“ท่านย่า ท่านย่าขอรับ ข้ากลับมาแล้ว”
เสียงตะโกนที่ดังลั่นมาแต่ไกลทำให้นางหูถึงกับสะดุ้ง มือเหี่ยวย่นเกือบจะปล่อยหม้อที่ถือไว้หลุดจากมือ นางหันหน้าไปมองหลานชายและเอ่ยเสียงดุ
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงส่งเสียงดังนักเล่า ย่าเกือบทำหม้อหลุดมือ”
“ท่านย่า ข้ามีของดีมาฝากขอรับ”
จางอี้หมิงวางตะกร้าผักบนพื้น เขาก้มลงหยิบสิ่งที่ถือไว้ออกมา มันเป็นห่อขนาดไม่ใหญ่นัก ทำมาจากใบไม้ใหญ่ซ้อนกัน มือเล็ก ๆ คลายออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แม้จะเก็บมาเพียงเล็กน้อย แต่เขามั่นใจว่านางหูไป๋หงต้องพอใจอย่างแน่นอน อี้หมิงยื่นมันให้ท่านย่าดูพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะสิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่คำชมอย่างที่ตนหวัง แต่เป็นเสียงดุยกใหญ่
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเก็บสิ่งใดมา ย่าไม่เห็นรู้จัก เอาผักป่ามาให้ย่าได้แล้ว”
“ท่านย่า ท่านไม่รู้จักสิ่งนี้หรือขอรับ”
“มันคืออะไรเล่า”
“มันคือผำหรือไข่น้ำขอรับ นำมาทำน้ำแกง ผัดใส่ไข่ อร่อยมากเลยขอรับ ข้าเก็บมานิดเดียว เพราะว่ากลัวตกลงไปในบึง รอบหน้าข้ารบกวนท่านย่าไปเก็บให้ข้าหน่อยได้ไหมขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าเจ้าเดินออกนอกเส้นทางไปทางบึงน้ำ มันอันตรายมาก ครั้งหน้าเจ้าห้ามไปคนเดียว เข้าใจที่ย่าบอกหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ต่อไปข้าจะไม่ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงอีก ข้ายังมีผักอีกอย่างนะขอรับ ท่านย่าพอจะรู้จักผักชนิดนี้หรือไม่”
จางอี้หมิงคอตกและวางห่อไข่น้ำลงบนพื้น เขาหยิบผักอีกชนิดออกมา มันเป็นผักที่มีลักษณะเป็นปล้อง เส้นยาว ใบและลำต้นออกสีเขียว ผู้คนนิยมนำมารับประทานไม่น้อย เด็กน้อยยื่นให้ท่านย่าดูพลางจ้องมองด้วยดวงตาใสซื่อ นางหูต้องรู้จักแน่
“มันมิใช่หญ้าหรือหมิงเอ๋อร์”
ผิดคาด...ท่านย่าไม่รู้จักผักชนิดนี้หรอกหรือ
“หญ้าหรือขอรับ” อี้หมิงเอียงคอ “เหตุใดท่านย่าจึงบอกว่ามันคือหญ้าขอรับ”
“ไม่มีใครเอาต้นนี้ไปทำอาหาร” นางหูตอบ “มันมีเยอะแยะตามลำธาร เจ้าคิดว่ามันกินได้หรือหมิงเอ๋อร์”
“ท่านย่า นี่เรียกว่าผักบุ้ง มันกินได้ขอรับ เอามาผัดไฟแดง อร่อยมากเชียวล่ะ”
“ผัดไฟแดงเป็นอย่างไรหรือ”
“ผัดไฟแดงคือการผัดผักบุ้งในน้ำมันด้วยไฟที่แรงมาก ๆ ขอรับ”
“การผัดคืออันใด แล้วน้ำมันคืออันใด” ท่านย่าขมวดเรียวคิ้ว “เจ้าพูดสิ่งใดกันหมิงเอ๋อร์”
“ห๊า!!! ท่านย่าไม่รู้จักน้ำมันสำหรับผัดหรือขอรับ”
หูไป๋หงส่ายหน้าเป็นคำตอบ ตั้งแต่นางเกิดมาจนอายุปูนนี้ ผ่านอะไรมามากมายแต่ไม่เคยได้ยินคำว่าผัดและน้ำมัน จางอี้หมิงถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง เขาหลุดมาอยู่ยุคไหนกันแน่ เหตุใดจึงยังไม่มีการทำอาหารด้วยน้ำมัน ยังไม่รู้จักการผัดหรือผักบุ้ง ในนิยายที่เขาเขียนมาหลายเรื่อง มันยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้
“หมิงเอ๋อร์ เราพักเรื่องผัก เรื่องผัดพวกนี้ไว้ก่อนดีหรือไม่ ย่าขอทำอาหารให้พ่อกับแม่ของเจ้าเสียก่อน ป่านนี้อาจจะหิวจนเป็นลมแล้วก็ได้” นางหูเอ่ยตัดบท ตอนนี้ลูกชายและลูกสะใภ้คงหิวแย่แล้ว ทำงานกันตั้งแต่เช้าจนตะวันขึ้นตรงหัว
“นี่ขอรับ ผักป่าที่ข้านำไปล้าง” เด็กน้อยหยิบตะกร้าผักขึ้นมาและยื่นให้ผู้เป็นย่า เขาไม่ลืมหยิบผักบุ้งแยกออกมาด้วย
จางอี้หมิงเดินไปดูว่าวิธีการทำอาหารที่ท่านย่าเอ่ยถึงว่าเป็นอย่างไร การทำงานเป็นคนขายอาหารตามสั่งดึงดูดให้เขาสนใจและอยากเรียนรู้การทำอาหารในยุคนี้ เผื่อจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย ไม่อยากจะคุย แต่รสมือของเขาเป็นเลิศไม่แพ้ใคร
นางหูต้มโจ๊กธัญพืชไว้รออยู่แล้วระหว่างที่หลานชายนำผักป่าไปล้าง เมื่อได้ผักที่สะอาดแล้ว นางจึงนำมาเด็ดให้สั้นลงแล้วใส่ลงไปในหม้อ ปิดฝา ทิ้งไว้ไม่นานก็ยกลงจากเตา จางอี้หมิงถึงกับตกใจจนตาโตที่ขั้นตอนในการทำมีแค่ต้มธัญพืชแล้วใส่ผักป่าลงไปเท่านั้น ไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรเลย
“ท่านย่าขอรับ เหตุใดถึงไม่มีเครื่องปรุงอันใดใส่ลงไปเลยเล่าขอรับ”
“เครื่องปรุงบ้านเราไม่มีหรอกหมิงเอ๋อร์ ครอบครัวเราไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องปรุง ได้แต่กินโจ๊กผักต้มแบบนี้แหละ”
ตายแล้วไอ้นนท์ นี่มันไม่ยากจนแล้ว แต่มันโครตจนเลยต่างหาก จนถึงขนาดที่ไม่มีอะไรจะกินแล้ว แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เขาจะโตกันล่ะ ว่าแล้วก็ก้มลงมองไปยังร่างกายที่ผอมแห้งของตนเอง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลงสังเวช
“เครื่องปรุงมีอันใดบ้างขอรับ”
“เกลือให้รสเค็ม น้ำตาลให้รสหวาน ซีอิ้ว เหล้า แล้วก็เครื่องเทศต่าง ๆ ใช้ปรุงรส หมิงเอ๋อร์ถามทำไมหรือ”
ยังดีที่มีซีอิ้ว นึกว่าจะไม่มีเครื่องปรุงรสอื่นแล้วนอกจากเกลือกับน้ำตาลเหมือนนิยายเรื่องอื่น
“เกลือ น้ำตาล ซีอิ้ว เครื่องเทศพวกนี้คงมีราคาแพงมากเลยใช่ไหมขอรับ บ้านเราถึงไม่มีแม้สักอย่าง”
“ใช่จ้ะ เครื่องปรุงมีราคาแพงมาก เกลือแพงที่สุด รองลงมาคือซีอิ้ว น้ำตาล แล้วก็เครื่องเทศต่าง ๆ” ท่านย่าพยักหน้า นางตอบไปด้วยท่าทางที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนนักแต่ในใจกลับปวดร้าว ยิ่งหลานชายเอ่ยถามด้วยความใสซื่อก็ยิ่งน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
“หมิงเอ๋อร์อยู่บ้านคนเดียวได้หรือไม่ ย่าจะเอาอาหารไปส่งให้บิดามารดาของเจ้าที่ไร่หัวหน้าหมู่บ้าน” หญิงชราเอ่ยถามพร้อมแย้มรอยยิ้มบาง ๆ นางตักโจ๊กใส่ภาชนะเพื่อเตรียมนำไปให้บุตรชายและสะใภ้
“ท่านย่า ข้าไปด้วยขอรับ ข้าอยากเห็นไร่และรอบ ๆ หมู่บ้าน” จางอี้หมิงอ้อน เขาไม่ยอมอยู่บ้านคนเดียวแน่ มันน่าเบื่อจะตายไป การออกไปข้างนอกเดินรอบ ๆ หมู่บ้านอาจจะทำให้เขามีหนทางที่จะหาอาหารและเงินเข้าบ้านได้ เพราะนิยายเรื่องไหน ๆ มันก็ต้องเข้าป่าหาอาหารกันทั้งนั้น
“ได้สิ” หูไป่หงมองหลาน “ไปกันเถอะ ป่านนี้พ่อแม่เจ้าคงรอนานแล้ว”
สองย่าหลานเดินทางไปที่ไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไป ใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งเค่อครึ่งก็ถึง นางหูจับมือหลานชายไว้ตลอดเวลา ในตอนแรกเด็กชายไม่ยินยอม เขาอายุขนาดนี้แล้ว สามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องจับมือถือแขนให้กลัวหลง แต่เพราะท่านย่าขู่ว่าจะไม่พาไปด้วย จางอี้หมิงจึงยอมแต่โดยดี
เดินจูงมือกันแบบนี้ก็อบอุ่นดีเหมือนกันแฮะ
ระหว่างทาง เด็กตัวน้อยเอ่ยถามถึงเรื่องราวในหมู่บ้านหลัวถงตั้งแต่เดินออกจากบ้านจนถึงไร่ที่จางอี้เทากับหลี่อ้ายทำงาน ท่านย่าเต็มใจตอบคำถาม นางเล่าเรื่องราวมากมายในขณะที่หลานชายก็เอ่ยถามไม่หยุด เสียงเจื้อยแจ้วจึงดังตลอดทาง
จากข้อมูลที่สอบถามมา จางอี้หมิงจึงได้ข้อสรุปว่าโลกใบนี้และหมู่บ้านหลัวถงเป็นโลกคู่ขนาน มีกลิ่นอายคล้ายประเทศจีน ไม่ว่าจะการแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรมต่าง ๆ เพียงแต่มีบางอย่างที่มันขัดกับความรู้ที่เขารู้มา
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของจางอี้หมิงทุกอย่าง กลยุทธ์นี้จางอี้หมิงอ่านเจอในนิทานพื้นบ้านท้องถิ่นของภาคอีสาน เขาจึงนำมาปรับใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของพ่อครัวหลวงนั้นเย่อหยิ่งและเขาจะต้องเร่งทำอาหารให้เสร็จโดยไว แล้วก็เป็นไปตามที่จางอี้ หมิงคาดไว้ เหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมเสร็จตั้งแต่ต้นยามอู่ (11.00 – 12.59) ซึ่งคณะผู้ตัดสินต่างก็อิ่มอาหารจากที่บ้านมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงชิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจางอี้หมิงจึงให้พ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้พร้อมในช่วงเวลานั้น คล้ายกับการขยับเวลาออกไป เมื่อเหลือเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย พวกเขาจึงเริ่มลงมือทำอาหาร ในชาติก่อนแค่เพียงไข่เจียวธรรมดา ถ้าต้องมาได้กลิ่นในยามที่หิวจัด กลิ่นของไข่เจียวก็หอม กระตุ้นต่อมอยากอาหารได้มากโข จางอี้หมิงจึงใช้ความจริงข้อนี้มาทำให้เกิดข้อได้เปรียบของเหลาซิ่งฝูแม้แต่แขกผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลองกับความอดอยาก พวกเขากินข้าววันละสามมื้อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมานานเสียจนเลยเวลามื้ออาหารกลางวันมาถึงยามเว่ยแล้ว ความหิวจึงมาเยือนได้ง่าย พอถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นไข่เจียวร้อ
เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ท่านลุงอู๋เจ๋อเริ่มทำการปรุงอาหารของเหลาอาหารซิ่งฝูทันที โดยรายการอาหารที่จางอี้หมิงเลือกใช้ในการแข่งขันนี้คือไข่ม้วนข้าวผัดกุ้ง เนื่องจากอู๋เจ๋อฝึกการทำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งมาตลอดหนึ่งเดือนนี้จึงมั่นใจว่าตนทำได้ดี แต่เมื่อต้องมาทำต่อหน้าเหล่าชาวบ้านชาวเมือง เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตนเอง จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยให้กำลังใจท่านลุงอู๋อีกที“ท่านลุงอู๋ ไม่ต้องตื่นเต้นนะขอรับ ทำตามที่เราฝึกกันมา ท่านลุงอู๋เก่งอยู่แล้ว ท่านทำได้แน่นอน”“หมิงหมิงน้อย การทำอาหารชนิดนี้มันยังไม่เคยมีมาก่อนนะ ข้ากลัวว่ามันจะสู้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำปักษาล่องลมเชียวนะ แล้วไข่ม้วนของเราจะสู้ได้หรือไม่”อู๋เจ๋อเปรยออกมาเบา ๆ หากเขาเป็นกรรมการก็คงให้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ชนะเช่นกัน“ท่านลุงอู๋มิเชื่อฝีมือข้าหรือขอรับ พวกเราต้องชนะแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทั้งปลอบใจและให้กำลังใจไปด้วยในคราเดียวในการทำไข่ม้วนสิ่งสำคัญคือการม้วนไข่ไม่ให้ขาดและไม่ติดหม้อ หากเป็นในยุคปัจจุบันอี้หมิงจะไม่มีความกังวลเ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามไก่นึ่งของทางเหลาอาหารเฟิ่งฟูก็สุกได้ที่ เล่อหยุนจึงทำการรมชาเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อคำนวณเวลาโดยประมาณแล้ว ฝั่งของเขาจะเสร็จก่อนเวลาที่กำหนดถึงหนึ่งชั่วยามการรมชาทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ก่อนทำการรมชา เล่อหยุนนำน้ำผึ้งผสมด้วยซีอิ๊วมาทาลงไปบนตัวไก่ที่นึ่งสุกแล้วเพื่อให้ตัวไก่มีสีสันสวยงาม หลังจากนั้นจึงนำข้าวสาร น้ำตาล และใบชาชั้นดีลงไปคั่วในหม้อจนน้ำตาลเริ่มละลาย เมื่อควันเริ่มลอยออกมาจึงนำหม้อนึ่งไก่ลงไปอบด้วย เขาใช้เวลาประมาณ 60 ลมหายใจ ก่อนจะยกหม้อลงจากเตาและทำการรมควันแบบนั้นไปอีกหนึ่งเค่อ เพียงเท่านี้ก็จะได้ปักษาล่องลมที่มีสีสันน่ากินและรสชาติล้ำเลิศแล้วเล่อหยุนตกแต่งอีกเพียงเล็กน้อย เขาทำการตัดชิ้นส่วนของปักษาล่องลมให้พอดีคำ ง่ายต่อการชิมของคณะผู้ตัดสิน นอกจากนำไปส่งให้กับคณะผู้ตัดสินแล้ว อาหารอีกหนึ่งชุดถูกนำไปขึ้นโต๊ะให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายได้ทดลองชิมเช่นกัน“ไก่ชิ้นนี้อร่อย นุ่ม หอมกลิ่นชาเมื่อกินกับข้าวร้อน ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว”“ในเมืองหน้าด่านเช่นนี้ เพียงอาหารที่อร่อยและใช้วัตถุดิบน้อย ก็เป็นสิ่งที่พ่อครัวต้องคิดถึงเช่นกัน ปักษาล่องลม ถือว่าได้คุ
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นทันทีที่เสียงประกาศจบลง บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูการแข่งขันของสองเหลาอาหารชื่อดังต่างพากันเงียบเสียงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการปรุงอาหารของผู้แข่งขัน หนิงอ๋องแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจจางอี้หมิงเมื่อเด็กน้อยเพียงหนึ่งเดียวก้มศีรษะคารวะทำความเคารพไปยังที่นั่งของแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายอดีตพ่อครัวหลวงอย่างเล่อหยุนเองก็ยิ้มย่อง รายการอาหารที่เขาเลือกนำมาปรุงในวันนี้คือ ปักษาล่องลม หรือ ไก่รมชา นั่นเอง ขั้นตอนการปรุงปักษาล่องลมนั้นก็ไม่ยุ่งยากวัตถุดิบน้อยอย่างแต่กลับมีรสชาติที่น่าทึ่ง เล่อหยุนใช้ไก่ทั้งตัว ล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าขาวซับน้ำให้ตัวไก่แห้งสนิท ตามด้วยสมุนไพรฮวาเจียว ขิง ต้นหอม ใส่ลงไปในตัวไก่เสร็จแล้วจึงกลัดด้วยไม้เสี้ยนเพื่อให้เครื่องเทศอยู่ในตัวไก่ไม่หลุดออกมาหลังจากนั้นใช้เกลือเม็ดมาทาทั่วทั้งตัวไก่แล้วตามด้วยพริกหอมฮวาเจียวอีกครั้ง ก่อนนำไปพักไว้ให้ตัวไก่ได้ดูดซับเอาเครื่องเทศเข้าไป ทางเหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมทั้งหมด 5 ตัว ในระหว่างที่รอหมักไก่ให้เข้าที่ พ่อครัวหลายคนของเหลาเฟิงฟู่ก็เดินมายืนชมพ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูพลางส่งเสียงเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด“อา
ดั่งสายลมพัดผ่าน สายน้ำมิเคยไหลกลับ กาลเวลาเคลื่อนคล้อยตามที่ควรจะเป็น เช้าวันนี้ในเมืองไห่ถังต่างคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวบ้าน คหบดี หรือข้าราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองไห่ถังเองหรือชาวเมืองใกล้เคียงบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน สมกับเป็นงานรื่นเริงประจำเมืองที่จะจัดขึ้นในทุกๆ ปีมีกลุ่มคนบางคนรับทายผลการพนันว่าเหลาอาหารไหนจะได้ตำแหน่งไปครอบครอง ถึงแม้ว่าจะมีการรับพนันแบบลับๆ ก็ตาม โดยเหลาอาหารเฟิงฟู่ยังคงเป็นที่นิยมของชาวเมือง เนื่องจากข่าวที่เหลาอาหารเฟิงฟู่ได้อดีตพ่อครัวหลวงมาเป็นพ่อครัวในการลงแข่งขันนั้นถูกกระพือออกไปให้รู้กันถ้วนหน้า ในส่วนของเหลาอาหารซิ่งฝูถึงแม้ว่าระยะเวลาหนึ่งปีมานี้จะมีลูกค้าหนาแน่น อาหารน่ากินและแปลกใหม่ก็ตาม แต่ก็เหมือนการแบ่งแยกชนชั้นว่าเป็นเหลาอาหารของชาวบ้านมากกว่า จึงยังคงเป็นรองเหลาอาหารเฟิงฟู่อยู่ขั้นหนึ่งณ ลานกลางเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดการแข่งขันการทำอาหาร บัดนี้ถูกแบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง เจ้าเมืองได้เดินทางมาเป็นประจักษ์พยาน นอกจากนั้นยังมีหนิงอ๋อง อ๋องน้อยหนิงเทียน อาจารย์เทียน และพ่อครัวหลวงบางคนที่ท่านเจ้าเมืองได้เชิญมาเพื่อเป็นเกียรติแก่
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวจางที่มีงานรัดตัว อีกเพียงสามวันก็จะถึงวันแข่งขันทำอาหารเพื่อชิงตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่ง บรรดาเหลาอาหารเล็กๆต่างพากันถอนตัวออกไปมาก ด้วยพวกเขาทราบกันว่าพ่อครัวของเหลาอาหารเฟิงฟู่เป็นถึงอดีตพ่อครัวหลวง ผู้ซึ่งเคยประกอบสำรับถวายฮ่องเต้แคว้นฉินมาแล้ว หากดึงดันลงแข่งไปก็หาทางเอาชนะได้ยาก ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเหลาอาหารเฟิงฟู่และเหลาอาหารซิ่งฝูเท่านั้นในการจับไม้สั้นไม้ยาว เหลาอาหารเฟิงฟู่จะได้ทำอาหารก่อนและตามด้วยเหลาอาหารซิ่งฝู ผลการแข่งขันจะมาจากการให้คะแนนของชาวเมืองไห่ถังหนึ่งส่วน โดยให้ชาวเมืองนำเงินไปหย่อนลงในกล่อง หนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งคะแนน เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว เงินจำนวนนี้จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยไม่มีเงินหาหมอต่อไปและอีกหนึ่งส่วนเป็นการให้คะแนนจากพ่อครัวจากเหลาอาหารในเมืองหลวง จำนวน 5 ท่าน เมื่อนำคะแนนมารวมกันแล้วเหลาอาหารใดได้คะแนนมากที่สุด จะได้ขึ้นป้ายเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังต่อไปเกณฑ์การนับคะแนน สถานที่แข่งขัน และวันเวลาในการแข่งขัน ล้วนถูกประกาศออกไปทั้งหมดแล้ว ชาวเมืองต่างพากันอดใจรอไม่ไหวที่