง ความรู้สึกอบอุ่นของเลือดไหลซึมลงมาตามใบหน้า ทำให้ข้าเวียนศีรษะอย่างหนัก
"เจ้าชายเพคะ!" เหล่าคนใช้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างรีบกรูกันมาให้ความช่วยเหลือ
เมื่อข้าฝืนลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือคาลิเบลกำลังจ้องข้าอยู่ ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจและความหวาดกลัว "ท่านพี่!" เขาร้องเสียงสั่น ข้าพยายามฝืนยิ้มออกมา แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
"ไม่เป็นไร..." ข้ากระซิบ แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นรอบตัวข้า พร้อมกับเสียงคนตะโกนอย่างร้อนรน
ใบหน้าของทหารคนหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือข้า แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและความเป็นห่วง "ไปตามหมอมาเร็ว! เจ้าหญิงทรงบาดเจ็บ! เร็วเข้า!" เขาตะโกน ข้ารู้สึกได้ถึงโลกที่เริ่มมืดลง สติของข้าเริ่มหลุดลอย
"คาลิเบล! ลูกแม่!" ข้าท่ามกลางเสียงเหล่านั้นข้าได้ยินแม้กระทั่งเสียงของพระมเหสีด้วย นางวิ่งมาด้วยสีหน้าตกใจและเป็นห่วง
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! ออเรเลีย!" แม้แต่พระจักรพรรดิก็ทรงมาด้วย
ท่าน...เรียกข้า? เสียงรอบตัวค่อย ๆ เลือนหาย เลือดยังคงไหลอาบใบหน้า เสียงร้องไห้ของคาลิเบลยังดังอยู่ไกล ๆ ข้ารู้ว่าเขากำลังหวาดกลัว และหัวใจข้าก็ปวดร้าว ข้าต้องการปกป้องเขา แต่ดูเหมือนว่าการช่วยชีวิตเขาในครั้งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ผลักข้าให้จมดิ่งลงไปในความมืดของตัวเองแทน
ข้าสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบลง ถูกกลืนกินไปด้วยความมืดมิดที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่มีทางเลี่ยง
ความมืดปกคลุมข้า ราวกับม่านหมอกที่หนักอึ้ง ข้าลืมตาตื่นขึ้นในห้องของตนเองด้วยความมึนงงและสับสนข้าหลับไปนานเท่าไหร่ไม่อาจประมาณได้ อาการปวดตุบๆ เล่นงานศีรษะของข้า จนต้องยกมือขึ้นแตะผ้าพันแผลที่ถูกพันไว้ลวกๆ แล้วนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแปลบ
ภาพของคาลิเบลยังคงติดตา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ดวงตาใสซื่อสั่นระริก ขณะที่มองข้าราวกับว่าข้าจะหายไปตลอดกาล
ข้าควรจะภาคภูมิใจไหมที่ได้ช่วยชีวิตของน้องชายตนเองได้? เสียงซุบซิบที่แผ่กระจายไปทั่ววัง คำครหาที่ราวกับอสรพิษ เลื้อยกระซิบกระซาบผ่านกำแพง และประตูห้องที่เปิดแง้มไว้อยู่
“ก็ว่าอยู่... พระธิดาเป็นลางร้ายโดยแท้ ไปที่ใด ที่นั่นต้องเกิดเรื่องเสมอ”
“เห็นหรือไม่เล่า? ถึงว่าฝ่าบาทถึงต้องซ่อนนางเอาไว้ ไม่ยอมให้ผู้ใดพบพาน”
บางครั้งก็เหลืออดกับความปากดีของเหล่าข้ารับใช้พวกนี้เสียจริง! ข้าอยากจะกรีดร้องออกมา! อยากจะตะโกนปฏิเสธคำกล่าวหาที่แสนไร้สาระเหล่านั้น! อยากจะฉีกกระชากปากของพวกมันให้แตกเป็นเสี่ยงๆ! ดึงลิ้นมันออกมาให้พวกอีกากิน! ข้าช่วยคาลิเบลไว้! แต่แทนที่จะได้รับคำขอบคุณ ข้ากลับถูกตราหน้าเป็นตัวนำโชคร้ายเนี่ยนะ!
แต่ทันทีที่ข้านึกถึงฝันร้ายนั้น อารมณ์โกรธของข้าก็กลับมาสงบทันที ข้าไม่อาจให้อารมณ์มาชักนำจิตใจข้าได้ ข้าจะทำพลาดซ้ำแบบเดิมไม่ได้ ข้าทำได้เพียงนอนนิ่ง ปล่อยให้ความมืดกลืนกินข้าไป พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะที่ยังคงดังอยู่ในหู
ข้านอนพักอยู่ในห้องมานานสามวันแล้ว ในแต่ละวันจะมีสาวใช้พี่เลี้ยงมาให้อาหารและอาบน้ำเช็ดตัวเปลี่ยนชุดข้าวันละสองครั้ง และมีแพทย์หลวงมาตรวจอาการวันละครั้ง แน่นอนเสด็จพ่อ จักรพรรดิผู้สูงส่ง ก็ยังคงเงียบงัน พระองค์ไม่ได้มาเยี่ยมข้า แม้แต่คาลิเบล ก็ไม่ได้มาหาข้า ให้เดาว่าเขาคงถูกเสด็จพ่อกักบริเวณที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งแล้วมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายข้าบ่อยครั้ง อีกทั้งข่าวลือของข้าเขาก็ปล่อยให้มันกัดกร่อนชื่อข้าต่อไปโดยไม่มีคำแก้ต่าง
ข้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความโดดเดี่ยวที่คุ้นเคยมาเนิ่นนานตลบอบอวลไปทั่วห้อง "ข้าคือ ตัวนำโชคร้าย จริงๆ หรือ?"
ข้าตบหน้าตัวเองเบาๆ สลัดความคิดไร้สาระนั่นทิ้งท้ายที่สุด ข้าก็หลับตาลง ปล่อยให้ความมืดกลืนกินสติสัมปชัญญะ ข้ารู้ดีว่าต่อให้ข้าจะดูแคลนตัวเองอะไรไปก็ไม่ช่วยอะไรซ้ำยังทำให้แย่ลงกว่าเดิม สู้ไม่ต้องคิดถึงพวกมันเสียดีกว่าปล่อยให้เป็นดั่งเสียงนกเสียงกาเหมือนเช่นเคย เพราะจะความโดดเดี่ยว หรือความมืดข้าก็ชินชากับมันไปเรียบร้อยแล้ว...
วันหนึ่งในขณะที่ข้ากำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ในห้อง ความเงียบสงัดภายในห้องของข้าถูกทำลายลงด้วยเสียงเคาะประตูหนักแน่นจากผู้สื่อสาร ร่างของเขาปรากฏขึ้นราวกับคมดาบที่กรีดผ่านความสงบ “องค์หญิง” เขาเอ่ยขึ้น พลางโค้งคำนับเล็กน้อย น้ำเสียงก้องสะท้อนในห้องอันว่างเปล่า ทำให้ข้าหลุดออกจากภวังค์ความคิด
“ฝ่าบาทมีพระราชโองการให้พระองค์เสด็จไปพักฟื้นที่ ‘ชิทูเรีย’ ”
ชิทูเรีย…
ชื่อที่คุ้นหูนั้นลอยค้างอยู่ในอากาศ ชวนให้ข้ารู้สึกฉงนใจ มันเป็นสถานที่ห่างไกลจากพระราชวัง ตั้งอยู่ริมเทือกเขาขนาดใหญ่ติดชายแดนของเมืองหลวงจนเกือบจะถึงแดนเหนือ ความรู้จากตำราที่ข้าพร่ำเรียนมามีเพียงเท่านี้ข้าไม่เคยไป ณ ที่นั้นสักครั้ง ไม่ว่าเสด็จพ่อจะทรงมีเหตุผลอันใด ข้าก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมจึงตัดสินพระทัยส่งข้าไปที่นั่นอย่างกะทันหัน
ความปลงตกหลั่งไหลเข้ามาในใจ ข้าไม่รู้ว่าตนควรรู้สึกอย่างไร—โกรธแค้น? เศร้า? โล่งใจ? ข้าเพียงจ้องมองผู้สื่อสารนิ่งๆ ปิดบังความปั่นป่วนภายในจิตใจ เขาคงจะสัมผัสได้ถึงความเงียบงันที่ปกคลุมห้อง จึงเบือนหน้าหนีอย่างกระอักกระอ่วน
ข้าไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแค่หันไปเก็บสัมภาระอย่างเงียบงัน มือของข้าขยับไปอย่างเป็นกลไก หยิบข้าวของทีละชิ้นใส่ลงในกระเป๋าใบไม่เล็กไม่ใหญ่มากซึ่งมันควรจะเป็นหน้าที่ของสาวรับใช้ แต่ช่างเถอะดูจากสายตาพวกนางบางคนอยากจะถีบหัวส่งข้อเสียด้วยซ้ำ ข้าไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้มีผลประโยชน์อะไร แต่มันก็ช่วยสร้างระยะห่างระหว่างข้ากับวังหลวงอันวุ่นวายนี้ได้พอดิบพอดี
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว รถม้าก็เคลื่อนมาจอดหน้าวังของข้า โครงสร้างของมันหรูหราแต่ดูแปลกแยกจากฉากหลังของวังที่งดงามมลังเมลือง เสียงม้าร้องเบาๆ ลมหายใจของพวกมันเป็นไอขาวเจืออากาศเย็น ข้ายืนอยู่ที่บันไดทางขึ้นรถม้า คาดหวังว่าความอาลัยอาวรณ์จะพุ่งเข้ามาเล่นงาน แต่แทนที่จะรู้สึกเช่นนั้น กลับเป็นความรู้สึกปลดปล่อยที่หลั่งไหลเข้ามาแทน
"บางที… นี่อาจเป็นโชคดีของข้า"
การเดินทางไปยังชิทูเรียใช้เวลาสามวันเต็ม นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ออกจากวังหลวงอย่างเป็นทางการ ข้านั่งนิ่งอยู่ในรถม้า มองทิวทัศน์ภายนอกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ภาพของวังที่เคยโอบล้อมข้าค่อยๆ เลือนหายไปทุกครั้งที่ล้อหมุนไปข้างหน้า แต่ละระยะทางที่ผ่านไป พาข้าห่างจากเสียงซุบซิบนินทาและสายตาเย้ยหยัน จนกระทั่งความตึงเครียดในร่างกายเริ่มคลายลงทีละน้อย
เส้นทางที่คดเคี้ยวนำพาข้าเข้าสู่โลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆ ลมภูเขาแรงขึ้นและเต็มไปด้วยพลัง ข้าสูดหายใจลึก สัมผัสถึงความเย็นสดชื่นที่ไหลผ่านปอด
"ที่นี่ช่างแตกต่างจากวังยิ่งนัก…."
จะไม่มีเสียงกระซิบกระซาบ ไม่มีสายตาที่เต็มไปด้วยคำกล่าวหา ไม่มีแรงกดดันของคำนินทาที่ไล่หลังตลอดที่เดินผ่าน ที่นี่อาจเป็นโอเอซิสจากความวุ่นวายในชีวิตของข้า—โอกาสที่จะอยู่โดยปราศจากเครื่องพันธนาการต่างๆ
เมื่อล้อรถม้าเคลื่อนตัวผ่านหุบเขาสูงตระหง่าน ข้าได้เห็นยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยพฤกษานานาพรรณ ราวกับธรรมชาติได้สรรค์สร้างดินแดนอันสงบสุขแห่งนี้ขึ้นมาโดยไม่สนใจความขัดแย้งใดๆ ของมนุษย์ ข้าจินตนาการถึงความเงียบสงบที่รออยู่เบื้องหน้า ความโดดเดี่ยวที่ไม่ได้อ้างว้าง แต่เป็นโอกาสให้ข้าได้ครุ่นคิดและทบทวนตนเอง
กระนั้น แม้ความตื่นเต้นที่ได้ออกห่างจากวังจะโอบล้อมข้าไว้ ข้าก็ไม่อาจละเลยความคิดที่วนเวียนอยู่ในใจ… คาลิเบล
เขายังคงเป็นเพียงเด็กน้อย ไร้เดียงสา เขาจะรู้หรือเปล่านะ ว่าข้าไม่อยู่ ณ วังแห่งนั้นแล้ว ถ้าเขารู้จะรู้สึกอย่างไรนะ?
"ข้าคิดอะไรอยู่เนี่ย อยู่ห่างจากเจ้าเด็กนั่นได้ก็ดี" ความรำคาญที่มีคนมาเกาะแกะตามตอแยก็จะได้หาย เพียงแต่...ข้าหวังเพียงว่าเขาจะสามารถแบกรับภาระอันหนักหนาของมกุฎราชกุมารเพียงลำพังไหวนะ... "ข้าคงคิดมากไปเจ้าน้องบ้านั่นเก่งกาจเสียยิ่งกว่าอะไร เก่งเสียยิ่งกว้าข้าอีก"
เมื่อรถม้าหยุดลงเบื้องหน้าวังที่ไม่ใหญ่มาก อันตกแต่งด้วยความเรียบง่ายแต่งดงาม ข้าลงจากรถม้ายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ปล่อยให้สายตากวาดมองทิวทัศน์โดยรอบ ภูเขาสูงตระหง่านทอดตัวเป็นฉากหลัง ยืนหยัดมั่นคงราวกับคอยพิทักษ์ความลับและความเจ็บปวดของข้า
นี่เป็นโอกาส—ที่ข้าจะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของข้า ให้ห่างไกลจากคำพิพากษาของผู้คน ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุข
ข้าสูดหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวเดินเข้าไปในวัง ลมหนาวพัดผ่านร่าง ข้ากระชับเสื้อคลุม พลางปล่อยให้บรรยากาศอันเงียบสงบของชิทูเรียโอบอุ้มข้าไว้
สถานที่ใหม่ ชีวิตใหม่…ข้ากล้าที่จะหวังถึงอนาคตที่ดีกว่าอนาคตที่เคยรู้จัก
คฤหาสน์ในชิทูเรียให้ความรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกกับพระราชวังหลวงที่ข้าจากมา อากาศบริสุทธิ์ทำให้ข้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่า แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากบรรยากาศอึดอัดที่ข้าเคยชิน เมื่อตั้งหลักในที่พำนักใหม่ได้ ข้าก็พบว่าตนเองเริ่มซึมซับจังหวะชีวิตที่เงียบสงบของธรรมชาติ—เสียงใบไม้ไหวและเสียงนกร้องไกลๆ กลายเป็นเสียงขับกล่อมที่ช่วยเยียวยาจิตใจของข้า คืนนั้นข้าไม่สัมผัสถึงฝันร้ายเลยแม้แต่น้อย
ในวันที่สอง ข้าได้พบกับเอลลี่ สาวใช้พี่เลี้ยงที่ถูกมอบหมายให้มาดูแลข้า และเซอร์ไอเดน อัศวินองครักษ์ส่วนตัวของข้า เอลลี่ นางก้าวเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มสดใสราวกับแสงอาทิตย์ เส้นผมสีน้ำตาลแดงของนางล้อมกรอบใบหน้าร่าเริงขณะที่นางเดินเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์เพคะ เจ้าหญิง!” นางทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง ไพเราะและเต็มไปด้วยความจริงใจ “วันนี้ทรงรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ?”
ข้าฝืนยิ้มตอบนางเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจในความกระตือรือร้นของนาง “ข้า… ข้าคิดว่าใช่” ข้าพึมพำ ไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไร เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนพูดกับข้าโดยปราศจากพิธีรีตอง หรือสายตาเย็นชาที่เต็มไปด้วยความดูถูก
เอลลี่ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับความเงียบของข้า นางเดินไปทั่วห้อง จัดข้าวของข้าที่กระจัดกระจายให้เข้าที่เข้าทาง ขณะเดียวกันก็พูดคุยอย่างเป็นกันเองราวกับเรารู้จักกันมานาน “วันนี้หม่อมฉันนำของว่างมาให้เพคะ!” นางหยิบกล่องเล็กๆ ออกมา ด้านในเต็มไปด้วยคุกกี้อบสีสันสดใส แต่ละชิ้นดูราวกับเป็นผลงานศิลปะที่เปี่ยมไปด้วยความสุข “หม่อมฉันคิดว่าพระองค์น่าจะต้องการความหวานเพื่อช่วยให้ทรงฟื้นตัวไวขึ้น”
ข้ามองขนมอย่างลังเล ท้องของข้าส่งเสียงร้องเบาๆ แม้ว่าข้าจะยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อยก็ตาม ไม่มีใครเคยกังวลว่าข้าจะสบายดีหรือไม่มานานแล้ว สิ่งนี้เป็นเหมือนสายลมแห่งความสดชื่นท่ามกลางโลกที่แสนหนักอึ้ง
เมื่อเอลลี่คะยั้นคะยอให้ลอง ข้าหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมแพ้ต่อความอยากรู้
ดวงตาของนางเป็นประกายด้วยความยินดีเมื่อข้าหยิบคุกกี้ราสป์เบอร์รี่มากัดหนึ่งคำ รสชาติหวานอมเปรี้ยวกระจายไปทั่วลิ้น ราวกับว่าความสุขเล็กๆ ได้ซึมซาบเข้าสู่หัวใจข้า ที่สำคัญคือข้าสัมผัสถึง รสชาติ สิ่งที่ข้าไม่ได้สัมผัสมันมานาน....
“อร่อยไหมเพคะ? ข้ามั่นใจในฝีมือของตนเองมากเลยนะ!” เอลลี่พูดขึ้นอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของนางอบอุ่นยิ่งนัก “ข้าไม่รู้ว่าพระองค์ประสบปัญหาอะไรมาก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ แม้จะไม่มากแต่หม่อมฉันจะทำให้พระองค์มีความสุขกลับมาสุขภาพแข็งแรงเองเพคะ”
คำพูดของนางกระทบใจข้าอย่างจัง เป็นการเตือนถึงความเรียบง่ายในชีวิตที่ข้าโหยหามาโดยตลอดความสุขเล็กๆที่ไม่ต้องทะเยอทะยานท่ามกลางความวุ่นวาย ข้าอยากรู้สึกเหมือนเป็นเด็กสาวธรรมดา—แม้เพียงชั่วขณะเดียวก็ตาม
ส่วน เซอร์ไอเดน เขายืนอยู่ที่ประตู ราวกับเป็นเงาสะท้อนของความเงียบสงบ เขาเป็นชายร่างสูง มีเส้นผมสีขาวและดวงตาสีน้ำเงินลึกล้ำ ราวกับสามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจของข้าได้ การสวมเกราะของเขาเป็นไปอย่างเรียบง่าย แต่ท่วงท่ากลับมั่นคงและสงบนิ่ง จนข้าหาคำมาอธิบายไม่ได้ เขาพยักหน้าทักทายอย่างมั่นคงโดยไม่พูดอะไรมาก แม้ว่าเขาจะไม่พูดมาก แต่ข้ากลับรู้สึกถึงความปลอดภัยที่ต่างออกไปจากปกติ ที่เคยพบเจอ การมีเขาอยู่ใกล้ๆ ทำให้ข้ารู้สึกวางใจได้มากกว่าการมีทหารรายล้อมทั่ววังเสียอีก
วันเวลาผ่านไป เอลลี่ ยังคงเป็นดั่งแสงสว่างเล็กๆ ในชีวิตข้า นางดูแลข้าด้วยความใส่ใจอย่างแท้จริง บ่อยครั้งที่นางมักจะหยุดข้าจากสิ่งที่ทำไม่ว่าจะด้านการเรียนหรือด้านอื่นๆเพื่อให้ข้าได้พักผ่อน ไม่เหมือนในวังที่แม้ว่าข้าจะเหนื่อยลำบากเพียงใดก็ยังคงเคี่ยวเข็ญข้าอยู่ตลอดเพื่อการเป็นเจ้าหญิงที่เพียบพร้อม แม้ว่าข้าจะไม่เคยได้ไปร่วมงานเลี้ยงหรืองานสังสรรค์เลยสักครั้งก็ตาม
ในขณะที่ เซอร์ไอเดน มักแสดงความห่วงใยผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด บ่อยครั้งที่เขาจะยืนอยู่ในจุดที่ทำให้ข้าสังเกตเห็นได้เสมอขณะข้านั่งอ่านหนังสืออยู่ริมระเบียง แววตาของเขามักจะจับจ้องมาทางข้า เป็นการรับรองเงียบๆ ว่าเขาจะคอยดูแลปกป้องข้าอยู่ตลอดเวลา
“หม่อมฉันขออนุญาตนำผ้าพันแผลออกนะเพคะ” นางกระซิบเบาๆขณะก้มโน้มตัวมาคลายผ้าพันแผลที่หัวข้าอย่างอ่อนโยน ผ้าสีขาวค่อยถูกแกะคลายออกจนหมดเผยให้เห็นถึงรอยแผลเป็นบริเวณเหนือหน้าผากทางซ้าย เอลลี่ เอามือป้องปากก่อนจะค่อยๆขยับปากพะงาบๆ "เจ้าหญิงเพคะ....ทรงอย่าตกพระทัยนะเพคะ...แผลของพระองค์เกิดเป็นรอยแผลเป็นเพคะ" สาวใช้พูดด้วยอาการอ้ำๆอึ่งๆพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า พร้อมส่งกระจกให้ข้าดู สีหน้านางเจ็บช้ำประหนึ่งเหมือนแผลที่อยู่ตรงหน้าตนเป็นผู้ได้รับแทน
"อ่อ แค่รอยแผลเป็นเองนิดๆหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอก" มันก็แค่รอยแผลเป็นที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายแต่ถึงจะใหญ่ยังไงก็ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ข้าไม่รู้ว่านางจะเศร้าไปทำไม
"ไม่ได้ซิเพคะ พระวรกายของท่าน ประหนึ่งแก้วบริสุทธิ์ เหตุใดชะตาถึงได้ทำร้ายท่านเช่นนี้กันเพคะ" นางร้องไห้โฮพรางกอดข้าเข้าไปเต็มอก ความอบอุ่นและกลิ่นหอมอ่อนๆไหลผ่านจากร่างกายนางมาสู่ข้า ความอบอุ่นที่ข้าไม่เคยได้สัมผัส มันรู้สึกเป็นเช่นนี้เอง มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน
ความรักและเมตตาของนาง… ที่ข้าไม่เคยได้รับมันจากใครมาก่อน และไม่แน่ในชาตินี้อาจไม่มีใครที่ให้ข้าเท่านาง
ข้าเริ่มเปิดใจ แบ่งปันบางส่วนของเรื่องราวในอดีต แม้ข้าจะไม่ได้เผยถึงความกลัวหรือความเจ็บปวดทั้งหมดที่แบกรับและความฝันที่ไล่ตาม แต่ เอลลี่ และ เซอร์ไอเดน ก็รับฟังอย่างตั้งใจ พวกเขาเป็นเหมือนเกราะป้องกันความทุกข์ที่แผ่วเบาแต่มั่นคงและเป็นเหมือนเวทมนตร์ที่คอยรักษาสภาพจิตใจที่แตกหักของข้าให้ฟื้นฟู
ในบรรยากาศอันสงบของชิทูเรีย ข้าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังได้รับการเยียวยา ไม่เพียงแต่ร่างกาย แต่รวมถึงจิตใจด้วย
เสียงหัวเราะของ เอลลี่ ค่อยๆ ทำลายกำแพงที่ข้าสร้างขึ้นมาปกป้องหัวใจ ขณะที่การเฝ้าดูอย่างเงียบงันของ เซอร์ไอเดน ทำให้ข้ารู้ว่า ข้าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
เมื่อวันเวลาค่อยๆ ผ่านไป ข้าค่อยๆ ยอมรับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่แต่ละวันมอบให้ ข้าจ้องมองเทือกเขาสูงตระหง่านเบื้องนอก และในทุกๆ ยามเช้า ข้ารู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ได้รับคืนความสุขส่วนที่เคยหล่นหายไปนานนับหลายปี
และในสายสัมพันธ์ใหม่ที่ข้าพบ ข้าก็เริ่มกล้าที่จะเชื่อว่า บางที… ข้าอาจมีชีวิตในแบบที่มีความสุขเหมือนผู้อื่นได้—
อากาศเย็นเฉียบของขุนเขาทำให้ข้ารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นเหมาะกับการออกมาปิกนิกข้างนอกวัง ในขณะที่ข้าขอออกมาเดินเล่นในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์ด้วยตัวคนเดียว สีสันสดใสของฤดูใบไม้ร่วงแต่งแต้มผืนป่าอย่างงดงาม ต้นไม้ไหวตามแรงลม ปล่อยให้ใบไม้ร่วงโรยลงมาราวกับสายฝนสีทอง
ทุกย่างก้าวที่เดินลึกเข้าไปในป่า ความหนาวเย็นโอบล้อมข้าไว้ เสียงใบไม้แห้งกรอบแตกใต้ฝ่าเท้าให้ความรู้สึกแปลใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เป็นเหมือนบทเพลงแห่งความสงบที่ต้อนรับข้า เพื่อข้าแต่เพียงผู้เดียว ข้ายังคงเดินต่อไป พลางนึกถึงว่าหลังจากนี้จะทำสิ่งใดต่อ จะใช้ชีวิตอยู่สบายๆ แบบนี้ก็ดีแต่ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเพียงใด ข้าควรทำคุณประโยชน์อย่างอื่นเพิ่มขึ้นดีไหม?
แต่เมื่อข้าเลี้ยวผ่านโค้งของเส้นทาง บางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็สะดุดตาข้า—เด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่ข้าด้วยความเข้มข้นบางอย่างที่ทำให้ข้าขนลุก
เขาดูจะมีอายุไล่เลี่ยกับคาลิเบล—ประมาณเจ็ดขวบ เส้นผมส้มของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่ลุกไหม้ ดวงตาสีฟ้าลึกล้ำจ้องมองมาที่ข้าอย่างทะลุปรุโปร่ง
วินาทีที่สายตาของเราประสานกัน คลื่นของอารมณ์ก็ถาโถมเข้าใส่ข้า—ความรัก, ความโหยหา, ความคิดถึง, ความเศร้า, และบางสิ่งที่ข้าไม่สามารถอธิบายได้… ความรู้สึกของการถูกหักหลัง
มันเป็นความเชื่อมโยงที่รุนแรงเกินกว่าที่ข้าจะเข้าใจ ราวกับว่าเราผูกพันกันมาเนิ่นนาน ข้าชะงักเท้า หัวใจเต้นแรง ขณะที่พยายามไตร่ตรองถึงพายุอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน
"เจ้าเป็นใคร?" ข้าถาม เสียงแผ่วเบาเต็มไปด้วยความสงสัยและความสับสน "เราเคยพบกันมาก่อนหรือ?"
สีหน้าซีดเผือดของเขาฉายแววตกตะลึงและการจดจำ… คล้ายคนที่เพิ่งพบกับวิญญาณที่กลับมาจากความตาย ข้ามองเห็นความลังเลในแววตาของเขา ราวกับว่าเขารู้จักข้าดีเสียยิ่งกว่าที่ข้ารู้จักตนเอง
"เจ้า...มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร…" เขาพึมพำ เสียงของเขาสั่นไหวคล้ายกับว่าการปรากฏตัวของข้าจะถึงคราวที่ทำให้โลกล่มสลาย
ก่อนที่ข้าจะทันถามอะไรต่อ เสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังของเขา—น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเร่งร้อน "เฟริกซ์ เจ้าอยู่ที่ไหน?"
เด็กชายสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อนั้น และในเสี้ยววินาที ความเชื่อมโยงระหว่างเราก็แตกสลาย
"เดี๋ยว—" ข้าก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทันคิด ตามสัญชาตญาณที่สั่งให้ข้ารั้งเขาไว้ ข้ายังต้องการคำตอบ ข้ายังต้องการเข้าใจว่าทำไมความรู้สึกที่เขาจุดขึ้นในตัวข้าถึงได้รุนแรงถึงเพียงนี้
แต่ก่อนที่ข้าจะพูดจบ เด็กผู้ชายคนนั้นก็หันหลังกลับทันที เขาสบตาข้าอีกครั้ง เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น—ราวกับว่าเขาต้องการจะกำจัดข้าเสียตั้งแต่ตรงนี้
แต่แล้วเขาก็วิ่งหายเข้าไปในแนวป่าอย่างรวดเร็วพอๆ กับที่ปรากฏตัวขึ้น
ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หัวใจหล่นวูบ ความผิดหวังและความสับสนถาโถมเข้าใส่ ข้ามองไปยังเส้นทางที่เขาหายไป รู้สึกราวกับว่าความทรงจำบางอย่างที่สำคัญได้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
"เฟริกซ์…" ข้าพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว ชื่อนี้หลุดออกจากริมฝีปากข้าอย่างง่ายดาย… ทั้งที่มันฟังแปลกใหม่แต่กลับคุ้นเคยและน่าโหยหายในเวลาเดียวกัน
พายุอารมณ์ยังคงคุกรุ่นอยู่ภายใน ข้ารู้สึกเหมือนเชือกเส้นหนึ่งถูกดึงให้ตึงจนเกือบขาด ข้าใช้เวลามากมายจมอยู่ในเงาของความไม่มั่นคงในตัวเองจนไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบกับใครบางคนที่ปลุกบางสิ่งในตัวข้าขึ้นมา—บางสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ
เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับความฝันของข้าหรือไม่? หรือเขาเป็นเพียงแค่เด็กชายบ้านนอกที่พบเจอกันโดยบังเอิญไม่มากและน้อยไปกว่านั้น?
ไม่นาน เซอร์ไอเดนและเอลลี่ ก็เดินตามหลังข้ามา อาจจะเพราะข้าออกมาเดินด้วยตัวคนเดียวนานไปหน่อย ข้าจูงมือกับเอลลี่เดินกลับวัง ด้วยใจที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจ—
เด็กชายคนนั้น… เฟริกซ์… เขาได้ปลุกบางสิ่งที่หลับใหลในตัวข้าให้ตื่นขึ้นมา
บางทีเส้นทางของข้าอาจยังไม่จบเพียงเท่านี้… บางที เราอาจได้พบกันอีกครั้ง และบางที… คำตอบที่ข้าตามหาอาจรออยู่ที่เขา
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ
ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัวเขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน“ได้โ
ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดาเอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้
วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?""ไม่,