ยามค่ำคืน ภายในห้องนอนมีเสียงร้องครางดังขึ้น แฝงไว้ด้วยความอดกลั้น
เหล่าบ่าวไพร่ที่รออยู่ด้านนอกต่างก็ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น ใครบ้างจะกล้าพูดถึงองค์ชายรัชทายาท
เล่อจื่อนอนอยู่ด้านนอกของเตียง น้ำตาไหลรินจากหางตาแดงก่ำ แต่ก็ไม่ได้ยกมือขึ้นเช็ด หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ยกมือไม่ขึ้น...
ในที่สุดนางก็เข้าใจความหมายของคำว่า "มันจะเจ็บ" ที่ฮั่วตู้เอ่ยไว้
แต่มันไม่ใช่อย่างที่นางคาดคิด
เขาเพียงแค่จับมือนางไว้ แล้วหักแขนทั้งสองข้างของนางออกอย่างรุนแรง
เจ็บ เจ็บเหลือเกิน
นางไม่อยากร้องไห้ แต่มันเจ็บจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นางปล่อยโฮออกมา
ส่วนต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด กำลังนอนหันหลังให้นางอยู่บนเตียง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไร
เล่อจื่อคิดว่าฮั่วตู้คงหลับไปแล้ว แต่นางหลับไม่ลง แขนที่ถูกหักเจ็บปวดรวดร้าว แถมยังไม่มีผ้าห่มคลุม...
เตียงกว้างขวาง ผ้าห่มวางซ้อนกันอย่างเรียบร้อยอยู่ด้านในสุด หลังจากหักแขนของนางแล้ว ฮั่วตู้ก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองโดยไม่สนใจนาง...
ความเมตตา? เขาจะมีอย่างนั้นหรือ
เล่อจื่อมองแผ่นหลังของเขาด้วยความเกลียดชัง
"นอนไม่หลับหรือ"
เล่อจื่อสะดุ้งตกใจ คิดว่าคนผู้นี้มีตาหลังหรือไร
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบ ฮั่วตู้ก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
"ถ้าไม่ชิน ก็ไปนอนที่ศาลาอุ่นสิ"
ม่านเตียงพลิ้วไหว หลังจากเล่อจื่อนอนลงบนเตียง ฮั่วตู้ก็โบกมือเบาๆ ม่านเตียงทั้งสองข้างร่วงหล่นลงมาปิดคลุม แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่เล็กน้อย
เทียนแดงด้านนอกยังไม่มอดดับ
ในคืนแต่งงาน เทียนแดงจะไม่ดับจนกว่าจะถึงรุ่งเช้า
แสงเทียนส่องผ่านม่านเตียงที่ขยับไหว สะท้อนให้เห็นแสงสว่างภายในเตียงเป็นระยะ
เล่อจื่อครุ่นคิดถึงความหมายในคำพูดของฮั่วตู้ แต่ก็เดาไม่ออก
เพียงแต่ การไปนอนที่ศาลาอุ่นหลังจากถูกหักแขน คงเป็นเรื่องโง่เขลาสิ้นดี
นางไม่คิดมาก ไม่ตอบคำถาม เพียงขยับตัวไปด้านข้างเตียงช้าๆ ทุกครั้งที่ขยับ ความเจ็บปวดจากกระดูกที่เคลื่อนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งนางแนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังของฮั่วตู้เบาๆ
มีผ้าปูเตียงบางๆ กั้นกลาง
การกระทำนี้เหมือนบอกเขาโดยปริยายว่า นางจะไม่ไปนอนที่ศาลาอุ่น นางจะนอนกับเขา
"เล่อจื่อ"
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หัวใจของเล่อจื่อเต้นรัว...
"สงบสติอารมณ์หน่อย"
เล่อจื่อชะงัก
น้ำเสียงราบเรียบเช่นนี้ ราวกับกำลังตำหนินางว่าทำสิ่งใดขัดใจเขา
นางเม้มริมฝีปาก ขยับแก้มที่ร้อนผ่าวออกเล็กน้อย ด้วยเกรงว่าฮั่วตู้จะไล่นางไปอีก นางจึงพึมพำเบาๆ
"ข้าจะนอนที่นี่..."
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดไปเองหรือไม่ เล่อจื่อเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
จากนั้น เมื่อเห็นฮั่วตู้หันมาทางด้านนอก นางก็ตกใจจนรีบหลับตาปี๋... สาเหตุที่นางกล้าทำเรื่องบุ่มบ่ามเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฮั่วตู้หันหลังให้นาง...
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่กลัวเขา
ความกลัวที่แขนถูกหักยังคงฝังใจ เล่อจื่อกลัวจนแทบสิ้นสติ ไหนเลยจะกล้ามองเขา
ส่วนสาเหตุที่นางต้องนอนกับเขานั้น เป็นเพราะนางมีแผนการอยู่ในใจ
และแผนการนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ ในตอนนี้นางยังไม่อาจตัดสินได้...
แม้จะหลับตาแน่น แต่เล่อจื่อก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงของฮั่วตู้ ขนตายาวของนางสั่นระริก แต่ไม่นานก็หยุดนิ่ง...
เพราะฮั่วตู้ได้แตะจุดหลับของนาง
เขาโบกมือขึ้น ม่านเตียงทั้งสองข้างก็ถูกปัดออก แสงเทียนส่องเข้ามา ทำให้พวงแก้มขาวผ่องของเล่อจื่อดูเปล่งปลั่ง
ฮั่วตู้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ช่างเป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่ง
น่าเสียดาย ที่เป็นของฮั่วซู่
เขายกยิ้มมุมปาก วางฝ่ามือลงบนลำคอขาวของเล่อจื่อ เพียงออกแรงเล็กน้อย นางก็จะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก
นิ้วมือเย็นเฉียบค่อยๆยื่นออกไป แต่ฮั่วตู้ก็หยุดชะงัก
หากบิดคอ หัวก็จะเอียง
ความตายของหญิงงาม ไม่ควรน่าเกลียด
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงวิธีการตายที่งดงาม
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแมวร้องดังขึ้น
…
ก้อนสีขาวบริสุทธิ์กระโดดขึ้นบนเตียงแต่งงานอย่างชำนาญ ทว่า ขาหลังขวาของมันดูอ่อนแรงจนเกือบล้มลงก่อนจะทรงตัวบนเตียงได้...
ดวงตาสีดำเข้มไร้แววของฮั่วตู้สะท้อนแววตกใจออกมาอย่างเล็กน้อย เขายื่นมือไปคว้าก้อนขนสีขาวนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เจ้าแมวขนฟูตกใจจนขนตั้งชันทั้งตัวแล้วร้อง
"เหมียว เหมียว เหมียว" อย่างต่อเนื่อง
"เจ้าไม่ระวังเอง แล้วยังกล้าจะโกรธอีกหรือ?" ฮั่วตู้จิ้มศีรษะมันเบาๆ พร้อมดุเสียงเบาๆ
ก้อนขนสีขาวเงยหน้าขึ้นในที่สุด เผยให้เห็นดวงตาแมวกลมโตใสซื่อที่ดูไร้เดียงสา
มันคือแมวเปอร์เซียสีขาว
ฮั่วตู้มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะฉุกคิดอะไรบางอย่าง ดวงตาเขาต่ำ ลง และเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
"ข้าเคยบอกแล้วว่ามันเป็นของเล่นของเจ้า ชีวิตหรือความตายก็คงอยู่ในกำมือของเจ้า"
เมื่อพูดจบ เขาก็โยนก้อนขนขาวนั้นไปทางเล่อจื่อ ก่อนจะจ้องดูปฏิกิริยาของมันอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้น เจ้าแมวตัวน้อยมองหน้าเล่อจื่อด้วยความอยากรู้ จากนั้นก็เอียงตัวเข้าหาแขนของนาง แล้วใช้หน้าไถไหล่นางเบาๆ เมื่อเห็นว่าคนที่นอนหลับไม่ตอบสนอง มันก็หาวออกมาอย่างเกียจคร้าน แล้วซุกตัวพิงไหล่นางเพื่อหลับตา...
เห็นเช่นนั้น สีหน้าฮั่วตู้ก็ฉายแววประหลาดใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เจ้าสิ่งนี้ไม่เคยเข้าใกล้คนแปลกหน้า แต่ครั้งนี้กลับยอมนอนข้างเล่อจื่ออย่างว่าง่าย...
เขายื่นปลายนิ้วแตะหัวของมันเบาๆ พร้อมเย้ยหยันว่า
"เจ้าแมวน้อยไร้อนาคต"
สักพักเขากระซิบ "เอาเถอะ"
กลางดึกในคืนฤดูหนาว ความอบอุ่นไม่มีเหลืออยู่ในห้องนอนเลยแม้แต่น้อย
ความเย็นแทรกซึมถึงกระดูก ทว่าภายในห้องกลับไม่มีเตาผิงให้ความอบอุ่นแม้แต่เตาเดียว
ก้อนขนสีขาวที่กำลังนอนหลับอยู่ตัวสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮั่วตู้จึงหยิบผ้าห่มแต่งงานที่อยู่ข้างเตียงมาคลุมให้ มันเป็นผ้าห่มขนาดใหญ่ ที่เพียงใช้คลุมตัวเล็กๆ ของมันก็เหลืออีกมาก และส่วนที่เหลือนั้นก็คลุมลงบนตัวเล่อจื่อโดยไม่ตั้งใจ...
ในช่วงเวลาที่นางอยู่ในแคว้นฉีนี้ เล่อจื่อไม่เคยหลับสนิทได้เลยสักคืน เมื่อใดที่หลับตา ภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งเข้ามาในจิตใจอย่างไม่หยุดหย่อน...
นางนอนไม่หลับ และยิ่งกลัวการหลับใหล
แต่การหลับใหลครั้งนี้ เล่อจื่อกลับหลับสนิทและยาวนาน ไร้ความฝันตลอดทั้งคืน
ท้องฟ้าสว่างไสว แสงแดดอบอุ่นสาดส่องผ่านหน้าต่าง ลูบไล้เปลือกตาของเล่อจื่อ... เปลือกตาสั่นไหวเล็กน้อย นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น...
ดวงตาพร่ามัว
ทันใดนั้น ก็มีความรู้สึกนุ่มฟูที่ลำคอ เล่อจื่อหันไปมอง เห็นก้อนขนสีขาวราวกับหิมะกำลังคลอเคลียอยู่ที่คอของนาง...
เมื่อเห็นนางตื่น ก้อนหิมะก็หยุดนิ่ง จ้องมองนางด้วยดวงตากลมโต
เล่อจื่อกระพริบตา ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ยกมือขึ้นลูบหัวเล็กๆ ของมัน
"เจ้ามาจากไหนกัน"
"เมี้ยว~"
หลังจากก้อนหิมะเอาหัวถูฝ่ามือของเล่อจื่อแล้ว มันก็กระโดดลงจากเตียง เดินกะเผลกออกไป...
"อะไรนะ" เล่อจื่อลุกขึ้นยืน รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง นางพึมพำเบาๆ
"ขาเจ็บหรือ..."
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เล่อจื่อก็นึกขึ้นได้ นางรีบยกแขนขึ้น
แขนของนางถูกต่อตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อสติค่อยๆ กลับคืนมา เล่อจื่อก็มองไปรอบๆ ห้องนอนที่กว้างขวางและไม่คุ้นเคย เทียนแดงคู่ใหญ่บนโต๊ะแต่งงานดับลงแล้ว แสงแดดนอกหน้าต่างยิ่งสว่างจ้าขึ้นเรื่อย ๆ แต่กลับไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากด้านนอก
นางหันไปมองบนเตียง
ฮั่วตู้อยู่ที่เดิม
เขาเอนกายพิงหมอนอิง ในมือยังคงถือหนังสือเล่มเดิมจากเมื่อคืน
เล่อจื่อมองไปที่ขาข้างขวาของเขาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น นางตื่นสายเช่นนี้ ฮั่วตู้มีร่างกายที่เดินไม่สะดวก แถมยังนอนอยู่ด้านใน คงจะลงจากเตียงไม่ได้กระมัง
ด้วยอุปนิสัยเย็นชาเช่นนี้ เขาคงไม่ผลักนางตกเตียงหรอกกระมัง...
เล่อจื่อรีบร้อนลุกขึ้น ส่งมือเข้าไปพยุง พร้อมกล่าวอย่างจริงใจ
"ขออภัยเพคะ หม่อมฉันทำให้ฝ่าบาทต้องรอนาน"
ฮั่วตู้ลืมตาขึ้น วางหนังสือลงด้วยสีหน้าบึ้งตึง มองฝ่ามือของนาง ก่อนจะยิ้มเยาะ
"อย่างไรหรือ พระชายาคิดว่าคนพิการลงจากเตียงเองไม่ได้รึ"
เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของเล่อจื่อ นางกลัวว่าจะไปแตะต้องข้อห้ามของเขา จนลืมเอามือกลับ
แต่ในวินาทีต่อมา ฮั่วตู้ก็วางฝ่ามือลงบนแขนของนางเบาๆ
"ลงเองไม่ได้จริงๆ"
เล่อจื่อพยุงเขาลงจากเตียง ส่งไม้เท้าหยกขาวให้
ฮั่วตู้ใช้ไม้เท้าพยุงตัวลุกขึ้นยืน ยิ้มให้เล่อจื่ออย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำ...
เมื่อเขาออกมา ก็เปลี่ยนเป็นชุดคลุมผ้าซาตินสีขาวนวล ลายดอกชบาที่ชายแขนเสื้อปักอย่างประณีตงดงาม ยิ่งขับให้เขาดูสง่างาม
จนกระทั่งเขาเดินออกจากห้องนอน เล่อจื่อจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางกางฝ่ามือออก เหงื่อซึมเล็กน้อย
ไม่นาน หลี่เหยาก็มารับใช้ให้นางล้างหน้าแต่งตัว ขณะที่ หลี่เหยากำลังเกล้าผม ท้องของนางก็ร้องขึ้นมา
ตั้งแต่เมื่อวาน เล่อจื่อดื่มเพียงน้ำแกงลูกแพร์กับซุปถั่วแดงเท่านั้น
"คุณหนูคงจะหิวแล้ว" หลี่เหยาช่วยนางสวมรองเท้า ก่อนจะพยุงนางขึ้น
"บ่าวจะพาไปที่ห้องอาหารเพคะ"
ที่ตำหนักตะวันออก มีนางกำนัลน้อยใหญ่รายล้อมอยู่
เสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะ ตรงกลางมีนางกำนัลสูงวัยคนหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวัย นางถือถ้วยชาในมือ สีหน้าเย็นชา ไม่พูดจา
จนกระทั่งมีนางกำนัลตัวน้อยวิ่งมาจากที่ไกลๆ
"จิงซิน มีเรื่องอะไร" หลี่มาม่าเอ่ยถาม น้ำเสียงแข็งกร้าว
นางกำนัลที่ชื่อจิงซินหน้าแดงก่ำ หอบหายใจถี่ๆ นางก้มหน้าลงกล่าว
"ดู ดูให้ชัดเจน..."
ลมหายใจของนางไม่สม่ำเสมอ เสียงพูดราวกับเสียงยุง
"ว่ามาเร็วๆ สิ!" นางกำนัลในชุดสีเหลืองอ่อนข้างๆ ยื่นมือไปคว้าแขนจิงซิน พูดอย่างเฉียบขาด
นางบีบแรงจนตาของจิงซินแดงก่ำ จิงซินสะบัดแขนตอบ
"ขาวสะอาดเหมือนใหม่"
"ฮ่าๆๆ!" นางกำนัลคนนั้นหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะปล่อยมือจากแขนจิงซิน จิงซินรีบถอยหลังสองก้าวเพื่อหนีห่างจากนาง
"มาม่า ข้าบอกแล้วว่าองค์หญิงผู้นี้เอาตัวไม่รอด! ดูสิ องค์ชายรัชทายาทไม่แตะต้องนางเลย!"
"ใช่แล้ว! มาม่า ข้าว่านางได้แค่ชื่อพระชายา แต่ไม่มีวันเปลี่ยนสถานะของฝ่าบาทได้หรอก"
เหล่านางกำนัลต่างพูดจาประจบสอพลอ
หลี่มาม่าจิบชา มุมปากมีรอยยิ้มเหยียดหยาม
"ดูเหมือนข้าจะคิดมากไปเอง"
นางหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
"คนแก่แล้วไร้ประโยชน์ กังวลไปเสียทุกเรื่อง..."
เมื่อเห็นดังนั้น เหล่านางกำนัลก็เข้าใจ ต่างก็พูดจาเอาใจ
หลี่มาม่ายิ้มด้วยความพึงพอใจ ก้อนหินในใจค่อยๆ เลื่อนหายไป
นางอยู่ในวังหลวงมานานหลายสิบปี เป็นผู้ดูแลตำหนักตะวันออกมากว่าสิบปี เรื่องนี้ช่างเลวร้ายนัก
องค์ชายรัชทายาทประทับอยู่ที่ตำหนักภายนอกพระราชวังเป็นเวลานาน ไม่ค่อยเสด็จมาที่ตำหนักตะวันออก
ในตำหนักตะวันออก นางแทบจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้กับองค์ชายรัชทายาท นางก็ตื่นตระหนก พระชายาเข้าสู่ตำหนักตะวันออก หลังจากงานแต่งงานก็คงจะประทับอยู่ที่นี่ หากเป็นเช่นนั้น อำนาจการดูแลตำหนักตะวันออกก็ต้องตกเป็นของพระชายา
นางเคยชินกับอำนาจที่อยู่ในมือ บัดนี้ต้องส่งมอบให้ผู้อื่น
นางจะยอมได้อย่างไร!
โชคดีที่พระชายาผู้นี้มิได้มีชาติกำเนิดสูงส่ง เป็นเพียงองค์หญิงของแคว้นที่พ่ายแพ้ ครอบครัวก็ไร้อำนาจ ไม่ได้ดีไปกว่าพวกนางเท่าใดนัก
ศักดิ์ศรีของสตรีในวังหลวง ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอำนาจของครอบครัว
ถึงกระนั้น เมื่อนางส่งคนไปสืบ ก็ได้รู้ว่าองค์หญิงแห่งแคว้นหลี่มีรูปโฉมงดงามราวกับนางฟ้า...
นางร้อนใจอีกครั้ง
หากองค์ชายรัชทายาททรงโปรดปราน ก็คงจะแตกต่างออกไป แม้ครอบครัวจะไร้อำนาจ แต่พระชายาก็มีองค์ชายเป็นที่พึ่ง
ส่วนนางเป็นแค่บ่าวไพร่ จะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร
แต่ขาวสะอาดเหมือนใหม่...
ในคืนแต่งงาน องค์ชายรัชทายาทไม่แตะต้องนาง แสดงว่าคงจะรังเกียจนางมาก
ในที่สุด นางก็วางใจ
"มาม่า มาม่า" นางกำนัลเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"ต่อไปพวกเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ"
"ตอนนี้พระชายาอยู่ที่ไหน" นางมองไปที่จิงซิน
จิงซินที่ก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
"ตอนที่บ่าวออกมา พระชายายังแต่งตัวอยู่เพคะ ตอนนี้น่าจะกำลังไปที่ห้องอาหาร"
"เช่นนั้น พวกเราก็ต้องเตรียมอาหารเช้าให้อิ่มหนำสำราญสิ!"
เหล่านางกำนัลต่างตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจ พวกนางปิดปากหัวเราะคิกคัก
ดูเหมือนว่ามาม่าจะวางแผนจะข่มพระชายาองค์ใหม่เสียแล้ว
นางแค่อยากจะแนบชิดเขา ไม่อยากปล่อยมือ...เมื่อร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าสู่ความมืดมิด ร่างกายก็เหมือนถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกแช่ในน้ำแข็ง อีกส่วนหนึ่งตกลงไปในกองเพลิง แต่ความคิดของเล่อจื่อกลับแจ่มชัด...ท่ามกลางความร้อนและความหนาว ร่างกายของนางถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย นางแนบชิดอกของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย รวมตัวกันที่หัวใจที่เต้นผิดจังหวะ ค่อยๆ สงบลงคนโง่...แม้จะมีพลังภายในสูงส่งเพียงใด ก็ไม่ควรใช้อย่างไม่ระมัดระวังเล่อจื่ออยากจะห้ามเขา จึงพยายามจะเอ่ยปาก แต่กลับพบว่า นางส่งเสียงไม่ออก หากนางจำไม่ผิด ไข้ลมพิษร้าย ทำให้เกิดอาการพูดไม่ได้เช่นนั้น นางจะพูดไม่ได้อีกแล้วหรือทันใดนั้น ริมฝีปากอุ่นๆ ก็ทาบทับลงมา แนบริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับปลอบโยน และลูบไล้ไปพร้อมๆ กัน ท่ามกลางความเจ็บปวดและชาหนึบ นางรู้สึกถึงริมฝีปากของเขาที่กำลังจูบความเจ็บปวดค่อยๆ บรรเทาลง เล่อจื่อรู้สึกเพียงว่า ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าบางๆ ติดผิวหนัง เหนียวเหนอะหนะ นางรู้สึกว่
ภายในห้องเงียบสงัด แม้แต่เสียงน้ำตาที่หยดลงบนหน้าตักก็ยังได้ยินอย่างชัดเจนเล่อจื่อยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วหันไปจุดเทียนสีแดงบนโต๊ะ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ"ฝ่าบาทไม่ควรมา"ฮั่วตู้ไม่พูด สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน แต่มือที่จับไม้เท้าหยกขาวกลับกำแน่น จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะอย่างช้าๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากกองกระดาษมากมาย..."เสิ่นหวยยังคงต้องใช้แผนการนี้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาทมาก" เล่อจื่อเห็นว่าเขาหยิบแผ่นไหนขึ้นมา จึงอธิบายแผนการของนางเบาๆ"และหากท่านต้องการดึงเสิ่นหวยมาเป็นพวก ต้องเริ่มจากเสิ่นชิงเหยียน ฝ่าบาทสามารถ..."กระดาษทั้งแผ่นถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในมือของฮั่วตู้ ร่วงหล่นลงพื้น มองไม่ออกว่าเขียนอะไรไว้ เล่อจื่อเบิกตากว้าง รู้สึกโกรธ คำพูดทั้งหมดที่อยากจะพูดถูกปิดกั้น"เหตุใดจึงไม่บอก" ฮั่วตู้นั่งลง หันหน้าเข้าหานาง ดวงตาคมจ้องมองนาง รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่านางไม่พูด เขาก็เบนสายตาไปที่กระดาษที่เหลืออยู่บนโต๊ะ กวาดตามอง...หืม นี่อะไรกัน จดหมายลาตาย?และเมื่อครู่ น้ำเสียงของ
จิงซินที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจกับโทสะของฮั่วตู้ นางมองแผ่นหลังตรงของคุณหนู นึกถึงความร้อนผิดปกติจากแขนของคุณหนูตอนที่พยุงเมื่อครู่ ยิ่งรู้สึกกังวลใจนางอยากพยุงคุณหนูไปพักผ่อนที่ห้อง แต่ฝ่าบาทยืนขวางทางอยู่ ทั้งสองต่าง ไม่มีใครยอมหลีกทาง...เอาไงดี!นางเหลือบมองอันซวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฝ่าบาท พบว่าเขาก็กำลังมองนางอยู่เช่นกัน นางอดตกใจไม่ได้ท่านอันซวน... จิงซินจำได้ว่าช่วงนี้นางยุ่งมาก จึงมักบังเอิญเจอท่านอันบ่อยๆ แม้ท่านอันจะไม่ค่อยพูด แต่ก็ช่วยนางไว้มากมาย นางจึงทำขนมไปขอบคุณเขาเป็นครั้งคราวนางคิดว่า นางกับอันซวนก็นับว่ามีความสัมพันธ์ฉันมิตรใช่หรือไม่?นางจึงลองส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอันซวนอันซวนเข้าใจความหมายของนางในทันที ใบหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ในใจกลับปั่นป่วนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ก่อนที่นางจะความจำเสื่อมจนถึงตอนนี้ นางลืมทุกอย่าง แม้ในยามยากลำบากที่สุด จิงซินก็ไม่เคยขอร้องใคร...นี่เป็นครั้งแรกอันซวนไม่อาจปฏิเสธที่จะช่วยนางได้เขาก้าวไปข้างหน้า กราบทูลฝ่าบาทผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้ "ถอยไป..."
ลมหายใจอุ่นๆ รินรด เล่อจื่อก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน จุมพิตของเขาร่วงลงบนหน้าผากของนาง...แผ่วเบา ทิ้งไว้เพียงความอบอุ่นแม้ในห้องจะมีเตาผิง แต่ยามค่ำคืนอากาศก็ยังคงหนาวเย็น ฮั่วตู้โอบกอดเล่อจื่อเบาๆ นอนลงเคียงข้างกัน แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมกายทั้งสอง ผ้าห่มในวัดค่อนข้างหยาบ ไม่นุ่มนวลเหมือนในจวน เล่อจื่อพลิกตัว ขมวดคิ้วเล็กน้อยผ้าห่มหยาบเสียดสีกับลำคอ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อเห็นดังนั้น ฮั่วตู้จึงดึงผ้าห่มออกจากตัวนาง จ้องมองลำคอขาวเนียน เพียงชั่วครู่ ผิวขาวผ่องก็แดงระเรื่อ เขาไม่ลังเลที่จะถอดเสื้อคลุมสีแดงเข้มออก คลุมลำคอที่โผล่พ้นผ้าห่มของนาง ก่อนจะห่มผ้าให้เรียบร้อยเสื้อผ้าของเขาคลุมกายนาง กลิ่นหอมคุ้นเคยอบอวลอยู่ปลายจมูก ทำให้นางรู้สึกเคลิบเคลิ้ม... แต่นางไม่อยากคิดถึงสาเหตุที่ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้นเล่อจื่อหลับตาลงเบาๆ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางครุ่นคิดถึงเรื่องของเสิ่นชิงเหยียน นางร่ายแผนการทั้งหมดในใจออกมา แล้วเปรียบเทียบอย่างรอบคอบ"...แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ หากเสิ่นชิงเหยียนเปลี่ยนใจกลางคัน พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ..."
ม่านเตียงทิ้งตัวลง ปิดบังร่างสองร่างที่แนบชิด เล่อจื่อผละออกจากอ้อมกอดของฮั่วตู้ หายใจหอบปร่า ดวงตาเหลือบไปเห็นปลายขาของทั้งสองที่แนบชิดกัน ผ่านเนื้อผ้าบางเบานางสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายเย็นเยียบของเขา ก่อนจะยกนิ้วมือขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเผลอไผล ความอบอุ่นจากจุมพิตยังคงติดตรึงอยู่"ยังคงรำลึกถึงรสจุมพิตอยู่รึ" เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเย้าหยอกเล่อจื่อหันไปมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ เขาก็กำลังจ้องมองนางเช่นกัน แถมยังเลียนแบบนาง ยกนิ้วมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอีกด้วยช่าง.. เจ้าเล่ห์นัก!"วันนี้ชดใช้หนี้หมดแล้วหรือยังเพคะ" นางเม้มริมฝีปาก แก้มแดงระเรื่อ เอื้อมมือไปคว้าชายแขนเสื้อของเขา ดึงเบาๆ"ฝ่าบาท กลับมาเถิดเพคะ!"ฮั่วตู้จ้องมองนาง ความขัดเขินของนางทำให้เขาพึงพอใจยิ่งนัก รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าคมคายเขาจับมือนางไว้ ดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "ไล่ข้าไปรึ"เล่อจื่อวางมือบนอกเขา พยายามผลักออก แต่เมื่อรู้ว่าไร้ผล นางจึงยอมแพ้"หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าไล่ฝ่าบาทเพคะ" นางพูดอย่างงอนๆเขามักจะเอ
เสิ่นชิงเหยียนกลับไร้อารมณ์ นางจัดปกเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย แล้วนั่งลง จากนั้นก็ยิ้มให้เล่อจื่อที่กำลังตกตะลึง"เจ้าเห็นชัดเจนแล้วหรือ นี่คือคนที่เจ้าคอยช่วยเหลือ"เล่อจื่อรู้สึกตัว ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ฮั่ว... ฮั่วซู่ทำหรือ"รอยแดงเข้มเหล่านั้นน่าตกใจ ดูไม่เหมือนถูกตี...แต่ทำไมถึงดูคุ้นๆความทรงจำผุดขึ้นในหัว เล่อจื่อนึกถึงหนังสือที่แม่นมนำมาให้นางดูก่อนวันแต่งงาน... ในนั้นวาดภาพมากมาย ล้วนบิดเบี้ยวและน่าเกลียด ทำให้นางหวาดกลัวในคืนแต่งงานร่องรอยบนร่างกายของผู้หญิงในหนังสือเล่มนั้นคล้ายกับรอยแดงบนตัวของเสิ่นชิงเหยียนมากดังนั้น ไม่ใช่ถูกตี แต่ถูกทารุณตอนร่วมรัก..."ในเมื่อเจ้ากับข้าต่างก็แต่งงานแล้ว ย่อมต้องเข้าใจเรื่องบางเรื่อง" เสิ่นชิงเหยียนแสยะยิ้มอย่างดูถูกตัวเอง จากนั้นก็มองเล่อจื่อ"ข้าตาบอด แต่เจ้า..."ในแววตาของเสิ่นชิงเหยียนเต็มไปด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจความแค้นจากการทำลายล้างแค้วนและการฆ่าล้างตระกูล ในสายตาขององค์หญิงแห่งแคว้นหลี่คนนี้ นางเทียบไม่ได้กับผู้ชายคนหนึ่งหรือแต่...นางม