ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดา
เอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน
“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้น
ข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้นมาบ่งบอกถึงความสดใหม่ของขนมที่พึ่งอบเสร็จ ข้ากัดลงไปบนขนมปังกรอบๆ เสียงดังกรุบ พร้อมขนมปังที่แตกเผยให้เห็นถึงไส้ครีมผลไม้สีม่วง รสชาติเปรี้ยวอมหวาน แลดูน่าจะทำมาจากราสเบอร์รี่ แม้หน้าตาจะดูเหมือนธรรมดาแต่รสชาติของมันกลับถูกปากข้าอย่างบอกไม่ถูก
พวกเราสามคนนั่งกินขนมที่ม้านั่งใกล้ๆแถวนั้น พร้อมคุยสัพเพเหระไปเรื่อยก่อนจะตัดสินใจเดินสำรวจลึกเข้าไปในตลาดกันต่อ—
แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปในตลาดมากขึ้น ข้าก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง—บรรยากาศรื่นเริงของตลาดที่แฝงไปด้วยความตึงเครียดที่ละเอียดอ่อน แม้ว่าจะมีเสียงหัวเราะและการต่อรองราคาลอยอยู่ในอากาศ แต่สีหน้าของชาวเมืองหลายคนกลับเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตาของพวกเขาบางคนก็ชอบเหลือบมองท้องฟ้าที่มีบรรยากาศอึมครึมเป็นระยะ ราวกับกำลังหวาดหวั่นกับบางสิ่งที่จะมาจากฟ้า และถ้าให้เข้าเดานั่นคือหิมะของฤดูหนาวที่กำลังใกล้เข้ามา
เด็ก ๆ วิ่งผ่านข้าไป มือของพวกเขากำเศษขนมปังแห้งเอาไว้แน่น ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนไปด้วยเศษอาหารมื้อเล็ก ๆ ที่อาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขามี บางคนก็ไร้บ้านนั่ง นอน อยู่ระหว่างตามตรอกซอกซอยของเมือง ทั้งๆที่อากาศเย็นอยู่พอสมควร แต่เสื้อผ้าของพวกเขากับบางและขาดรุ่งริ่งเหมือนผ้าขี้ริ้ว
สายตาของข้าหยุดอยู่ที่ป้ายหน้าร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งราคาของมันสูงขึ้นผิดปกติ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการขาดแคลนสินค้า อาหาร และภัยแล้ง
คิ้วของข้าขมวดกันเข้าหากันแม้ไม่ได้ตั้งใจ ข้าเคยอ่านและเรียนรู้เกี่ยวกับความทุกข์ยากและภัยแล้งที่ผู้คน ประชาชนชาวเมืองต้องเผชิญ แต่การได้เห็นมันด้วยตาตัวเองอีกครั้งนับว่าเป็นคนละเรื่อง ความจริงที่อยู่ตรงหน้าทำให้ข้ารู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก
"ที่นี่ฤดูหนาวโหดร้ายถึงขนาดนั้นเลยหรือ?" ข้าพึมพำกับตัวเองเบา ๆ โดยไม่รู้ตัว
เซอร์ไอเดน หันมามองข้า แววตาของเขาเศร้าลงเล็กน้อย พร้อมริมฝีปากที่กัดด้วยความเจ็บใจ ประหนึ่งเขาเองก็เคยประสบเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเอง "ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ในแดนเหนือนั้นมีอากาศหนาวเย็นเป็นอย่างมาก" เขาตอบเสียงเบา "ผืนดินแห้งแล้งเพราะความเย็น การขนส่งก็ได้ทำได้ยากพวกเรามักจะต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดผ่านฤดูหนาวอยู่บ่อยครั้ง...."
พวกเรายังคงเดินสำรวจเมืองต่อไปเรื่อยๆ ข้ากวาดตามองรอบ ๆ สังเกตทุกสิ่งอย่างที่จะเห็นได้ บ้านเรือนหลังเล็ก ๆ สีของผนังซีดจางบางหลังก็ผุพังเพราะกาลเวลา บางหลังก็มีความเสียหายเหมือนเกิดจากการถูกทำลายด้วยอะไรบางอย่าง? แต่ถึงกระนั้นผู้คนยังคงพยายามดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขาโดยมีความหวังเป็นแรงขับเคลื่อน แต่ข้ากลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าและความกังวลที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มที่พวกเขาสวมใส่
ในใจของข้าเกิดความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน—ข้าอยากช่วยพวกเขา แต่ข้าควรจะทำได้อย่างไร? ควรจะเริ่มจากตรงไหน?
ข้าเติบโตมาในพระราชวัง ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระเบียบและหน้าที่ของเจ้าหญิง และโหยหาสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าความรักความอบอุ่นมาโดยตลอดแม้จะไม่ได้เป็นสุขมากนักแต่ก็ไม่ได้ลำบากใดๆ แต่ที่นี่ ในชิทูเรีย ความเป็นจริงนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง—ชีวิตของพวกเขาไม่ใช่เรื่องของอำนาจหรือตำแหน่ง หรือเรื่องไร้สาระที่มีอยู่ในหัวข้า แต่เป็นเรื่องของ การเอาตัวรอดและความหวังในทุกๆวันแม้เด็กตัวเล็กๆก็ตาม นั่นทำให้ข้ารู้สึกละอายใจกับความคิดที่ผ่านมาของข้ามาก
ข้าอยากให้พวกเขาอยู่สุขสบายเหมือนข้า ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน มีที่ซุกหัวนอนที่ปลอดภัย ได้ใช้ชีวิตที่สมควรจะได้ใช้ "ข้าควรบริจาคเงินให้พวกเขาดีไหมนะ?" แต่ถึงจะทำแบบนั้นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาโดยถาวร มันแค่ช่วยได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งแต่หลังจากนั้นสภาพชีวิตพวกเขาหละ? คงไม่พ้นกลับมาเหมือนเดิม อีกทั้งนี่แค่เมืองๆเดียว แล้วถ้าทั่วอาณาจักรหละ? ข้าไม่อาจใช้วิธีนั้นช่วยทุกคนได้....
เอลลี่พยายามดึงข้าออกจากภวังค์ของความคิด “เราเดินไปชมประตูเมืองกันดีไหมเพคะ? แม้ที่นี่จะไม่มีอะไรนอกจากภูเขาและป่า แต่วิวนอกกำแพงเมืองก็ยังคงสวยงามอยู่นะเพคะ หม่อมฉันคิดว่าพระองค์คงจะถูกพระทัยแน่นอน” เธอถามด้วยเสียงที่ยังคงสดใส
ข้าพยักหน้าเบา ๆ พยายามกลับมาสู่ปัจจุบัน อย่างน้อยตอนนี้ ข้าก็ควรจดจ่อและสัมผัสกับช่วงเวลาเล็ก ๆ ของความสุขไว้ให้ดี แม้ว่าภายในใจของข้าจะเต็มไปด้วยความคิดที่ยังหาคำตอบไม่ได้
พวกเราใช้เวลาไม่นานก็พากันเดินมาถึงหน้าประตูเมืองด้วยตำแหน่งขอ เซอร์ไอเดน พวกเราเลยได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนกำแพงเมืองได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นเพียงเพื่อการชมวิวก็ตาม แสงของอาทิตย์ พร้อมท้องฟ้ายามราตรีที่ค่อยๆเคลื่อนขึ้นสู่น่านฟ้า ส่องสะท้อนสีของเหล่าใบไม้ที่ร่วงเลยอยู่เต็มผืนดินแวววับเหมือนอัญมณีที่สวยงาม ช่างเป็นภาพศิลปะที่งามจับจิตโดยไม่มีใครสามารถสร้างมันได้นอกจากธรรมชาตินี้
เอลลี่ กุมมือของข้าพรางย่อตัวลงมาเท่ากับระดับความสูงของข้า ใบหน้าที่ชิดใกล้ความอบอุ่นที่ไหลผ่านมารู้สึกได้ถึงสัมผัสของชีวิต แม้อากาศจะเริ่มเย็นขึ้นมากเพียงได้แต่ภายในของข้านั้นกลับไม่หนาวเหน็บเลยแม้แต่น้อย ผิดกับตอนอยู่ที่วังหลวงที่แม้จะมีไออุ่นจากเตาผิงไฟหรือเวทมนตร์ความร้อนที่ครอบคลุมทั่ววัง ก็ไม่อาจทำให้ข้าอบอุ่นได้เลย....
ในระหว่างที่ข้ากำลังเพลิดเพลินไปกับวิวตรงหน้าก็สังเกตเห็นกลุ่มเงาคนกำลังวิ่งมาตามทางเดินจากไกลๆ พวกเขาวิ่งด้วยความเร่งรีบแต่มันไม่ใช่การเร่งรีบแบบปกติ มันมีบางอย่างแปลกๆ.....
"สัตว์เวทมนตร์! พวกมันบุกมาแล้ว!" ชาวบ้านคนหนึ่งในกลุ่มที่กำลังวิ่งหน้าตั้งตรงมาที่ประตูเมืองร้องลั่นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "ฝูงไครูเบกำลังโจมตีเมือง!"
ข้ายังไม่ทันได้ตั้งสติ เหล่าทหารก็รวมตัวกันจ้าระหวั่นประจำหน้าที่อย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องชิทูเรีย เสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นก้องไปทั่ว ฟังดูชวนขนลุก เตือนให้ทุกคนหลบภัยอยู่แต่ในบ้านของตน
ความหวาดกลัวแพร่กระจายราวกับเปลวไฟต้องลม ข้ามองเห็นกลุ่มชาวเมืองแตกตื่น วิ่งหนีเข้ามาในเมือง สีหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
หัวใจข้าเต้นรัวด้วยความตึงเครียด ขณะที่ความโกลาหลปะทุขึ้นรอบตัว
ทันใดนั้น กลุ่มควันสีดำหนาทึบก็พวยพุ่งมาจากทุ่งด้านนอก แผ่กระจายไปทั่วอากาศราวกับหมอกปีศาจ พร้อมเสียงฝีเท้ากระทบกับดินดังกึกก้องอย่างกับกลองสงคราม ขณะที่ข้าเพ่งสายตามองผ่านม่านควันเพื่อดูว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น
มันคือสิ่งมีชีวิต แต่รูปร่างมันช่างแปลกประหลาด ทันทีที่ตัวแรกปรากฏออกมาจากกลุ่มควันโขมงที่เกิดจากการวิ่งของพวกมัน ข้าก็รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง
"เอลลี่ นั่นมันอะไร?" ข้าถามเสียงดัง พลางหันไปหาสาวรับใช้ที่ตอนนี้กำลังจ้องไปที่ประตูเมืองด้วยแววตาตื่นตระหนก
"ข้าก็ไม่แน่ใจเพคะ ฝ่าบาท" เอลลี่ตอบ สีหน้าเคร่งเครียดก่อนจะหันไปมองเซอร์ไอเดนที่ยืนตระหง่านอยู่ข้างข้า ดวงตาของเขามั่นคง เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง
"นั่นมัน... ตัวอะไร?" ข้าพึมพำ พลางเบิกตากว้างมองไปยังภาพตรงหน้า
สัตว์ร้ายพวกนั้นมีร่างกายคล้ายวัวกระทิงตัวมหึมา แต่แทนที่เท้าจะเป็นกีบ มันกลับมีกรงเล็บแหลมคมราวกับกรงเล็บเสือ สิ่งที่ทำให้พวกมันดูน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้นคือเขาที่แผ่กว้างออกจากหัวที่มีรูปร่างคล้ายเขากวางราวกับมงกุฎปีศาจ และดวงตาสีแดงฉานที่ฉายแววแห่งความบ้าคลั่ง
ฝูง ไครูเบ กรูกันเข้ามาในประตูเมือง แผ่นดินสั่นสะเทือนราวกับจะระเบิด เสียงคำรามของพวกมันแหวกอากาศดังสนั่น ข้าเฝ้ามองด้วยความตื่นตระหนกขณะที่เหล่าทหารพยายามขัดขวาง แต่ถูกพลังของฝูงอสูรซัดกระเด็นไปอย่างง่ายดาย
"ถอยไป! ตั้งแนวป้องกัน!" เสียงของนายทหารคนหนึ่งตะโกนสั่งกองกำลัง แต่ทุกอย่างชุลมุนเกินกว่าจะควบคุมได้
ความหวาดกลัวแล่นริ้วขึ้นมาตามสันหลังของข้า แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองที่กำลังเดือดร้อน ข้าเคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม ข้าเคยเรียนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การรบ ข้ามีวิชาดาบติดตัว แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือของจริง—โหดร้าย และน่าหวาดหวั่นกว่าที่ข้าเคยจินตนาการ
"ฝ่าบาท เราต้องหาที่หลบภัยเดี๋ยวนี้เพคะ!" เอลลี่ร้องบอก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่เธอจับแขนข้าไว้แน่น แต่ในขณะเดียวกันข้าก็เห็นชาวเมืองหลายคนกำลังถูกพวกสัตว์บ้าคลั่งทำร้าย แม้กระทั่งเด็กบางคนก็โดนลูกหลงด้วย
ใจข้าปฏิเสธความคิดที่จะวิ่งหนีทันทีที่เห็นภาพเหล่านั้น "ไม่! ข้าจะไม่หนี!" ข้าตอบเสียงแข็ง แววตามุ่งมั่น "พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ! เราต้องทำอะไรสักอย่าง!"
พวกเราวิ่งลงมาจากกำแพงไม่ทันไร จู่ ๆ ก็มีทหารคนหนึ่งถูกซัดล้มลงต่อหน้าต่อตา ก่อนจะถูกฝูงสัตว์ร้ายเหยียบจนจมหายไปกับพื้นดิน ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ความรู้สึกหวาดกลัวกัดกินหัวใจข้าขึ้นมาทันที
สัตว์บ้าคลั่งตัวนั้นหันมาหาข้าหมายจะคย้ำข้าเป็นรายต่อไป ข้าตัวแข็งทื่อภายในหัวขาวโพลนไปหมด มันพุ่งตรงเข้ามาหาข้าอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจกลัวข้า เผลอหลับตาและใช้แขนขึ้นมาบังหน้าเกร็งร่างกายพร้อมรับความเจ็บปวด...
"เจ้าหญิง!" เซอร์ไอเดน พุ่งเข้ามาขวางทางใช้ดาบบั่นคอสัตว์เวทมนตร์ขาดภายในดาบเดียว "เจ้าหญิงกระหม่อมเข้าใจจิตใจของท่าน ที่อยากจะช่วยเหลือชาวเมืองแต่ที่นี่มันอันตรายเกินไป! ท่านต้องรีบหนีกลับไปที่วังกับ เอลลี่ เดี๋ยวนี้!"
ข้ายืนนิ่งตัวแข็งทื่อ สั่นเทาด้วยความกลัว จู่ๆในหัวข้าก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก และเสียงซุบซิบนินทาของเหล่าขุนนางและสาวใช้จากสมัยในวังที่ซึ่งข้าเกลียดจับใจ
"น่าสมเพช"
"เจ้าหญิงตัวซวย"
"เห็นไหมไม่ว่านางจะไปที่ไหนก็จะดึงดูดแต่ปัญหา"
ข้าใช้มือตบหน้าเรียกสติตัวเองดัง แป๊ะ! เซอร์ไอเดนและ เอลลี่ ตกใจกับสิ่งที่ข้าทำจนต้องอ้าปากค้าง "เจ้าหญิง?! พระองค์ทรงจะทำสิ่งใดเพคะ?!"เอลลี่ ถามด้วยความสับสนและร้อน ข้าหันมองซ้ายขวา สายตาสอดส่องจนไปถึงศพทหารที่นอนจบดินก่อนหน้าข้าเดินหรี่ตรงไปหยิบดาบสั้นในมือของเขาขึ้นมา แล้วกำมันแน่น รู้สึกถึงน้ำหนักอันคุ้นเคยของมัน
"เอลลี่ เจ้าไปช่วยคนอพยพให้ได้มากที่สุด ช่วยพาพวกเขาให้พ้นแถวบริเวณหน้าเมือง ถ้าหากเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมให้ใช้วังของข้าเป็นที่หลบภัย!"
"เอ๋?! แล้วพระองค์..."เอลลี่ สาวใช้ยังไม่ทันพูดจบ
"ไม่มีเวลาแล้ว! ทำตามที่ข้าบอก!" ข้าไม่สามารถให้เรื่องมันบานปลายมากไปกว่านี้ได้อีก—ไม่ในขณะที่ข้ายังอยู่ที่นี่!
"เพคะ เจ้าหญิง!" สาวใช้วิ่งตุบๆไปหาเหล่าผู้คนที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน ช่วยพยุงพาหนีเข้าไปในตัวเมือง
"เซอร์ไอเดน!" ข้าหันไปเรียกอัศวินของข้า ดวงตาของเราสบกัน และในแววตานั้น ข้าเห็นความเข้าใจ—เขารู้ว่าข้าจะไม่ยอมถอย
"เราต้องช่วยพวกเขา!"
เขาพยักหน้า ดวงตาจริงจังและแน่วแน่ "อยู่ใกล้กระหม่อมไว้ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท"
ข้าสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะยกดาบขึ้น ทำใจให้นิ่งสงบที่สุดความสั่นเท่าของร่างกายหายไปภายในของข้าเงียบสงบขัดกับเสียงคำรามของฝูงไครูเบที่ดังกึกก้องและยังคงบุกทะลวงเข้ามาในเมือง
วันนี้ ข้าไม่ใช่แค่เจ้าหญิงที่ทำได้แค่ถูกปกป้องอีกต่อไป แต่ข้าคือหนึ่งในผู้ที่ยืนหยัดเพื่อต่อสู้ เพื่อปกป้องเมืองนี้ เมืองที่มอบความสุขให้แก่ชีวิตข้าครั้งแรก!
อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านไปทั่วร่างขณะที่ข้าพุ่งเข้าสู่สมรภูมิ หัวใจเต้นรัวไปตามจังหวะของคมดาบที่ฟาดฟันลงไป ข้ารู้สึกถึงภาระหนักอึ้งของการตัดสินใจครั้งนี้ทับถมลงบนบ่า แต่สัญชาตญาณในการต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนรอบตัวกลับพลุ่งพล่านขึ้นมาด้วยความชัดเจนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อข้าปะทะกับสัตว์เวมทนตร์ ข้าตระหนักได้ว่าการฝึกฝนของข้าไม่ได้สูญเปล่า—ทักษะดาบของข้าคมกริบกว่าที่ข้าเคยให้ค่าตัวเองเสียอีก
ทุกการฟาดฟันของข้าส่งสัตว์ร้ายร่วงลงกับพื้นไปทีละตัว พลังงานบางอย่างไหลเวียนอยู่ในกายข้า และเพียงชั่วขณะหนึ่ง ข้ารู้สึกเหมือนกลายเป็นสายลมแห่งความมุ่งมั่น สภาพข้าตอนนี้แทบไม่ต่างกับในความฝัน เปรอะเปื่อนไปด้วยเลือด แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่ของชาวเมืองบริสุทธิ์ ความบ้าคลั่ง และอารมณ์ที่รุนแรง ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสมาธิที่แน่วแน่
เหล่าทหารที่อยู่รอบตัวข้าตกตะลึงไปชั่วขณะ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจที่เห็นเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดปีต่อสู้ด้วยความดุดันเช่นนี้
เมื่อทุกสายตาหันมาจับจ้องราวกับเวลาถูกหยุด ข้ากวาดตามองไปยังความโกลาหลรอบตัว และโดยไม่ทันคิด ข้าตะโกนออกคำสั่งแก่เหล่าทหารที่อยู่ใกล้
"เหล่าพลทหารฟังข้า! ข้าออเรเลีย วอน อากาธีร์ เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่ง อากาธีร์ บุตรของ จักรพรรดิ อาเดลวิน! ขอสั่งให้ทหารทุกนายรวมกลุ่มกันเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงหนักแน่นของข้าทำให้ตัวเองยังรู้สึกตกใจ แต่ภายในอก ข้าสัมผัสได้ถึงบางอย่าง...ความเป็นผู้นำของข้าก่อตัวขึ้นในเสี้ยววินาที เหล่าทหารที่เคยกระจัดกระจายเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า รีบรวมกลุ่มช่วยเหลือกันเป็นสิบๆกลุ่ม
“ใช้หอกยาวสกัดพวกมัน! เล็งไปที่ขาหรือไม่ก็หลัง! พวกมันเร็วก็จริง แต่มันเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางขณะพุ่งไม่ได้! หาจังหวะหลบแล้วใช้ความยาวของหอกให้เป็นประโยชน์ โจมตีไปที่จุดตายของมัน!”
ทหารบางนายเหลือบมองกันด้วยความตกตะลึงราวกับไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่อ้างว่าตนเองคือเจ้าหญิงแห่งอาณาจักร แต่กลับใส่ชุดชาวบ้านธรรมดาๆ จะสั่งการพวกเขาได้ แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว—พวกเขารวบรวมกำลังใจกลับมาได้อีกครั้ง และเริ่มตั้งแนวรบ ใช้หอกยาวค้ำยันเพื่อป้องกันศัตรู
เสียงโลหะกระทบกันก้องสะท้อนท่ามกลางเสียงร้องคำรามของเหล่าทหารที่มีกำลังใจกลับมา ข้ากวัดแกว่งดาบของตัวเองด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฟันลงไปยังศัตรูตัวแล้วตัวเล่า เลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพื้นหินของถนน ขณะที่แรงปะทะจากกรงเล็บของ ไครูเบ ที่พุ่งเข้าใส่บีบให้ข้าต้องถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่าง
หนึ่งตัวพุ่งเข้ามาทางขวา ข้าหมุนตัวไปด้านข้าง หัวใจเต้นรัวขณะเงื้อดาบขึ้นสูง ปลายดาบสะท้อนแสงวาบก่อนฟาดลงอย่างแม่นยำ เจาะทะลุเข้าที่จุดอ่อนใต้ลำคอของมัน มันส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนล้มฟาดลงกับพื้น ร่างกระตุกสองสามครั้งก่อนจะสิ้นใจ
ขณะที่ข้าถอนดาบออกจากร่างของมัน ฉับพลันนั้น เงาดำอีกเงาหนึ่งกระโจนมาจากด้านบน ข้าแทบไม่มีเวลาตั้งตัว สัญชาตญาณสั่งให้ข้ายกดาบขึ้นบังเอาไว้ กรงเล็บแหลมของ ไครูเบ ปะทะกับใบดาบจนเกิดเสียงดัง เคล้ง! แรงกระแทกทำให้แขนของข้าสั่นสะท้าน ข้ากัดฟันแน่น พลิกข้อมือแล้วสะบัดดาบอย่างแรง ทำให้มันเสียจังหวะก่อนที่ เซอร์ไอเดน จะพุ่งเข้ามาใช้เท้าเตะเข้าที่ช่องท้องของมันสุดแรงเกิด
ไครูเบ กระเด็นไปกระแทกกำแพง แต่มันยังไม่ตาย ดวงตาสีเหลืองของมันส่องประกายด้วยความดุร้ายก่อนจะแผดเสียงขู่ ข้ารีบปรับจังหวะหายใจ ตั้งดาบขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกัน เซอร์ไอเดน ก็มายืนบังอยู่ข้างหน้าข้าไว้
“ปัดป้องให้ข้า!” ข้าพูดพร้อมพุ่งกระโจนออกไปพร้อมกับ เซอร์ไอเดน
ไครูเบ ตัวนั้นพุ่งเข้าหาตอบมันใช้กรงเล็บที่แหลมคมหมายจะฉีกกระชากศัตรูตรงหน้า แต่ เซอร์ไอเดน ใช้เพียงแค่ปลายดาบแตะเบี่ยงเบนวิถีกรงเล็บของมันอย่างชำนาญการ เปิดช่องว่างให้ข้าพุ่งตรงไปเสียบเข้าที่กลางอกของมัน มันดิ้นทุรนทุรายก่อนจะหมดแรงลงไปกองกับพื้น ข้ากวาดตามองไปรอบๆ สนามรบ
แต่ก่อนที่ข้าจะได้โล่งใจ สายตาของข้าสะดุดเข้ากับภาพบางอย่าง—ชาวบ้านคนหนึ่งที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย กำลังก้าวถอยหลังอย่างตื่นตระหนก โดยมีอสูรเวทตร์ตัวหนึ่งพุ่งเข้าใส่ด้วยกรงเล็บอันแหลมคม
หัวใจข้าเต้นแรง และโดยไม่ทันคิด ข้าพุ่งตัวไปขวางมันไว้
“ระวัง!” ข้าร้องเตือน ขณะที่เหวี่ยงดาบออกไปสกัดกรงเล็บของอสูร แต่มันทำให้ข้าเสียหลัก เท้าของข้าก้าวลงบนพื้นขรุขระผิดจังหวะ ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากข้อเท้าทันที
"เจ้าหญิง!"เสียงตะโกนของ เซอร์ไอเดน ดังก้องไปทั่วพร้อมกับเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ข้ารู้ว่ามันกำลังจะโจมตีอีกครั้ง ข้ากำดาบแน่น พยายามตั้งหลักแม้จะเจ็บร้าวไปทั้งขา ข้ารู้ว่าข้าอาจรับมือมันไม่ไหว แต่แล้ว—
ฟึ่บ!
เสียงตัดอากาศดังขึ้นพร้อมกับประกายคมมีดที่พุ่งตรงเข้าปะทะคอของอสูร มันล้มลงต่อหน้าข้า ร่างกายมหึมาทรุดฮวบกับพื้น
ข้าหันไปมองผู้ช่วยชีวิตของตนเอง และต้องตะลึง
ตรงนั้น เด็กชายคนหนึ่งยืนอยู่—เด็กชายที่มีเรือนผมสีส้มเหมือนเปลวเพลิง มือของเขากำมีดเล่มเล็กซึ่งเปื้อนเลือดของอสูร
เขาดูอายุไล่เลี่ยกับ คาลิเบล แท้ๆแต่ท่าทีของเขากลับนิ่งสงบทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านี้อีกทั้งยังพึ่งสังหารสัตว์เวทมนตร์ไป
ข้าหอบหายใจหนัก “แฮก..แฮก...เจ้า...” ข้าพยายามพูด แต่เสียงกลับขาดหายไปกลางคัน ราวกับคำพูดทั้งหมดติดอยู่ในลำคอ
เด็กชายเพียงจ้องกลับมา สายตาของเขาราวกับกำลังพิจารณาข้าอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
แล้วในเสี้ยววินาทีถัดมา เขาหันหลังกลับ ก่อนจะวิ่งหายไปตามตรอกแคบ ๆ ของเมืองโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หัวใจข้ายังเต้นแรง ขณะที่ข้ามองตามแผ่นหลังของเขาจนลับตา ความรู้สึกบางอย่างไหลวนอยู่ในอกข้า—ความอยากรู้ ความสงสัย และบางอย่างที่ข้าไม่อาจบรรยายได้
“เฟริกซ์...” ข้าพึมพำกับตัวเอง เป็นอีกครั้งที่ข้าเรียกชื่อเขาโดยไม่รู้ตัว
เขาเฝ้ามองดูข้าอยู่หรือ? เขารู้จักข้า?
"เจ้าหญิง! ทรงปลอดภัยใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ" เซอร์ไอเดน วิ่งตรงหรี่เข้ามาพยุงข้าดู เขามองตามหลังเด็กคนนั้นที่วิ่งหายเข้าไปในตรอกโดยไม่พูดอะไร
สถานการณ์ที่วุ่นวายได้สงบลง มือของข้าที่เกร็งจับดาบมาตลอดค่อยๆคลายออกพร้อมกับความตึงเครียดก่อนหน้าได้มลายหายไปหมด
"ดูเหมือน สถานการณ์จะเป็นปรกติแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ เรากลับวังกันก่อน....เจ้าหญิง?"
"เจ้าหญิ....." สิ่งสุดท้ายที่ข้าจำได้คือได้ยินเสียงของ เซอร์ไอเดน และ เอลลี่ ที่กำลังวิ่งมาทางข้าพร้อมตะโกนอะไรสักอย่างก่อนที่ภาพเบื่องหน้าจะตัดดับวูบไป.....
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ
ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัวเขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน“ได้โ
ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดาเอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้
วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?""ไม่,