หน้าหลัก / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่31 การประลองของสัตว์อสูรรับใช้

แชร์

บทที่31 การประลองของสัตว์อสูรรับใช้

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-06 11:21:14

คุณชายรองตระกูลจางหรือจางหมิงหวัง ก่อนหน้านี้ได้ทำการร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมากลางสนามประลองเเห่งนี้ปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปร่างใหญ่โตที่มีความสูงราวสามเมตร สัตว์อสูรในพันธะที่ถูกอัญเชิญออกมาของคุณชายจางหมิงหวังมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองสว่างไสว มีดวงตาสีแดงกล่ำที่เเสดงให้เห็นถึงท่าทางความดุร้ายออกมาอย่างเปิดเผยราวกับว่าไม่ต้องการปกปิดแม้เเต่เพียงนิด

ทั่วทั้งร่างกายของสัตว์อสูรตัวดังกล่าวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามที่ส่งกลิ่นอายถึงความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรมายาออกมาให้ได้สัมผัส นอกจากนั้นแล้วยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองพร้อมกับกำหมัดขึ้นทั้งสองข้าง และทุบตีที่อกของตัวเองไปมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณ

ด้วยความที่เป็นถึงสัตว์อสูรมายา ดังนั้นเพียงเเค่เสียงคำรามที่ร้องออกมาก็สามารข่มขวัญผู้คนที่อยู่โดยรอบของสนามประลอง อีกทั้งยังส่งผลทำให้ม่านพลังเกราะป้องกันที่ถูกร่ายกำกับไว้ในสนามประลองถึงกับสั่นไหวไปมา หากว่าบทเวทย์ป้องกันที่ใช้ในสนามประลองดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการร่ายกำกับไว้หลายชั้นคงถูกทำลายลงไปนานเเล้วและส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณระดับต่ำหรือชาวบ้านที่ไม่ได้เข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนอย่างแน่นอน

อสูรราชาอสุภอัคนีของจางหมิงหวังพุ่งทะยานเข้าโจมตีลู่ซีด้วยความเกรี้ยวกราดทันทีเมื่อได้รับคำสั่งจากนายของตน เเต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมันไม่สามารถเข้าถึงตัวของลู่ซีเพียงนิดได้ เนื่องจากในตอนนี้นั้นอสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดได้เอาตัวเข้ามาขวางตรงด้านหน้าเพื่อรับการโจมตีดังกล่าว พร้อมกับหลอกล่อให้ออกไปต่อสู้ในบริเวณพื้นที่ว่างถัดไปไม่ไกลสักเท่าใดนัก

โฮก!

ตู้ม! ตู้ม!

สัตว์อสูรทั้งสองเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด สร้างความตื่นตาตื่นใจกับผู้คนที่อยู่ในสนามประลองไม่น้อย งานประลองครั้งนี้นับได้ว่าเป็นงานประลองที่รวบรวมผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศให้เข้ามาร่วมงานทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นองศ์ฮ่องเต้ผู้ปกครองของเเต่ละแคว้น องค์ชายหรือองค์หญิงที่เป็นผู้ฝึกตนและบรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์จากแคว้นต่าง ๆ รวมไปถึงเจ้าสำนักน้อยใหญ่ที่ได้ส่งศิษย์ของตนให้ลงเเข่งขันในการประลองครั้งนี้เพื่อสร้างชื่อเสียงแก่สำนักของตน และหากผู้ฝึกตนคนใดที่ฉายแววความเเข็งแกร่งอาจจะถูกชักชวนเข้าสำนักด้วยเช่นกัน

โดยพื้นฐานผู้ฝึกตนทุกคนจะมีสัตว์อสูรในพันธะในครอบครองกันทั้งสิ้นเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าในการฝึกตน แต่หากพูดตามตรงแล้วนับว่าหาได้ยากยิ่งนักที่ผู้ฝึกตนต่างจะมีสัตว์อสูรมายาในพันธะของตน เนื่องจากว่าสัตว์อสูรที่ระดับนี้หาได้ยากยิ่งนัก

การเลื่อนระดับของสัตว์อสูรในพันธะจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรฝึกตนเพิ่มขึ้นมากถึงสองเท่าขึ้นไป หรืออาจจะเป็นจำนวนที่มากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ เพราะว่าต้องเป็นการใช้ทรัพยากรการฝึกตนเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณทั้งส่วนของตัวผู้ฝึกตนผู้ซึ่งเป็นนายเเห่งพันธะเอง

และสัตว์อสูรในพันธะก็ต้องเพิ่มพลังวิญญาณควบคู่กันไป อีกทั้งระดับพลังผู้ฝึกตนที่เป็นนายเเห่งพันธะอสูรจะต้องมีระดับพลังวิญญาณที่อยู่ในระดับที่สูงและเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพราะว่าสัตว์อสูรนั้นจะเเข็งแกร่งและเลื่อนระดับได้เร็วขึ้นก็เป็นไปตามระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนที่เป็นนายเเห่งพันธะ

ดังนั้นเมื่อการประลองของแคว้นในรอบเเรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณ นอกจากที่ผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดสิบคนสุดท้ายที่กำลังตัดสินเพื่อหาผู้ชนะในรอบเเรกนี้เพียงเเค่ห้าคนเท่านั้นที่จะก้าวเข้าสู่รอบถัดไป

แม้อาจจะดูว่าเป็นเพียงระดับพลังวิญญาณที่ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก เเต่ในการลงสนามประลองของเเต่ละคู่นั้นกลับมีความโดดเด่น ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียวทั้งในเรื่องของวรยุทธ เคล็ดวิชากระบี่ประจำตระกูลที่หารับชมได้ยาก

อีกทั้งบทเวทย์ระดับสูงต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้ในการประลองในครั้งนี้ ผู้ฝึกตนเเต่ละคนนั้นนับว่าต่างพากันทุ่มเทแรงกายแรงใจกันไปไม่น้อยเเล้วนั้น ยังมีสัตว์อสูรระดับสูงประเภทต่าง ๆ ที่หายาก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ถูกอัญเชิญลงต่อสู้ในสนามประลองในเเต่ละคู่เเข่งขันที่ผ่านมา

ตรงกลางสนามประลองที่พวกเขากำลังรับชมกันอยู่เป็นการต่อสู้ของสัตว์อสูรมายาถึงสองตัวที่มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก พละกำลังที่แตกต่างกันนั้นต่างพุ่งเข้าต่อสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรี นับได้ว่าเพียงเเค่การประลองในรอบเเรกเพื่อหาตัวเเทนห้าคนเเรกเพื่อผ่านในรอบถัดไป

พวกเขาที่รับชมอยู่ยังรู้สึกตื่นเต้นเอาใจช่วยผู้เข้าเเข่งขันทุกคน และคิดอยู่ในใจว่า พวกเขาทั้งหลายนั้นคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจเข้ามาร่วมรับชมการประลองในครั้งนี้ จนแทบอดใจรอกันไม่ไหวที่จะได้เห็นการประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณในรอบถัดไปนั้นว่าจะทำให้พวกตนรู้สึกตื่นเต้นมากเพียงใด จะได้เห็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกหรือไม่...

โฮก!!

อสูรราชาอสุภอัคนีคำรามออกมาเสียงดัง จนผู้คนโดยรอบสนามประลองต้องยกมือขึ้นปิดหูเอาไว้ ม่านปราการป้องกันไม่อาจปิดกันได้ทั้งหมดจนต้องเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม แรงโจมตีถูกปล่อยออกมาด้วยความรวดเร็ว จึงทำให้อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดต้องล่าถอยออกมาตั้งหลักอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของอสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดจะแฝงไปด้วยบางสิ่งอย่าง จนทำให้อสูรราชาอสุภอัคนีนั้นนิ่งงันไปในที่สุด

'เจ้าหมีควายหน้าโง่!!' เสียงของอสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดดังขึ้นในหัวของอสูรราชาอสุภอัคนี

'นี่เจ้าเป็นใครกันทำไมถึงเข้ามาอยู่ในหัวของข้าได้?' อสูรราชาอสุภอัคนีเมื่อได้ยินเสียงในหัว จึงเอ่ยถามออกมาด้วยความหัวเสียในทันที

'ข้าเป็นใครเจ้าไม่ต้องรู้ เอาเป็นว่าเจ้าจงยอมให้ข้าบดขยี้เล่นเสีย ฮ่าฮ่าฮ่า...' เสียงของอสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดดังขึ้นในหัวของอสูรราชาอสุภอัคนีราวกับว่าต้องการก่อกวนประสาทให้ลดการระวังตัว

'นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมข้าถึงขยับตัวไม่ได้กัน ออกมานะ!! เจ้าหมาในชั้นต่ำเจ้ากล้าใช้ลูกไม้สกปรกกับข้างั้นรึ!!!!' อสูรราชาอสุภอัคนีตะโกนขึ้นอย่างหงุดหงิดโมโหเป็นอย่างมากด้วยเพราะไม่คิดว่าอสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้

'ฮ่าฮ่าฮ่า....' เสียงหัวเราะของอสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดขึ้นอย่างมาอย่างมีความสุขราวกับได้หยอกเหย้าเล่นกับเหยื่อก่อนที่จะลงมือจัดการ

ความสามารถของสัตว์อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดนั่นคือการสะกดจิต โดยปกติแล้วหากว่าคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำกว่าอสูรนภาเป็นต้นไปคงไม่เปลืองเเรงถึงเพียงนี้ เเต่ด้วยเพราะสัตว์อสูรอสุภอัคนีเป็นถึงสัตว์อสูรมายาขั้นที่มีระดับพลังวิญญาณเทียบเท่าเช่นเดียวกัน จึงทำให้เป็นเรื่องยากไม่น้อยเลยทีเดียวในการที่อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดจะสามารถสะกดจิตอสูรราชาอสุภอัคนีได้เช่นนี้

เเต่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่สามารถจัดการอารมณ์และควบคุมสติได้มากพอ ดังนั้นในยกแรกนี้อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดจึงช่วงชิงความได้เปรียบมาได้อย่างง่ายดาย ผู้รับชมในสนามประลองได้เห็นคืออสูรราชาอสุภอัคนีหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะจึงทำให้ผู้ที่เฝ้ามองเหตุการณ์การต่อสู้ของทั้งสองสัตว์อสูรมายาทั้งสองต่างพากันเเปลกใจเป็นอย่างมาก รวมไปถึงคุณชายรองจางหมิงหวังก็เเปลกใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว

เปรี้ยง!

ตู้ม! ตู้ม!

อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดส่งพลังโจมตีอสูรราชาอสุภอัคนีที่ในตอนนี้ยังคงยืนนิ่งเป็นเป้าโจมตีอย่างง่ายดาย ปรากฏเป็นบาดแผลหลายเเห่งพร้อมกันหลายจุดเลยทีเดียว

โฮก!

เสียงร้องดังอย่างเจ็บปวดของอสูรอสุภอัคนีดังขึ้นทันที เมื่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่มันไม่สามารถหลบหนีหรือป้องกันได้

เปรี้ยง!

ตู้ม! ตู้ม!

อสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดส่งการโจมตีไปอีกครั้ง ซึ่งก็เช่นเดิมที่อสูรราชาชอสุภอัคนียังคงยืนนิ่งรับการโจมตีดังกล่าวจนร่างกายใหญ่โตนั้นไม่สามารถฝืนยืนขึ้นได้จนล้มลงฟื้นอย่างรุนแรง สร้างความตกใจแก่ผู้รับชมงานประลองนี้ยิ่งขึ้นไปอีก

'เจ้าวัวโง่ ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ภายใต้การสะกดจิตของข้าก็ไม่อาจจะหลุดพ้นได้โดยง่ายหากว่าข้าไม่ต้องการ...' เสียงของอสูรวิฬาร์อัสนีสีชาดดังขึ้นในหัวของอสูรราชาอสุภอัคนีอีกครั้ง

ด้วยเพราะภายใต้ของอำนาจการสะกดจิต อสูรราชาอสุภอัคนีจะไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งที่มีอำนาจสะกดไว้ได้ นอกจากที่มันจะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายอย่างถึงที่สุด ความคั่งแค้นใจยิ่งเพิ่มทวีขึ้นเป็นอย่างมาก สายตาที่จดจ้องไปยังอีกฝ่ายนั้นราวกับว่าอยากจะฆ่าให้ตายอย่างทรมานไปให้สิ้น

คราเเรกสัตว์อสูรในพันธะของจางหมิงหวัง พวกตนคิดว่าคงได้เปรียบทั้งในเรื่องของความเเข็งแกร่งน่าเกรงขามเนื่องจากเป็นถึงสัตว์อสูรมายา เเต่สิ่งที่ได้เห็นในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าสัตว์อสูรในพันธะของคุณชายรองจางหมิงหวังกลับยืนนิ่ง และถูกสัตว์อสูรในพันธะของคุณชายลู่ซีโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่เอาเเต่ยืนนิ่งไม่แม้เเต่จะโต้กลับหรือป้องกันเสียด้วยซ้ำ

'เกิดอะไรขึ้น ทำไมสัตว์อสูรในพันธะของคุณชายรองจางหมิงหวังถึงได้เอาเเต่ยืนนิ่งรับการโจมตีจากสัตว์อสูรในพันธะของคุณชายลู่ซีอย่างเดียวเล่า??'

'ดูเหมือนกับว่าอสูรในพันธะของคุณชายลู่ซีค่อยทวีความรุนแรงในการโจมตีขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสัตว์อสูรในพันธะของคุณชายรองจางหมิงหวังคงได้สิ้นเป็นแน่....'

'สัตว์อสูรในพันธะของคุณชายลู่ซีเเข็งแกร่งถึงเพียงนี้อย่างนั้นรึ?'

'สัตว์อสูรเผ่าพันธุ์วิฬาร์นั้นจะมีความสามารถแฝงเร้น คือสามารถสะกดจิตคู่ต่อสู้ได้เห็นทีว่าสัตว์อสูรราชาอสุภอัคนีคงตกอยู่ภายใต้การสะกดจิตไปแล้วถึงได้เอาเเต่ยืนนิ่งเช่นนี้...'

พรึบ!

วูบ!

จางหมิงหวังสังเกตเห็นในความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ ไม่รอช้าจึงทำการเรียกสัตว์อสูรในพันธะของตนเข้าสู่มิติจิตโดยทันที

จางหมิงหวังพุ่งทะยานเข้าโจมตีลู่ซีอีกครั้ง โดยที่หมายหมั่นว่าจะต้องเป็นฝ่ายชนะอีกฝ่ายให้ได้ เคล็กวิชากระบี่ ทักษะเชิงยุทธ์ต่างถูกเรียกใช้ออกมาอย่างครบถ้วน

พรึบ!!

เพล้ง!!! เพล้ง!!!

ถึงแม้ว่าการโจมตีของจางหมิงหวังจะหน่วงดุดันและรุนแรงมาก แต่ด้วยเพราะระยะเวลาที่ผันผ่านมาถึงครึ่งชั่วยามแล้ว ย่อมเกิดร่องรอยของความเหนื่อยล้าอย่างปฏิเสธไม่ได้ จึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวที่ช้าลงจนเห็นได้ชัด และเคล็ดวิชากระบี่ของเขานั้นสามารถพลิกแพลงเข้ากับเพลงกระบี่ของอีกฝ่ายได้มากถึงหกเจ็ดส่วนแล้ว ลู่ซีจึงสามารถเข้าโจมตีถึงตัวของจางหมิงหวังได้อย่างง่ายดาย

"ข้าคงประมาทเจ้ามากเกินไป แต่นั่นก็ดีแล้ว ข้าคงต้องเรียกใช้พลังเวทย์เสียที..."

"บ่าวรับใช้ชั้นต่ำเช่นเจ้าอย่าหวังว่าจะเอาชนะข้าได้ง่าย ๆ คุณชายจากตระกูลใหญ่เช่นข้าไม่มีทางที่จะแพ้เจ้าอย่างแน่นอน!!!" เมื่อพูดจบจึงร่าบบทเวทย์โจมตีลู่ซีในทันที ด้านหลังของจางหมิงหวังปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีเขียวซ้อนกันสามชั้นเเสดงถึงราชทินนามขุนนางวิญญาณขั้นสูง พร้อมกับสร้างหอกวารีนับไม่ถ้วนโดยรอบตัวพร้อมกับผายมือส่งการโจมตีดังกล่าวไปยังด้านหน้าของตนในทันที

อัญเชิญบทเวทย์โจมตีวารีอนันต์สังหาร!

ตู้ม!

ลู่ซีได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันขึ้นเพื่อรับการโจมตีดังกล่าว แน่นอนว่าด้วยบทเวทย์ป้องกันนี้ได้ถูกหนิงอ้ายเขียนใหม่และยกระดับเป็นบทเวทย์ระดับสูง

ดังนั้นนอกจากที่บทเวทย์ป้องกันนี้จะสามารถตั้งกับการโจมตีของอีกฝ่ายได้แล้วยังสะท้อนการโจมตีบางส่วนกลับไปยังจางหมิงหวังอีกด้วย ผู้คนโดยรอบสนามประลองเห็นเช่นนั้นก็เเปลกใจไม่น้อย เพราะคุณชายทั้งสองต่างโจมตีกันอย่างรุนเเรงอย่างมากราวกับว่ามีเรื่องขุ่นเคืองกันมาก่อนเสียอย่างนั้น

อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการม่านบรรพกัณฑ์!

ตู้ม!

การโจมตีของเวทย์ปราณธาตุน้ำได้ปรากฎขึ้นเป็นกระสุนน้ำขนาดใหญ่ และระดับของบทเวทย์คือระดับสูงเช่นเดียวกับเวทย์ป้องกันของลู่ซี เมื่อพลังเวทย์ทั้งสองสายปะทะกันจึงทำให้เกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่วทั้งสนามประลอง ก่อนที่จะสลายหายไปในทันที

แรงปะทะของสองบทเวทย์เมื่อครู่ ได้สร้างความตื่นตะลึงสนใจแก่ผู้ที่รับชมเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะต่างไม่คิดว่าคุณชายทั้งสองจะถือครองบทเวทย์ระดับสูงและสามารถบัญชาการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้

'ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดาเสียแล้ว คุณชายทั้งสองล้วนเป็นสุดยอดฝีมือที่แท้จริง...'

'ข้าก็คิดเห็นเป็นเช่นนั้น และที่สำคัญคุณชายทั้งสองยังครอบครองสัตว์อสูรมายาในพันธะอีกด้วย'

'ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นฝ่ายชนะ สำหรับข้า การได้มาเห็นฝีมือของเหล่าต้นกล้ารุ่นเยาว์เหล่านี้ ก็รู้สึกดีใจไม่น้อย...'

เสียงของผู้คนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มากไปกว่านั้นจุดสนใจของพวกเจายังคงเป็นใจกลางของสนามประลองที่คุณชายทั้งสองยืนอยู่ ต่างร่วมลุ้นกันว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ชนะในการประลองรอบนี้

''ข้าเสียเวลามานานมากเเล้วหมดเวลาเล่นสนุกเสียที!!'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าการประลองครั้งนี้ตนเสียเวลาไปนานมากเเล้ว การปล่อยให้หนิงอ้ายต้องนั่งอยู่ข้างสนามประลองคนเดียวคงไม่ดีเท่าไหร่เขาจึงอยากจะจบการประลองในตอนนี้เสียที

อัญเชิญบทเวทย์ยันต์มหาเขตแดนอัสนีลงทัณฑ์!

วูบ!

ลู่ซีกางมือออกพร้อมกับร่ายบทเวทย์ระดับเทวะที่หนิงอ้ายได้เขียนขึ้นมาให้แก่เขาโดยเฉพาะ แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เคยทดลองว่าจะมีความรุนแรงมากเพียงใด เเต่ด้วยเพราะเป็นถึงบทเวทย์ระดับเทวะที่ถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรก ดังนั้นลู่ซีจึงตั้งใจลดความรุนแรงของบทเวทย์นี้ให้เหลือเพียงเเค่ครึ่งเพราะหากว่าจางหมิงหวังได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นเสียชีวิต เมื่อคำนวณดูเเล้วย่อมไม่คุ้มค่าที่จะลงมือเช่นนั้นอย่างแน่นอน

วูบ!

พรึบ!

วงเวทย์อักขระของบทเวทย์ระดับเทวะปรากฏขึ้นในสนามประลอง และขยายอาณาเขตคลอบคลุมจางหมิงหวังไว้ไม่ให้สามารถหลบหนีหรือร่ายบทเวทย์ป้องกันได้ เนื่องจากหนิงอ้ายมองว่าบทเวทย์ยันต์เขตแดนนั้นควรที่จะแฝงกลิ่นอายความเเข็งแกร่งที่สามารถกดทับให้ผู้ที่อยู่ในเขตแดนจนไม่สามารถขยับหรือร่ายบทเวทย์ใดขึ้นมาได้ คล้ายกับเป็นหุ่นเชิดไร้ชีวิตที่ยืนอยู่นิ่งรอการลงทัณฑ์

จางหมิงหวังยอมรับว่าเขาค่อนข้างที่จะตกใจไม่น้อย เพราะการที่จะร่ายบทเวทย์ยันต์เขตแดนนั้น นับได้ว่าค่อนข้างที่จะใช้พลังวิญญาณที่ค่อนข้างสูงในการใช้เเต่ละครั้ง เขาที่เคยฝึกฝนการต่อสู้อยู่บ่อยครั้งและเคยฝึกฝนกับฝ่ายตรงข้ามจะมีการใช้บทเวทย์เขตแดน เเต่เขายังสามารถที่จะร่ายบทเวทย์อื่น ๆ ได้เพื่อตั้งรับการโจมตีดังกล่าว

เเต่ในครั้งนี้เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้ทั้งสิ้น ราวกับทั้งร่างกายถูกสะกดข่มให้ยืนนิ่งไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ภายในอาณาเขตของบทเวทย์เขตแดนนี้เขาสัมผัสกลิ่นอายของบทเวทย์ระดับเทวะอ่อนจางแต่ยังคงสัมผัสได้อยู่บ้าง เมื่อคิดได้ดังนี้ก็ยิ่งเเปลกใจไม่น้อย เพราะว่าลู่ซีในอดีตนั้นเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนสนิทของอดีตพี่ชายตนนั่นคือจางหนิงอ้าย จากสภาพความเป็นอยู่ในก่อนนี้ที่ตระกูลจางนับว่าไม่สามารถที่จะสนับสนุนการฝึกตนให้เเข็งแกร่งก้าวกระโดดเช่นนี้ อีกทั้งหากบทเวทย์เขตแดนนี้เป็นบทเวทย์ระดับเทวะจริงนับว่าน่าตกใจ เพราะว่านอกจากที่จะมีราคาสูงที่มหาศาลแล้วยังหาได้ยากยิ่งใช่ว่าผู้ใดจะสามารถครองครองบทเวทย์ระดับเทวะได้

ลู่ซีระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยแม้ว่าจะมีเหงื่อเม็ดเล็กไหลซึมตามไรผม ภายนอกยังคงเเสดงท่าทีสบาย ๆ เเต่ว่าภายในรู้สึกราวกับว่าถูกดูดพลังวิญญาณอย่างมหาศาลในการร่ายบทเวทย์เขตแดนเพื่อให้คงสภาพก่อนที่จะสั่งการ เมื่อเห็นว่าเขตแดนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แล้วจึงเอ่ยสั่งการในทันที

ลงทัณฑ์!

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

สายฟ้าที่เกิดจากบทเวทย์ระดับเทวะที่เกิดขึ้นในเขตแดนดังกล่าว แม้ว่าจะถูกลดความรุนแรงไปเเล้วเกินครึ่ง เเต่สิ่งที่ผู้คนในสนามประลองได้เห็นนั้นกลับยิ่งทำให้รู้สึกตกใจและเเปลกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่คิดว่าคุณชายลู่ซีจะลงมือได้หนักถึงเพียงนี้

การปรากฎขึ้นของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะนี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมโดยรอบสนามประลองนี้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว...

ตระกูลจาง

"กรี้ด!!!!!! หมิงเอ๋อร์ลูกเเม่" หวงลู่เอินส่งเสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายคนรองนั้นถูกโจมตีโดยที่ไม่สามารถโต้ตอบหรือป้องกันตัวเองได้แม้เเต่เพียงนิด

"ท่านพ่อบ่าวชั้นต่ำคนนั้นมันทำเกินไปแล้วนะขอรับ!!" คุณชายใหญ่จางเหยากวงเอ่ยขึ้นกับบิดาของตนในทันที เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมากที่น้องชายของตนนั้นถูกกระทำเช่นนี้

"เจ้ากับมารดาเจ้าไปสงบสติอารมณ์เสียอย่าเสียมารยาท!! คนที่อ่อนแอกว่าย่อมพ่ายแพ้เป็นเรื่องธรรมดา..." จางเลี่ยงหวงเอ่ยเตือนสติบุตรชายของตนเพราะนี่คือการประลองไม่มีสิ่งใดที่อีกฝ่ายนั้นกระทำผิดกฎในการประลอง

หวงลู่เอินรวมไปถึงอนุคนอื่นที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากที่ลู่ซี บ่าวรับใช้ของอดีตคุณชายใหญ่หนิงอ้ายมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้

"ท่านแม่..." จางเหยากวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาไม่ยินยอมชอบใจในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

"ใจเย็นก่อนเถิดเหยาเอ๋อร์ มารดาฝากดูอาการของน้องชายเจ้าด้วย เรื่องอื่นนอกจากนี้มารดาจะเป็นผู้จัดการเอง..." หวงลู่เอินเอ่ยขึ้นกับบุตรชายของตนที่นั่งอยู่ข้างกัน

"ขอรับท่านแม่..." จางเหยากวงตอบรับคำมารดาก่อนที่จะเอ่ยขอแยกตัวไปดูอาการของจางหมิงหวังน้องชายของตนในทันที...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status