“ท่านย่า ท่านย่าขอรับ ข้ากลับมาแล้ว”
เสียงตะโกนที่ดังลั่นมาแต่ไกลทำให้นางหูถึงกับสะดุ้ง มือเหี่ยวย่นเกือบจะปล่อยหม้อที่ถือไว้หลุดจากมือ นางหันหน้าไปมองหลานชายและเอ่ยเสียงดุ
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงส่งเสียงดังนักเล่า ย่าเกือบทำหม้อหลุดมือ”
“ท่านย่า ข้ามีของดีมาฝากขอรับ”
จางอี้หมิงวางตะกร้าผักบนพื้น เขาก้มลงหยิบสิ่งที่ถือไว้ออกมา มันเป็นห่อขนาดไม่ใหญ่นัก ทำมาจากใบไม้ใหญ่ซ้อนกัน มือเล็ก ๆ คลายออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน แม้จะเก็บมาเพียงเล็กน้อย แต่เขามั่นใจว่านางหูไป๋หงต้องพอใจอย่างแน่นอน อี้หมิงยื่นมันให้ท่านย่าดูพร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะสิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่คำชมอย่างที่ตนหวัง แต่เป็นเสียงดุยกใหญ่
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเก็บสิ่งใดมา ย่าไม่เห็นรู้จัก เอาผักป่ามาให้ย่าได้แล้ว”
“ท่านย่า ท่านไม่รู้จักสิ่งนี้หรือขอรับ”
“มันคืออะไรเล่า”
“มันคือผำหรือไข่น้ำขอรับ นำมาทำน้ำแกง ผัดใส่ไข่ อร่อยมากเลยขอรับ ข้าเก็บมานิดเดียว เพราะว่ากลัวตกลงไปในบึง รอบหน้าข้ารบกวนท่านย่าไปเก็บให้ข้าหน่อยได้ไหมขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ อย่าบอกนะว่าเจ้าเดินออกนอกเส้นทางไปทางบึงน้ำ มันอันตรายมาก ครั้งหน้าเจ้าห้ามไปคนเดียว เข้าใจที่ย่าบอกหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ต่อไปข้าจะไม่ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงอีก ข้ายังมีผักอีกอย่างนะขอรับ ท่านย่าพอจะรู้จักผักชนิดนี้หรือไม่”
จางอี้หมิงคอตกและวางห่อไข่น้ำลงบนพื้น เขาหยิบผักอีกชนิดออกมา มันเป็นผักที่มีลักษณะเป็นปล้อง เส้นยาว ใบและลำต้นออกสีเขียว ผู้คนนิยมนำมารับประทานไม่น้อย เด็กน้อยยื่นให้ท่านย่าดูพลางจ้องมองด้วยดวงตาใสซื่อ นางหูต้องรู้จักแน่
“มันมิใช่หญ้าหรือหมิงเอ๋อร์”
ผิดคาด...ท่านย่าไม่รู้จักผักชนิดนี้หรอกหรือ
“หญ้าหรือขอรับ” อี้หมิงเอียงคอ “เหตุใดท่านย่าจึงบอกว่ามันคือหญ้าขอรับ”
“ไม่มีใครเอาต้นนี้ไปทำอาหาร” นางหูตอบ “มันมีเยอะแยะตามลำธาร เจ้าคิดว่ามันกินได้หรือหมิงเอ๋อร์”
“ท่านย่า นี่เรียกว่าผักบุ้ง มันกินได้ขอรับ เอามาผัดไฟแดง อร่อยมากเชียวล่ะ”
“ผัดไฟแดงเป็นอย่างไรหรือ”
“ผัดไฟแดงคือการผัดผักบุ้งในน้ำมันด้วยไฟที่แรงมาก ๆ ขอรับ”
“การผัดคืออันใด แล้วน้ำมันคืออันใด” ท่านย่าขมวดเรียวคิ้ว “เจ้าพูดสิ่งใดกันหมิงเอ๋อร์”
“ห๊า!!! ท่านย่าไม่รู้จักน้ำมันสำหรับผัดหรือขอรับ”
หูไป๋หงส่ายหน้าเป็นคำตอบ ตั้งแต่นางเกิดมาจนอายุปูนนี้ ผ่านอะไรมามากมายแต่ไม่เคยได้ยินคำว่าผัดและน้ำมัน จางอี้หมิงถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง เขาหลุดมาอยู่ยุคไหนกันแน่ เหตุใดจึงยังไม่มีการทำอาหารด้วยน้ำมัน ยังไม่รู้จักการผัดหรือผักบุ้ง ในนิยายที่เขาเขียนมาหลายเรื่อง มันยังไม่มีเหตุการณ์แบบนี้
“หมิงเอ๋อร์ เราพักเรื่องผัก เรื่องผัดพวกนี้ไว้ก่อนดีหรือไม่ ย่าขอทำอาหารให้พ่อกับแม่ของเจ้าเสียก่อน ป่านนี้อาจจะหิวจนเป็นลมแล้วก็ได้” นางหูเอ่ยตัดบท ตอนนี้ลูกชายและลูกสะใภ้คงหิวแย่แล้ว ทำงานกันตั้งแต่เช้าจนตะวันขึ้นตรงหัว
“นี่ขอรับ ผักป่าที่ข้านำไปล้าง” เด็กน้อยหยิบตะกร้าผักขึ้นมาและยื่นให้ผู้เป็นย่า เขาไม่ลืมหยิบผักบุ้งแยกออกมาด้วย
จางอี้หมิงเดินไปดูว่าวิธีการทำอาหารที่ท่านย่าเอ่ยถึงว่าเป็นอย่างไร การทำงานเป็นคนขายอาหารตามสั่งดึงดูดให้เขาสนใจและอยากเรียนรู้การทำอาหารในยุคนี้ เผื่อจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย ไม่อยากจะคุย แต่รสมือของเขาเป็นเลิศไม่แพ้ใคร
นางหูต้มโจ๊กธัญพืชไว้รออยู่แล้วระหว่างที่หลานชายนำผักป่าไปล้าง เมื่อได้ผักที่สะอาดแล้ว นางจึงนำมาเด็ดให้สั้นลงแล้วใส่ลงไปในหม้อ ปิดฝา ทิ้งไว้ไม่นานก็ยกลงจากเตา จางอี้หมิงถึงกับตกใจจนตาโตที่ขั้นตอนในการทำมีแค่ต้มธัญพืชแล้วใส่ผักป่าลงไปเท่านั้น ไม่ได้ใส่เครื่องปรุงอะไรเลย
“ท่านย่าขอรับ เหตุใดถึงไม่มีเครื่องปรุงอันใดใส่ลงไปเลยเล่าขอรับ”
“เครื่องปรุงบ้านเราไม่มีหรอกหมิงเอ๋อร์ ครอบครัวเราไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องปรุง ได้แต่กินโจ๊กผักต้มแบบนี้แหละ”
ตายแล้วไอ้นนท์ นี่มันไม่ยากจนแล้ว แต่มันโครตจนเลยต่างหาก จนถึงขนาดที่ไม่มีอะไรจะกินแล้ว แล้วแบบนี้เมื่อไหร่เขาจะโตกันล่ะ ว่าแล้วก็ก้มลงมองไปยังร่างกายที่ผอมแห้งของตนเอง สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลงสังเวช
“เครื่องปรุงมีอันใดบ้างขอรับ”
“เกลือให้รสเค็ม น้ำตาลให้รสหวาน ซีอิ้ว เหล้า แล้วก็เครื่องเทศต่าง ๆ ใช้ปรุงรส หมิงเอ๋อร์ถามทำไมหรือ”
ยังดีที่มีซีอิ้ว นึกว่าจะไม่มีเครื่องปรุงรสอื่นแล้วนอกจากเกลือกับน้ำตาลเหมือนนิยายเรื่องอื่น
“เกลือ น้ำตาล ซีอิ้ว เครื่องเทศพวกนี้คงมีราคาแพงมากเลยใช่ไหมขอรับ บ้านเราถึงไม่มีแม้สักอย่าง”
“ใช่จ้ะ เครื่องปรุงมีราคาแพงมาก เกลือแพงที่สุด รองลงมาคือซีอิ้ว น้ำตาล แล้วก็เครื่องเทศต่าง ๆ” ท่านย่าพยักหน้า นางตอบไปด้วยท่าทางที่ไม่ได้ทุกข์ร้อนนักแต่ในใจกลับปวดร้าว ยิ่งหลานชายเอ่ยถามด้วยความใสซื่อก็ยิ่งน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
“หมิงเอ๋อร์อยู่บ้านคนเดียวได้หรือไม่ ย่าจะเอาอาหารไปส่งให้บิดามารดาของเจ้าที่ไร่หัวหน้าหมู่บ้าน” หญิงชราเอ่ยถามพร้อมแย้มรอยยิ้มบาง ๆ นางตักโจ๊กใส่ภาชนะเพื่อเตรียมนำไปให้บุตรชายและสะใภ้
“ท่านย่า ข้าไปด้วยขอรับ ข้าอยากเห็นไร่และรอบ ๆ หมู่บ้าน” จางอี้หมิงอ้อน เขาไม่ยอมอยู่บ้านคนเดียวแน่ มันน่าเบื่อจะตายไป การออกไปข้างนอกเดินรอบ ๆ หมู่บ้านอาจจะทำให้เขามีหนทางที่จะหาอาหารและเงินเข้าบ้านได้ เพราะนิยายเรื่องไหน ๆ มันก็ต้องเข้าป่าหาอาหารกันทั้งนั้น
“ได้สิ” หูไป่หงมองหลาน “ไปกันเถอะ ป่านนี้พ่อแม่เจ้าคงรอนานแล้ว”
สองย่าหลานเดินทางไปที่ไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไป ใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งเค่อครึ่งก็ถึง นางหูจับมือหลานชายไว้ตลอดเวลา ในตอนแรกเด็กชายไม่ยินยอม เขาอายุขนาดนี้แล้ว สามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องจับมือถือแขนให้กลัวหลง แต่เพราะท่านย่าขู่ว่าจะไม่พาไปด้วย จางอี้หมิงจึงยอมแต่โดยดี
เดินจูงมือกันแบบนี้ก็อบอุ่นดีเหมือนกันแฮะ
ระหว่างทาง เด็กตัวน้อยเอ่ยถามถึงเรื่องราวในหมู่บ้านหลัวถงตั้งแต่เดินออกจากบ้านจนถึงไร่ที่จางอี้เทากับหลี่อ้ายทำงาน ท่านย่าเต็มใจตอบคำถาม นางเล่าเรื่องราวมากมายในขณะที่หลานชายก็เอ่ยถามไม่หยุด เสียงเจื้อยแจ้วจึงดังตลอดทาง
จากข้อมูลที่สอบถามมา จางอี้หมิงจึงได้ข้อสรุปว่าโลกใบนี้และหมู่บ้านหลัวถงเป็นโลกคู่ขนาน มีกลิ่นอายคล้ายประเทศจีน ไม่ว่าจะการแต่งกาย ภาษา วัฒนธรรมต่าง ๆ เพียงแต่มีบางอย่างที่มันขัดกับความรู้ที่เขารู้มา
แคว้นที่เขาอาศัยอยู่นี้มีชื่อว่าแคว้นฉิน มีการปกครองด้วยองค์จักรพรรดิ เมืองหลวงมีชื่อว่า ซูโจว ที่นั่นเคยเป็นบ้านของเขาก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง ซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในเมืองไห่ถัง เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดนัก แม้แต่การเดินทางจากเมืองหลวงมายังหมู่บ้านหลัวถงเองก็ใช้เวลานานกว่าสิบวันขณะนี้ บ้านเมืองอยู่ในช่วงสงบศึกหลังสงครามเพียงแค่ สิบห้าปี อาหารจึงยังไม่เพียงพอ แรงงานยังคงขาดแคลน แต่ศิลปะการแสดงเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งสำหรับการเดินทางจากหมู่บ้านหลัวถงเข้าไปในเมืองไห่ถัง ใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งชั่วยาม หากเดินทางด้วยเกวียนจะใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นรถม้าหรือม้า ก็จะย่นระยะเวลาไปอีกครึ่งหนึ่งของการเดินทางด้วยเกวียนค่าแรงชาวบ้านทั่วไปขั้นต่ำอยู่ที่ยี่สิบอีแปะต่อวัน โดยคนจ้างไม่ได้เลี้ยงอาหาร ชาวบ้านกินอาหารวันละสองมื้อ คือมื้อแรกเวลาประมาณ ยามอู่ (11.00 – 12.59) มื้อสุดท้ายประมาณยามโหย่ว (17.00 – 18.59) การซื้อขายสินค้าจ่ายเป็นเงินตำลึง ครอบครัวจางไปรับจ้างทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแลกกับธัญพืชโดยไม่รับเงินค่าจ้างแต่อย่างใดค่าเงินหนึ่งพัน
เวลาสำหรับมื้ออาหารผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางหูและจางอี้หมิงจึงพาหลี่อ้ายกลับบ้าน เด็กน้อยบอกลาจางอี้เทาที่กำลังกลับไปทำงานตามปกติ พวกเขาเดินตามเส้นทางเดิม แต่เพราะขากลับมีคนป่วยมาด้วย การเดินทางจึงช้าลงไปเกือบเท่าตัว “หลี่อ้าย นอนพักตรงนี้ก่อน แม่จะไปเอาน้ำมาให้เจ้าดื่ม” หูไป๋หงเอ่ยกับลูกสะใภ้ นางให้หลี่อ้ายนั่งรอใต้ร่มไม้ก่อนจะเดินไปตักน้ำ พวกเขาเดินกันมาได้สักพักแล้ว จางอี้หมิงมองไปรอบ ๆ เมื่อไม่รู้ว่าตรงนี้คือที่ใดและเวลาใดจึงเอ่ยถาม“ท่านย่าขอรับ ตอนนี้ยามไหนแล้วขอรับ”“น่าจะยามเว่ย (13.00 – 14.59) นะหมิงเอ๋อร์ มีอะไรหรือ”“ข้าอยากขึ้นเขาไปหาผักป่าหรือของกินขอรับ ถ้าเรารีบไปตอนนี้อาจจะหาอะไรมากินได้บ้างก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน” “ไม่ได้นะหมิงเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาวันนี้ เหตุใดจึงดื้อรั้นอยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก รอให้บิดาของเจ้ากลับมาจากไร่เสียก่อน ถ้าบิดาเจ้าไม่อนุญาต ย่าก็ไม่อนุญาตเช่นกัน ตอนนี้มารดาเจ้าล้มป่วยอยู่คนหนึ่งแล้ว หากเจ้าต้องมาล้มป่วยอีกคน ครอบครัวเราคงรับไม่ไหวแน่” นางหูถึงกับปฏิเสธทันควัน สถานการณ์ตอนนี้เป็นดังคำที่นางว่า คร
นางหูและจางอี้หมิงช่วยกันเก็บผักบุ้งมาได้พอประมาณ ทั้งสองรีบกลับไปหาหลี่อ้าย ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังบ้านของตนเอง เพียงไม่นาน หัวหน้าครอบครัวก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมธัญพืชหยาบที่ได้จากการไปทำงานในวันนี้“ท่านแม่ เข้าบ้านก่อนเถอะขอรับ แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”จางอี้เทาเดินเอาห่อธัญพืชหยาบกับห่อเนื้อสัตว์วางไว้กลางบ้าน เขานั่งลงเพื่อพักผ่อนจากอาการปวดล้า จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำมาให้บิดา เขาไม่ลืมเอาผ้าเช็ดหน้าพร้อมขันน้ำใบเล็กมาด้วย“หมิงเอ๋อร์ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ขอบใจเจ้ามาก”“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ารักท่านพ่อ ท่านพ่อทำงานเหนื่อย ข้าอยากช่วยท่านพ่อทำงานขอรับ” “อาเทา นี่มัน....” นางหูที่เดินเข้าไปดูห่อผ้าถึงกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คือเนื้อสัตว์แน่ ๆ ถึงแม้ว่าจะมีส่วนเนื้อติดประปราย ที่เหลือมีแต่ไขมันเป็นส่วนมากก็เถอะ แต่ก็มีค่ามากนัก เนื้อชินนี้หากกะด้วยสายตาก็น่าจะประมาณเกือบห้าชั่ง“มีอะไรหรือเปล่าอาเทา”“วันนี้ทำงานที่ไร่วันสุดท้ายแล้วขอรับ พืชผลเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ท่านพี่เย่จ่ายค่าจ้างเป็นธัญพืชตามที่เราแจ้งไป แต่ท่านพี่เย่คงสงสารบ้านเรา จึงแบ่งเนื้อ
สองย่าหลานช่วยกันถือห่อธัญพืชและเนื้อเลวเดินเข้าไปในครัว นางหูคิดไม่ตกว่าเนื้อที่อุดมไปด้วยไขมันจะกลายมาเป็นเนื้อสวรรค์ได้อย่างไร เมื่อมาถึงที่หมาย จางอี้หมิงจึงบอกให้ท่านย่าทำตาม ด้วยขนาดตัวที่เล็กเท่าเด็กห้าขวบ จะให้มาทำอาหารก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แค่จะจับหม้อหรือกระทะ ก็ยกไม่ขึ้นแล้ว เขายังไม่อยากตายซ้ำสองเร็ว ๆ นี้หรอกนะ“ท่านย่า เตานี้สำหรับต้มโจ๊กธัญพืช ส่วนเตานี้ทำน้ำมันนะขอรับ ท่านย่าตัดเอาส่วนเนื้อออกไว้ก่อนนะขอรับ ส่วนวิธีทำง่ายมาก ขั้นแรกคือตั้งกระทะให้ร้อน ใช้ไฟแรง ๆ ในตอนแรก แล้วใส่ไขมันทั้งหมดลงไป เติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย เสียดายที่ไม่มีเกลือ แต่ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไรขอรับ แล้วค่อย ๆ คนให้ทั่ว ถ้าน้ำมันเริ่มออก เราจะเปลี่ยนไปใช้ไฟกลาง ต้องค่อย ๆ คน ป้องกันไม่ให้มันแตก ความร้อนจะทำให้ไขมันละลายออกมา เราจะเอาน้ำมันที่ออกมาจากไขมันนี้ไปทำอาหารขอรับ”“ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือหมิงเอ๋อร์”“ง่ายขนาดนั้นเลยขอรับท่านย่า แต่ว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเจียวน้ำมันออกมาจนหมด ท่านย่าอาจจะต้องเมื่อยมือหน่อยนะขอรับ ส่วนกากไขมันที่ได้ เราจะเอาไปใส่ในผัดผักบุ้งขอรับ” ได้ยินดังนั้น นางหูก็เริ่มทำการเจ
เช้าวันถัดมา หลังจากที่ตื่นนอนล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย จางอี้เทาซึ่งไม่ต้องไปทำงานในไร่ของหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว จึงเตรียมตัวขึ้นไปบนภูเขา เขาหวังจะได้ผักป่ามาไว้ทำอาหารและถ้าโชคดีอาจจะได้สมุนไพรมาขายเพื่อให้ครอบครัวมีเงินบ้าง“ท่านพ่อจะไปไหนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดา เขาเห็นจางอี้เทาถือมีดและแบกตะกร้าสานสะพายขึ้นหลังเตรียมตัวออกจากบ้าน“หมิงเอ๋อร์ พ่อจะขึ้นเขาไปหาผักป่า ถ้าโชคดีเราอาจจะได้สมุนไพรมาขาย” “ขึ้นเขาหรือขอรับ” จางอี้หมิงทวนคำก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไปด้วยขอรับ”“ไม่ได้ หมิงเอ๋อร์เพิ่งหายป่วยเมื่อวาน เจ้าไปกับพ่อไม่ได้” จางอี้เทารีบห้าม ลูกของเขาตัวเท่านี้จะไปสันทัดการปีนเขาได้อย่างไร หากผลัดตกหกล้มบาดเจ็บขึ้นมาจะแย่เอา“แต่ท่านพ่อขอรับ ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือขอรับว่าท่านเทพได้รักษาโรคให้ข้าแล้ว ตอนนี้ข้าแข็งแรงดี อีกอย่าง ข้าอาจจะเจอสมุนไพรหรืออาหารสวรรค์อีกก็ได้นะขอรับ” จางอี้หมิงรีบอธิบาย เด็กชายออดอ้อนบิดาตนเอง ในนิยายไม่ว่าจะเรื่องไหน ๆ ที่เขาหาข้อมูลมานักต่อนัก ส่วนมากแล้ว อาหารและสมุนไพรต่าง ๆ อยู่บนภูเขากันทั้งนั้น ดังนั้นจางอี้หมิงจะไม่ยอมพลาดโอกาสติดสอยหอยตามจางอี้เทาเด็ดข
“ท่านพ่อ เราสร้างบ้านได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักอีแปะขอรับ”“เจ้าว่าอย่างไรนะหมิงเอ๋อร์ มันจะเป็นไปได้ยังไง พ่อยังไม่เคยได้ยินว่าการสร้างบ้านไม่ต้องเสียเงินมาก่อน” จางอี้เทาถามกลับด้วยความตื่นเต้นจางอี้หมิงยกยิ้ม หลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน เขาเห็นสมควรที่จะต้องสร้างบ้านอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทนอากาศหนาวและหิมะที่กำลังจะมาถึง รวมทั้งเรื่องการตุนเสบียงและเชื้อเพลิงให้เพียงพอกับฤดูหนาวด้วยเขาค้นทุกรอยหยักในสมองเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้ค้นคว้ามาตลอดหลายปีในการรับจ้างหาข้อมูลให้นักเขียน จนเขาจำได้ถึงเรื่องการสร้างบ้านดินที่หลังคาทำด้วยไม้ไผ่ มันสามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ นับว่าตอบโจทย์ไม่น้อย แต่อีกปัญหานั่นคือแรงงาน ครอบครัวเขาไม่มีเงินแม้แต่อีแปะเดียว แล้วจะเอาเงินที่ไหนจ้างชาวบ้านให้มาช่วยสร้างบ้านดิน ถึงแม้ว่าวัสดุจะไม่ต้องซื้อ แต่แรงงานก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดีนอนคิดพลิกตัวไปแปดแสนล้านตลบ เขาก็หาคำตอบไม่ได้ แต่เมื่อครู่ท่านพ่อบอกว่า ถ้ายังเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ พวกเราคงไม่ลำบากเช่นนี้ ใช่แล้ว!! ท่านพ่อเคยเป็นอาจารย์ ท่านพ่อรู้หนังสือ แต่ชาวบ้านไม่รู้หนังสือ ถ้าท่านพ่อเสนอการสอนหนังสือให้ลูกหลา
“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้จักต้นพวกนั้นหรือขอรับ” อี้หมิงถามเสียงใส มือก็ชี้ไปที่เหล่ากอหญ้าขนาดไม่ใหญ่นัก“หมิงเอ๋อร์ พวกนั้นมันต้นหญ้าทั้งนั้น ไม่ใช่สมุนไพร ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ผักป่าและยังไม่ใช่ดอกไม้ด้วย ไม่มีใครกินมัน กลิ่นมันเหม็นเขียวและฉุน พ่อขึ้นเขามาก็เห็นแบบนี้ตลอด”“ท่านพ่อ มันคือต้นหญ้าหวาน มันให้รสหวานเหมือนน้ำตาลเลยขอรับ”“รสหวานเหมือนน้ำตาลเช่นนั้นหรือ”“ใช่แล้วขอรับ แต่ว่ามันต้องเอาไปตากแห้งก่อนแล้วนำไปต้มกับน้ำ มันจะกลายเป็นน้ำเชื่อม เราสามารถเอาไปทำอาหาร ทำขนม หรือชงดื่มเป็นชาได้ขอรับ ข้อดีอีกอย่างคือเก็บไว้ได้นาน” อี้หมิงเริ่มอธิบายอีกครั้ง “ท่านพ่อ น้ำตาลและเกลือในตลาดราคาเท่าไรหรือขอรับ”“ถ้าพ่อจำไม่ผิด น้ำตาลราคาจินละสี่สิบอีแปะ เกลือแพงมาก ราคาประมาณจินละหกสิบห้าอีแปะ”“แพงมากเลยขอรับ ท่านพ่อไปทำงานที่บ้านท่านลุงเย่ได้ค่าจ้างวันละยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง ข้าเข้าใจแล้วขอรับว่าเหตุใด บ้านเราถึงไม่มีเกลือหรือน้ำตาลกินเลย เพราะมันแพงเช่นนี้นี่เอง ถ้าข้าทำน้ำตาลผักออกมาขาย ท่านพ่อว่ามันจะขายได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าเอ่ยกับบิดา ดวงตามีไฟลุกวาวด้วยความตื่นเต้น “น้ำตาลผ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางหูได้ทำโจ๊กธัญพืชและผัดผักบุ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงบอกให้บิดานำต้นหญ้าหวานมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อนล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปตากแดด เสร็จแล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวมื้อแรกของวัน เว้นแต่หลี่อ้ายที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วย จางอี้เทาจึงนำโจ๊กไปป้อนให้ภรรยาถึงเตียงนอนหลังจากที่ตนเองกินเรียบร้อยแล้ว“เมื่อวานแม่ว่าผัดผักบุ้งอร่อยมากแล้ว วันนี้อร่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก” นางหูเอ่ยขึ้นมาหลังจากคีบผัดผักบุ้งเข้าปาก รสชาติมันอร่อยถูกปากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ“เพราะท่านย่ารู้จักการควบคุมไฟแล้วอย่างไรเล่าขอรับ รวมถึงรู้ว่าความสุกจะเอามากน้อยเพียงไหน ลองทำไปอีกสักสี่ห้าครั้ง ท่านย่าก็สามารถไปเป็นแม่ครัวหลวงได้สบายเลยขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างปากหวาน ย่าแค่พอทำได้ คนที่เก่งคือหมิงเอ๋อร์ต่างหากเล่า”“ข้าเก่งเช่นท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงยกความดีความชอบให้บิดาพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ หูไป๋หงและจางอี้เทาถึงกับหัวเราะออกมา นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวจางไม่ได้หัวเราะเสียงดังเช่นนี้ คงตั้งแต่ย้ายออกมาจากเมืองหลวงกระมัง“อาเทา แม่เห็นเจ้าตากอะไรกลางลานบ้าน เจ้าได้สมุนไพรมาเช
คุณชายรองจวนเจ้าเมืองไม่นึกสงสัยในคำบอกเล่าของเถ้าแก่หลินอีกแล้ว เมื่อเช้านี้ เถ้าแก่หลินไห่ได้ไปเชิญท่านพ่อและครอบครัวของเขาให้มาในการเปิดตัวอาหารชนิดใหม่ เห็นเถ้าแก่เล่าถึงความฉลาดและเรื่องราวของเด็กน้อยบนตักให้ทุกคนได้รับฟังด้วยความภูมิใจนักหนา เขายังแปลกใจปนสงสัยในความฉลาดเกินเด็กของหลานชายบุญธรรมเถ้าแก่ไม่น้อย แต่หลังจากที่ได้ยินข้อเสนอนี้แล้ว เขาก็ไม่สงสัยอีกต่อไปหวงห่าวหรานหันหน้าไปมองจางอี้เทา แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ความคิดความอ่านช่างดีนัก สามารถสอนบุตรชายให้เก่งกาจได้ถึงเพียงนี้ น่าคบหาเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว“พี่ชายอี้เทา ท่านช่างสอนหมิงหมิงน้อยได้ดียิ่งนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาเถ้าแก่หลินไห่เถอะ บอกว่าเจ้าแก้ไขปัญหาได้แล้ว และข้ายินดีทำตามที่เจ้าต้องการ จะทำเช่นไรนั้นค่อยปรึกษากันทีหลัง ดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยชมจางอี้เทา ก่อนก้มหน้ายอมรับข้อเสนอของเด็กน้อยบนตักตนเองด้วยรอยยิ้มสมแล้วที่เป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง เพียงได้ฟังคำบอกจากเขาก็เข้าใจได้ทั้งหมดจางอี้หมิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มกว้างตอบ ขยับตัวลงจากตักของคุณชายหวงแล้ววิ่งไปหาท่านปู่หลินทันที“ท่านปู่ขอรับ ท่านมีท
“เมื่อถึงคราวครบกำหนดส่งเครื่องบรรณาการ ทุกเมืองในแคว้นฉินจะต้องหาเครื่องบรรณาการที่ล้ำค่าที่สุดส่งเข้าไปให้กับเมืองหลวงเพื่อคัดเลือกเป็นสิ่งของล้ำค่า ราวกับเป็นตัวแทนแคว้นฉินส่งมอบให้กับแคว้นจ้าว หากเมืองไหนได้รับเลือก เมืองนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีที่จะต้องส่งให้กับเมืองหลวง และยังได้เงินอีกจำนวนหนึ่งเป็นของรางวัลด้วย เมืองไห่ถังมิเคยได้รับเลือกเป็นตัวแทนสักครั้ง ท่านพ่อจึงหวังว่าในครั้งหน้า เมืองไห่ถังจะได้รับเลือก”“ท่านเจ้าเมืองช่างเป็นคนดียิ่ง” จางอี้เทาเปรยออกมาอย่างชื่นชม“แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนในการหาสิ่งของที่มีมูลค่า จะประกาศออกไปก็เห็นทีจะทำไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นการเปิดเบาะแสให้เมืองอื่นนำความคิดไปใช้ ข้าได้ข่าวลับมาว่าแคว้นจ้าวกำลังหาของขวัญเพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดกับองค์หญิงพระองค์หนึ่งซึ่งหลงใหลในภาพวาดและงานเขียนเป็นอย่างมาก ท่านพ่อจึงคิดจะหาภาพวาดเพื่อมอบให้กับองค์หญิง” หวงห่าวหรานถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เขาพูดออกมาเสียยืดยาวโดยลืมคิดไปเลยว่าเด็กตัวกระจ้อยแค่นี้จะมาเข้าใจอะไร“หมิงหมิงน้อย ข้าขอโทษเจ้าด้วย เจ้ายังเป็นเด็ก ข้าก็ช่างเลอะเลือน เอาปัญห
“ใช่แล้วขอรับคุณชายหวง อี้หมิง ทำความเคารพคุณชายหวงห่าวหรานเสียสิ คุณชายหวงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านเจ้าเมือง คุณชายหวงขอรับ เด็กน้อยคนนี้เป็นหลานบุญธรรมของข้า ชื่อว่าจางอี้หมิง และนั่นจางอี้เทา บิดาของเขาขอรับ” หลินไห่เอ่ยแนะนำอี้หมิงให้รู้จักกับชายหนุ่ม“คารวะคุณชายหวง” สองพ่อลูกสกุลจางเอ่ยทักทายตามคำบอกของเถ้าแก่หลิน“ยินดีที่ได้รู้จักเด็กฉลาดเช่นเจ้านะ หมิงหมิงน้อย เห็นทีว่าเถ้าแก่หลินคงไม่สะดวกในวันนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนดีหรือไม่” หวงห่าวหรานเอ่ยถามเสียงทุ้ม“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบ แต่ในใจกลับคิดไปไกล หล่อโอ้ปป้าเกาหลีแบบนี้นี่เอง คุณหนูใหญ่ของทั้งสองจวนถึงแย่งกันขนาดนี้ แม้แต่การพูดยังคุณช๊ายคุณชาย “คุณชายหวงอย่าได้เป็นกังวล ข้าขอจัดการปัญหาสักครู่ เชิญคุณชายนั่งรอก่อนขอรับ” หลินไห่วางเด็กน้อยลงบนพื้นก่อนที่จะหันไปเชิญหวงห่าวหรานให้นั่งลงก่อน“ซีฮัน เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เถ้าแก่หันไปถามคนงานด้วยน้ำเสียงจริงจังซีฮันจึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่เขาเปิดรับการจองลำดับอาหารทั้งหลายตามจำนวนที่เถ้าแก่ได้สั่งไว้ แต่ปรากฏว่าสามสหายท่องหล้าอันดับสุดท้ายนั้น เขาไม่รู้จะมอบ
“ขอถามท่านปู่ทั้งสอง พวกท่านสามารถเลื่อนการชิมอาหารไปในครั้งหน้าได้หรือไม่ ข้าจะให้พี่ซีฮันให้ท่านอยู่ลำดับแรก ๆ เลยขอรับ” “เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาแทรกการสนทนาของผู้ใหญ่” ผู้เฒ่าคนแรกเอ่ยถามขึ้นจางอี้หมิงพิจารณาการแต่งกายของคนตรงหน้าแล้ว คาดว่าคงจะไม่ใช่คหบดีหรือเศรษฐี ถ้าเดาไม่ผิดอาจจะเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของจวนไหนสักแห่ง“ตอบท่านปู่ ข้าชื่อจางอี้หมิง เป็นหลานชายบุญธรรมของท่านปู่หลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูขอรับ” จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนตัวตรง ยกมือคารวะไปยังสองผู้เฒ่าพร้อมกับตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนฉะฉาน“หน้าตาของเจ้าช่างคุ้นนัก มิใช่เด็กน้อยที่ตะโกนขายน้ำตาลผักที่ร้านเถ้าแก่หวังหรอกหรือ”“เป็นข้าเองขอรับ” “ไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยคนนั้นจะเป็นถึงหลานชายบุญธรรมของเถ้าแก่หลินไห่ ข้าชื่อหานอี้ เป็นหัวหน้าพ่อบ้านคหบดีหานอี้ฝาน รับคำสั่งจากคุณหนูใหญ่ให้มาทำการจองลำดับในวันนี้ แต่ไม่นึกว่าจะต้องมาเจอกับเจ้าเฒ่าหน้าเหม็นจวนผิงไปเสียได้” หานอี้อธิบาย เขามองไปยังผู้เฒ่าอีกคนด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เจ้าเฒ่าหาน อย่ามากล่าวหาข้าลอย ๆ เช่นนี้ นึกว่าข้าจะอยากมาเจอตาเฒ่าเช่นเจ้าหรือไร เพียงแต่
“พี่ซีฮัน ข้ากับท่านพ่อเพิ่งมาถึง เหตุใดข้าจึงเป็นสาเหตุของเรื่องราววุ่นวายได้ล่ะขอรับ”จางอี้หมิงเกาหัวตนเองอย่างสับสนมึนงง เขาไม่เข้าใจว่าตนเองไปเป็นต้นเหตุของเรื่องราวได้เช่นไร เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาได้ไม่เท่าไรก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุเสียแล้ว เสียงดังโหวกเหวกพวกนี้มีมาก่อนหน้านี้แล้วมิใช่หรือ“เพราะรายการอาหารใหม่ที่จำกัดจำนวนการขายเป็นความเห็นของเจ้าเช่นไรเล่า ลูกค้าพวกนั้นถึงทะเลาะกันอยู่อย่างนี้” ซีฮันถึงกับเล่าไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขาต้องยืนอยู่ตรงกลางชายชราทั้งสองคนมานานกว่าสองเค่อแล้วเห็นว่าเป็นชายชราเช่นนั้นหรือ ฮึ! หลอกลวงทั้งเพ ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา ไม่เห็นใจคนที่อยู่ตรงกลางเช่นเขาเลยสักนิด“พี่ซีฮันอย่าเพิ่งโมโหไปขอรับ รบกวนพี่ซีฮันไปแจ้งแก่พวกเขาทุกคนว่าให้อยู่ในความสงบ ขอข้าได้รับฟังเรื่องราวสักนิด คงใช้เวลาไม่นานที่จะหาทางออกของปัญหาให้ขอรับ” “ได้ ๆ” เสี่ยวเอ้อร์อันดับหนึ่งของเหลาอาหารซิ่งฝูรีบไปจัดการตามที่เจ้านายตัวน้อยกล่าว เมื่อเขานำความไปแจ้งแก่ลูกค้ากลุ่มนั้น พวกเขาจึงเงียบเสียงลงและเดินไปนั่งรอคอยว่าเหลาอาหารซิ่งฝูจะจัดการปัญหาเช่นไร
“เถ้าแก่เอาน้ำตาลผักกับเกลือผักมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ขอรับ เพราะเกลือผัก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการทำ ระยะเวลาในการทำ รวมถึงการดูแลรักษายุ่งยากกว่าน้ำตาลผักมาก แต่ถ้าหากว่าเถ้าแก่คิดว่าแพงเกินไป กลุ่มการค้าหลัวถงก็คงต้องขอนำเกลือผักไปเสนอให้กลุ่มการค้าอื่นแทน ท่านว่าดีหรือไม่ขอรับ”“มะ ไม่ดีหมิงหมิงน้อย ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้นเอง ได้ฟังเจ้าอธิบายมาเช่นนี้แล้ว ข้าพอจะเข้าใจและยอมรับได้ เช่นนั้นก็ตกลงที่ราคาสิบอีแปะเท่าราคาเครื่องเทศนั่นแหละ” ฮึ! ช่างเป็นเด็กที่เจ้าเล่ห์เสียจริง เห็นรูปร่างเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ ประมาทไม่ได้เสียแล้ว ในเรื่องการต่อรอง เขาต้องระวังตัวเช่นนี้เชียวหรือ เฮ้อ! หมดกันกับฉายาเถ้าแก่หวังผู้ไม่เคยพ่าย เถ้าแก่ร้านขายของชำถึงกับยกมือขึ้นซับเหงื่อตรงบริเวณหน้าผากทั้งที่ไม่มีเหงื่อออกมาเลยสักหยด“ท่านพ่อ ข้าขอตัวอย่างเกลือผักด้วยขอรับ” จางอี้หมิงขอเกลือผักจากบิดา เด็กน้อยได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าเกลือผักต้องขายได้หลังจากที่ได้ยินเถ้าแก่หวังบอกเหตุผลตั้งแต่วันที่มาคุยเรื่องการค้าครั้งใหญ่ อีกอย่าง ในฐานะพ่อค้า เหตุใดจะไม่หาหนทางให้ขายได้ ถ้าเกลือผักนำออกขายไม่ได้ นั่นล่ะที่
เมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน สุริยายังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า แต่สมาชิกตระกูลจางต่างก็พากันลุกขึ้นมาจัดการหน้าที่ของตนเองแล้ว แม้แต่เด็กน้อยอย่างจางอี้หมิงก็ตื่นนอนมาเตรียมตัวด้วยเมื่อวานตอนเย็นหลังจากที่ได้พูดคุยตกลงกัน พวกเขาได้ข้อสรุปแล้วว่าจะลงหลักปักฐานเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่หมู่บ้านหลัวถงนี้ดังนั้นแล้ว จางอี้หมิงจึงได้ขอโฉนดที่ดินมาจากท่านย่าเพื่อนำมาวางแผนผังการใช้สอยที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ดินของตระกูลจางมีทั้งหมดสามสิบหมู่และอยู่ท้ายหมู่บ้าน บ้านที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างให้ตอนนี้อยู่ห่างจากลำธารพอสมควร จางอี้หมิงจึงเสนอให้แบ่งที่ดินออกเป็น 5 ส่วน ในเมื่อสกุลจางตกลงที่จะเป็นพ่อค้าคนกลางแล้ว ที่ดินที่จะใช้ในการปลูกพืชผักจึงตัดออกไปเสียมาก เหลือเพียงไว้ใช้ปลูกพืชผักเพื่อกินเองเท่านั้นบริเวณหน้าบ้าน อี้หมิงตั้งใจจะสร้างเป็นสถานศึกษาในอนาคต ที่ดินจึงถูกกันไว้มากหน่อย บ้านที่กำลังจะสร้างในอีกไม่กี่วันนี้เป็นแบบชั่วคราวเพื่อรอให้ชาวบ้านร่ำรวยและสร้างไปพร้อมกัน จึงจัดไว้ตรงกลาง เหลือพื้นที่หลังสุดที่อยู่ใกล้ลำธารสำหรับสร้างบ้านที่สวยงามและมีขนาดใหญ่ในภายหลังเมื่อวาดแบบออกมาอย่างคร่าว ๆ
“ท่านพ่ออย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ต้นหญ้าหวานมีเป็นภูเขา ถึงแม้จะมีใบสั่งซื้อจำนวนมาก ทว่าในการทำหัวเชื้อ เราใช้ต้นหญ้าหวานนิดเดียวเท่านั้น ท่านพ่อลืมแล้วหรือขอรับว่าเราไม่ต้องตากต้นหญ้าหวานแล้ว ในเมื่อเราใช้ใบสดในการทำน้ำตาลผัก ปริมาณที่ใช้จึงลดลงตามไปด้วย อีกอย่างหนึ่งคือใบหญ้าหวานสดหนึ่งจินใช้ทำหัวเชื้อได้ประมาณสิบไหเลยนะขอรับ”“จริงเช่นหมิงเอ๋อร์พูด พ่อช่างเป็นคนขี้ลืม หมิงเอ๋อร์บอกว่าจะปรับสูตรการทำหัวเชื้อเช่นนั้นหรือ ในเมื่อวันนี้ไม่มีวัตถุดิบที่จะทดลองแล้ว เช่นนั้นค่อยทดลองวันอื่นกันเถอะ”“หมิงเอ๋อร์ พรุ่งนี้หลังจากที่เราส่งน้ำตาลผักรอบสุดท้ายและตกลงจ้างงานกับเถ้าแก่หวังเสร็จแล้ว พ่อว่าเราไปหาท่านปู่หลินให้ช่วยเรื่องการสร้างบ้านกันเถอะ เรื่องสร้างบ้านพ่อไม่ถนัด เกรงว่าจะพูดคุยกับช่างไม่รู้เรื่อง แล้วหมิงเอ๋อร์พอรู้เรื่องการสร้างบ้านหรือไม่” จางอี้เทาปรึกษาบุตรชายอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่ง“ข้าเป็นเพียงเด็กน้อยห้าขวบ ไหนเลยจะรู้เรื่องการสร้างบ้านเล่าท่านพ่อ แต่ข้ารู้ว่าบ้านหลังนี้ ข้าต้องการสิ่งใดบ้าง ในวันที่คุยกับช่าง ข้าจะอธิบายให้ท่านพ่อและช่า
“หมิงเอ๋อร์ แล้วถ้าเกลือผักสามารถทำออกมาขายได้เล่า เจ้าได้วางแผนไว้เช่นไรบ้าง” หลังจากที่เอ่ยชมกันไปมาแล้ว อี้เทาจึงถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ท่านพ่อ เกลือผักข้าจะไม่หวงสูตรขอรับ เพราะเกลือผักใช้เวลาในการทำนานกว่า ขั้นตอนยุ่งยากกว่า แต่ข้าจะขอส่วนแบ่งจากการขายแทนขอรับ อีกหนึ่งเหตุผลคือหากเราคิดค่าสูตรทุกอย่าง ชาวบ้านอาจจะต่อต้านเราเหมือนกับท่านพี่หลวนซาน เราแค่ขอส่วนแบ่งเล็กน้อยเท่านั้นก็พอ”“แต่ท่านพ่ออย่าลืมนะขอรับ ถึงแม้จะเพียงแค่หนึ่งอีแปะ แต่ถ้าปริมาณการขายเป็นหมื่นเป็นแสนห่อ ท่านพ่อคิดว่ามันจะมีรายได้เกิดขึ้นเท่าไรขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเหมือนกับท่านปู่ของเจ้ายิ่งนัก” นางหูเอ่ยชมออกมาหลังจากที่ได้ฟังความคิดของหลานชายสามีของนางทั้งเป็นคนดี รักครอบครัวและเก่งกาจในการทำการค้ายิ่งนัก เมื่อเห็นว่าอี้เทาชื่นชอบการเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา ก็ไม่เคยบังคับให้สืบต่อกิจการค้าผ้า น่าเสียดายที่สามีของนางอายุสั้น ไม่ทันได้เห็นความน่ารักและเฉลียวฉลาดของหลานชาย“ข้าเก่งเหมือนท่านพ่อแล้ว ข้ายังเก่งเหมือนท่านปู่ด้วยขอรับ ฮิฮิ” “เจ้าเด็กหลงตัวเอง” นางหูถึงกับส่ายหน้าแต่ก็ยกยิ้มกว้าง นางเพ