ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินบทสนทนาดังกล่าวต่างพากันตกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ว่าคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่พึ่งพูดจบลงไปนั่นคือคุณชายลู่ซี ผู้เป็นตัวแทนหนึ่งในห้าคนเเรกที่ผ่านการประลองในรอบถัดไป นอกจากจะมีความสามารถที่โดดเด่นเเล้วอีกฝ่ายยังครอบครองสัตว์อสูรมายาอีกด้วย
บทสนทนาเมื่อครู่แม้จะเป็นการพูดคุยด้วยเสียงที่เบามากเพียงใดเเต่ด้วยพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่นับได้ว่าประสาทสัมผัสล้วนดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่านัก
เมื่อเห็นว่าคุณชายลู่ซีได้พูดคุยกับคุณชายหนิงผู้ลึกลับที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนที่พึ่งจบการประลองไปเมื่อครู่ บทสนทนาพูดคุยกันราวกับว่าเป็นพี่น้องกันเเต่นั่นไม่อาจทำให้ตกใจเท่ากับบทสนทนาที่ว่าคุณชายหนิงพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น เเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวเฉียบขาดและความสามารถอื่นที่ร่างบางนั้นยังไม่ได้เเสดงให้ผู้คนได้เห็นอีก
'เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าหรือไม่? คุณชายหนิงพึ่งปลุกพลังวิญญาณได้เพียงไม่นานเเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว ช่างน่าตกใจยิ่ง!!'
'บ้าไปเเล้ว!! บางคนปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่เจ็ดขวบปีเเต่ยังไม่สามารถเลื่อนพลังเป็นราชทินนามขุนนางวิญญาณได้เลยเสียด้วยซ้ำ...'
'คุณชายหนิงเป็นเพชรเม็ดงามเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้ฝึกตนโดยเเท้ ข้าอยากจะเห็นใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมยิ่งนัก...'
ผู้ชมในสนามประลองต่างพูดถึงหนิงอ้าย พร้อมกับตั้งใจว่าจะตับตามองคุณชายทั้งสองนั่นคือคุณชายลู่ซีกับคุณชายหนิงผู้นี้ ด้วยความสามารถที่โดดเด่นและฝีมือที่ไม่อาจประมาทได้ของทั้งคู่ เห็นทีว่าครั้งนี้อันดับผู้ชนะหรือผู้ที่อยู่ในทำเนียบเสาหลักยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งห้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากที่พวกเขาคาดคิดไว้ตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน...
การประลองเวทย์ของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณได้สร้างบรรยากาศความคึกคักเป็นอย่างมาก เสียงของผู้รับชมต่างพากันโห่ร้องส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณของสนามประลองเวทย์เเห่งนี้
ตรงด้านข้างทางเข้าออกของสนามประลองในเเต่ละจุดต่างมีโต๊ะรับพนันสำหรับการเดิมพันอยู่หลายจุด สังเกตเห็นได้ง่ายดายยิ่งนักด้วยเพราะว่าบริเวณตรงจุดดังกล่าวในตอนนี้เนืองเเน่นไปด้วยผู้คนมากมายที่หวังว่าจะได้รับโชคจากการเดิมพันพนันผลแพ้ชนะของคู่เเข่งขันการประลองเวทย์ในครั้งนี้
หนิงอ้ายเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าเหตุใดการประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) ครั้งนี้ทางแคว้นเต่าดำเองถึงได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประลองครั้งนี้ขึ้นกัน หรือแม้กระทั่งงานประลองเวทย์ในเเต่ละครั้งก่อนหน้าที่เคยจัดขึ้นบรรดาแคว้นอื่นในโลกยุทธภพรวมไปถึงบรรดาสำนักในยุทธภพต่างพากันรับเป็นเจ้าภาพในการประลองเวทย์ในเเต่ละครั้งที่ผ่านมา มักจะได้รับการสนับสนุนการจัดประลองเวทย์ให้เกิดขึ้นอย่างไม่น้อยหน้า
หลากหลายฝ่ายที่ให้ความร่วมมือเพื่อจัดงานประลองเวทย์ดังกล่าวขึ้น ทั้งจากตระกูลใหญ่ของแคว้นเจ้าภาพในเเต่ละครั้ง หรือเหล่าราชวงศ์ปกครองแคว้นที่มักจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมมือในการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อจัดงานประลองเวทย์ขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาลเเต่นั่นก็เป็นเพราะว่าทุกฝ่ายยอมเสียส่วนน้อยเพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์มากกว่าจำนวนที่เสียไป เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ในหลากหลายด้าน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงกว้างไกลและเป็นที่นับถือเพิ่มมากขึ้นด้วย
นับได้ว่าการประลองของแคว้นที่ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง นอกจากที่จะเป็นการหาสุดยอดผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือที่โดดเด่นมากไปด้วยพรสวรรค์เพื่อเป็นหนึ่งผู้ฝึกตนที่สำคัญของเสาหลักในโลกยุทธภพแล้ว ย่อมเป็นการพึ่งพาเเลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ฝ่ายของตนนั้นต้องการเสียมากกว่า
''ข้าว่าในการจัดงานประลองเวทย์ในครั้งนี้ทางราชวงศ์เต่าดำของเราคงได้ผลประโยชน์ของส่วนต่างจากโต๊ะรับพนันไปเยอะเลยทีเดียวใช่ไหมขอรับ??'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมา
''นอกจากที่จะได้รับผลประโยชน์อันเป็นชื่อเสียงของแคว้นเต่าดำถึงความสามารถและความยิ่งใหญ่ในการจัดงานประลองเเล้ว ทางราชวงศ์เองยังได้รับเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาเติมในท้องพระคลังอีกด้วย...'' ลู่ซีตอบกลับหนิงอ้ายไปให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
การประลองเวทย์ของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ด้วยความรวดเร็วในความรู้สึกของผู้รับชมที่อยู่โดยรอบสนามประลอง ยิ่งจำนวนของรายชื่อผู้ประลองเหลือน้อยมากเท่าใด ความรุนแรงดุเดือดในการประลองก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
แน่นอนว่าด้วยการประลองในรอบนี้จะเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณทั้งสิ้น กล่าวได้ว่าผู้ฝึกตนที่ยังด้อยประสบการณ์ต่อสู้ หรือผู้ฝึกตนที่พึ่งสามารถข้ามผ่านราชทินนามขุนนางวิญญาณสู่เขตขั้นนี้ ต่างไม่ลงประลองสักเท่าไหร่นักเนื่องจากว่าร่างกายนั้นยังไม่สามารถปรับร่างกายให้รองรับการใช้พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากเสียจากผู้ฝึกตนที่มีความมั่นใจในฝีมือจริง ๆ ถึงจะเข้าร่วมประลองนี้ รวมไปถึงย่อมมีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยเลยเช่นกันที่ต่างเลือกที่จะไม่ลงประลองเนื่องจากว่าต้องการเก็บซ่อนฝีมือของตนไว้ใช้เป็นไพ่ตายในยามฉุกเฉินนั่นเอง
หนิงอ้ายมองการประลองเวทย์ที่พึ่งจบไปอีกหนึ่งคู่นั่นคือคุณชายจางเหยากวงจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์แดงพบกับคุณชายจงสือฮุ่ยจากตระกูลจงเเห่งแคว้นมังกรเขียว แน่นอนว่าจางเหยากวงคือน้องร่วมบิดาของเขานั่นเอง ด้วยความที่คุณชายทั้งคู่นั้นต่างฝ่ายต่างมีฝีมือในการใช้บทเวทย์ระดับสูง ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามจึงจะสามารถจบการประลองครั้งนี้ได้ โดยที่ทางฝ่ายของคุณชายจางเหยากวงนั้นเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะไปในรอบนี้
"ดูแล้วจางเหยากวงคงบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียวนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสภาพของจางเหยากวงที่ในตอนนี้ทางฝั่งของหมอประจำสนามประลองเข้าไปรักษาในทันทีหลังจบการประลองในรอบนี้
''คุณชายจางเหยากวงมีฝีมือที่โดดเด่นสมกับเป็นคุณชายในตระกูลใหญ่ของแคว้น และเป็นถึงศิษย์ในลำดับต้น ๆ ของทางสำนักศึกษาผิงอาน ฝีมือของอีกฝ่ายถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอดรุ่นเยาว์ที่น่าจับตามองเช่นกัน…" ลู่ซีทราบดีว่าคุณชายจางเหยากวงผู้นี้สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ตั้งเเต่เจ็ดขวบปี สามารถใช้ได้ทั้งสองพลังธาตุ
นอกจากนั้นจางเหยากวงยังเป็นถึงศิษย์สายในของสำนักศึกษาผิงอานอันเป็นสำนักศึกษาของตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์แดงเสียด้วย จึงถือได้ว่าจางเหยากวงย่อมติดอยู่ในรายชื่อของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมือ ความโดดเด่นกว่าผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของตระกูลจางสายหลักอย่างยิ่ง
"ตอนนี้มีผู้ที่ผ่านเข้ารอบเป็นตัวเเทนของการประลองผู้ฝึกตนพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณครบเเล้วทั้งสิ้นห้าคนได้แก่
คุณชายจงเสวียนคุณจากแคว้นมังกรเขียว
คนที่สองคุณชายหนิงจากแคว้นเต่าดำ
คนที่สามคุณชายจางเหยากวงจากแคว้นหงส์เเดง
คนที่สี่คุณชายโม่เหรินจากแคว้นเสือขาว
และคนสุดท้ายคุณชายหลิวอี้จากแคว้นมังกรเขียว!!!!"
เสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่เป็นผู้ดำเนินการประลองนั้นได้เอ่ยขึ้นประกาศออกมาเสียงดัง
สิ้นเสียงประกาศดังกล่าวผู้คนรอบ ๆ สนามประลองเวทย์ ต่างพากันส่งเสียงเชียร์โห่ร้องดังไปทั่วทั้งสนามเพราะหลังจากนี้นั้นในรอบการตัดสินจะถือได้ว่าถึงช่วงเวลาที่ผู้รับชมทุกคนต่างเฝ้ารอคอยแทบทั้งสิ้น เพราะได้ทราบเเล้วว่าผู้ฝึกตนในสิบอันดับนั้นจะเป็นใครกันบ้าง
"การประลองเวทย์ในรอบสิบคนสุดท้ายของการประลองของแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) คู่เเรกขอเชิญคุณชายหนิงจากแคว้นเต่าดำกับคุณชายจางเหยากวงจากแคว้นหงส์แดงลงสนามประลอง!!! " ผู้อาวุโสท่านเดิมได้จับสุ่มรายชื่อขึ้นมาเพื่อประกาศคู่ประลองถัดไปผู้คนโดยรอบสนามประลองนั้นต่างพากันส่งเสียงเชียร์อย่างคึกคักก่อนที่จะมีบางส่วนนั้นได้ลุกขึ้น มุ่งตรงไปยังโต๊ะพนันเพื่อรีบลงการเดิมพันในรอบนี้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายนั้นจะได้ร่วมประลองกับน้องชายร่วมสายเลือดบิดาของตนนั่นเอง
'มิคาดคิดเลยว่าจะได้เห็นการประลองของคุณชายหนิงกับคุณชายจางเหยากวงเป็นคู่ประลองเเรก...'
'ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงคุณชายจากตระกูลใหญ่ของแคว้น ส่วนอีกคนนั้นแม้จะไม่รู้ชื่อแซ่ว่ามาจากแคว้นใด เเต่ฝีมือในการประลองก่อนหน้าช่างชวนให้ตื่นเต้นยิ่งนัก!!'
'หากดูจากฝีมือของคุณชายทั้งสอง ข้าเองคาดเดาไม่ออกเลยว่าผู้ใดกันจะเป็นฝ่ายชนะในการประลองครั้งนี้…'
'หนักใจเสียจริง...ข้าไม่รู้ว่าจะเลือกลงเดิมพันฝ่ายไหนดี??'
'นั่นสิ ข้าก็เช่นกัน...'
เสียงของผู้รับชมในสนามประลองต่างได้พูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันกับตนข้าง ๆ อย่างคึกคัก
ตระกูลจาง
"จงเอาชัยชนะกลับมาให้ได้นะลูกเเม่" หวงลู่เอินเอ่ยขึ้นกับจางเหยากวงบุตรชายคนโตของตน
"ท่านเเม่อย่าได้กังวลไปเลยขอรับ ข้าจักเอาชนะให้ได้และจะได้เเก้แค้นไอ้บ่าวชั้นต่ำคนนั้นให้กับน้องรองเอง...'' คุณชายใหญ่จางเหยากวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับแววตาเกลียดขังที่ส่งผ่านไปยังลู่ซีรวมไปถึงคุณชายหนิงที่พึ่งจบการประลองไป
วูบหนึ่งนั้นเขาคิดไปได้ว่าคุณชายหนิงนั่นคือไอ้หนิงอ้ายสวะของตระกูลจาง เเต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ความคิดนี้เลยถูกปัดตกไป
"เจ้าอย่าได้ประมาทเล่า ไอ้บ่าวชั้นต่ำนั้นมันสามารถใช้บทเวทย์ระดับสูงได้อีกทั้งยังมีอสูรรับใช้ระดับมายาด้วย" หวงลู่เอินเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความกังวลไม่น้อยด้วยเพราะในตอนนี้ตนนั้นมีความรู้สึกบอกไม่ถูกกับอดีตบ่าวรับใช้คนนี้รวมไปถึงคุณชายหนิงที่นั่งข้างมันอีกคนทำเอานางเองนั้นสังหรณ์ในใจแปลก ๆ
"คุณชายหนิงที่เจ้าต้องลงประลองด้วย มารดารู้สึกอยู่ภายในอย่างบอกไม่ถูก คลับคล้ายคลับคลาแต่กลับคิดไม่ออก อย่างไรจงระวังตัวเจ้าให้ดี การประลองก่อนหน้าคุณชายหนิงผู้นี้แสดงให้เห็นความสามารถเพียงเคล็ดวิชากระบี่เท่านั้น..."
"แต่อย่างไรใช่ว่าคุณชายหนิงผู้นี้จะมีไพ่ลับที่ซุกซ่อนอยู่แต่เพียงผู้เดียวเสียเมื่อไหร่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านเเม่ผิดหวังขอรับ..." จางเหยากวงเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจก่อนจะลงไปยังสนามประลองในทันที...
เสียงประกาศจากผู้อาวุโสเมื่อครู่ได้เรียกรอยยิ้มของหนิงอ้ายออกมาในที่สุด ไม่คาดคิดว่าเขาจะได้ประลองร่วมกับน้องชายร่วมบิดาเดียวกันของหนิงอ้ายเช่นนี้ จากความทรงจำเดิมจางเหยากวงคนนี้ แม้ไม่ได้มีปัญหากับหนิงอ้ายโดยตรง แต่อย่างไรมารดาของอีกฝ่ายนั่นคือหวงลู่เอินต่างสั่งสอนบุตรชายของตนคนนี้ได้ดียิ่งนัก ถือเสียว่าเขาจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนอีกฝ่ายในฐานะพี่ชายเสียแล้วกัน
"อย่ากดดันตัวเองนักเล่า..." ลู่ซีนั้นเอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายเมื่อเห็นว่าคู่ประลองในรอบนี้คือคุณชายจางเหยากวงที่มีศักดิ์เป็นน้องชายร่วมบิดาของอีกฝ่าย
"เข้าใจแล้วขอรับ!!" หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับลู่ซีไปพร้อมกับที่ตัวเขาเองนั้นได้มุ่งตรงไปยังใจกลางสนามประลองในทันที...
"การประลองในรอบสิบคนสุดท้ายเพื่อหาสุดยอดรุ่นเยาว์ที่มากฝีมือทั้งห้า หรือที่ทุกคนต่างขนานนามว่าห้าเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ได้มาถึงแล้ว!!!!"
เฮ!!!!
"สำหรับผู้ฝึกตนคนแรกนั่นคือคุณชายจางเหยากวง สุดยอดรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมืออย่างแท้จริง สามารถเอาชนะคู่ประลองได้อย่างง่ายดายในหลายรอบที่ผ่านมา ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตี ระดับพลังวิญญาณ32 ตัวแทนจากตระกูลจางแห่งแคว้นหงส์แดง!!!!"
เฮ!!!!!
"และคู่ประลองในครั้งนี้นั่นคือคุณชายหนิงผู้ลึกลับ ผู้ที่มากไปด้วยฝีมืออันเก่งกาจทางด้านเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวแปลกตา ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตี ระดับพลังวิญญาณ32 ตัวแทนจากแคว้นเต่าดำของพวกเรา!!!!"
เฮ!!!!
"เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เริ่มการประลองได้!!!!"
หนิงอ้ายกับจางเหยากวงได้ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ตรงบริเวณกลางสนามประลองเวทย์ โดยที่ทางฝั่งของจางเหยากวงนั้นแม้จะไม่เห็นใบหน้าของหนิงอ้ายผู้เป็นคู่ประลองครั้งนี้ แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายใช้ชื่อในการประลองว่าคุณชายหนิงและชื่อนั้นพ้องไปกับชื่อหนิงอ้ายพี่ชายร่วมบิดาของตนที่เปรียบดังกับสวะของตระกูลจาง จึงนับว่าเป็นจุดเเรกที่ตัวเขานั้นรู้สึกเกลียดคนตรงหน้ายิ่ง
ยังไม่รวมกับที่คุณชายหนิงผู้นี้ได้นั่งข้างกันกับไอ้บ่าวชั้นต่ำนามว่าลู่ซี แม้ในตอนนี้นั้นหน้าตาของมันจะหล่อเหลา สวมเสื้อผ้าเนื้อดีราวกับว่าเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ เเต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จำได้ว่าคือบ่าวรับใช้คนสนิทของหนิงอ้าย อีกทั้งมันผู้นี้ยังทำร้ายน้องชายของตนให้บาดเจ็บและได้รับความอับอายในการประลองก่อนหน้านี้
เมื่อเขาได้เห็นท่าทางสนิทสนมของทั้งสองคนเเล้วนั้นจางเหยากวงจึงตัดสินใจจะเอาคืนผ่านคุณชายหนิงผู้นี้เเล้วค่อยจัดการตัวต้นเหตุที่ทำร้ายน้องชายของตนในรอบถัดไป เมื่อคิดได้ดังนั้นจางเหยากวงจึงเปิดการประลองจู่โจมหนิงอ้ายในทันที
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เพล้ง! เพล้ง!
"ข้าจะเล่นงานเจ้าโทษฐานที่มีชื่อคล้ายกับสวะที่ข้ารังเกียจผู้หนึ่ง และในรอบต่อไปข้าจะจัดการสหายของเจ้าอีกทีโทษฐานที่บังอาจมาทำร้ายน้องชายของข้า!!" จางเหยากวงเอ่ยออกมาพร้อมกับใช้กระบี่พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายอย่างดุเดือดรุนแรงราวกับว่าต้องการจบการประลองนี้ให้เร็วมากที่สุด
จากนั้นจึงไล่ต้อนโจมตีหนิงอ้ายอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชากระบี่หรือแม้กระทั่งบทเวทย์ระดับสูงต่างถูกนำออกมาใช้ในการประลองครั้งนี้แทบทั้งสิ้น โดยที่หนิงอ้ายนั้นได้ใช้เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายเข้าตั้งรับได้อย่างทันท่วงทีสวยงาม
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ตู้ม!
เคล็ดวิชากระบี่ของหนิงอ้ายได้ประสานเข้ากับเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้อย่างสมบูรณ์แบบ ทุกการเคลื่อนไหวทั้งการตั้งรับและการโจมตีล้วนเต็มไปด้วยความหนักหน่วงดุดันที่ไม่อาจดูเบาได้
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
"ฝีมือของคุณชายตระกูลจางมีเพียงเท่านี้เองรึ? ช่างน่าเสียดายที่ทางตระกูลจางนั้นเฝ้าสนับสนุนท่านเรื่อยมา หากได้เพียงเท่านี้นับว่าเป็นการลงแรงที่เสียเปล่ายิ่งนัก..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มยกที่มุมปากแม้ว่าภายใต้ผ้าคลุมนั้นจะไม่มีผู้ใดเห็นก็ตาม
''หาใช่กงการธุระอะไรของเจ้าไม่!! อย่ามัวแต่หลบหลีกเยี่ยงคนขี้ขลาดเช่นนี้!!!" จางเหยากวงนั้นรู้สึกเดือดดานในคำพูดยั่วยุของหนิงอ้ายเป็นอย่างมาก
การประลองยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบเร่ง หนิงอ้ายกับจางเหยากวงยังคงเลือกปะทะฝีมือกันด้วยทักษะเชิงยุทธ์และเคล็ดวิชากระบี่ โดยที่จางเหยากวงนั้นถือได้ว่ามีความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชากระบี่ของตระกูลจางสมกับคำร่ำลือ ทว่าเมื่อคู่ประลองของอีกฝ่ายนั่นคือหนิงอ้าย ผู้ที่เชี่ยวชาญในการนำเพลงกระบี่เข้าพลิกแพลงในสถานการ์ณต่าง ๆ อีกทั้งความพิศดารที่ซ่อนเร้นของกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ ย่อมส่งผลให้หนิงอ้ายสามารถช่วงชิงความได้เปรียบอย่างไม่ยากนัก
"หึ!! ไม่คาดคิดว่าเคล็ดวิชากระบี่ประจำตระกูลจางจะมีความอ่อนด้อยเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคล็ดวิชามีความบกพร่อง หรือผู้ที่เรียกใช้อย่างคุณชายนั้นไร้ฝีมือจนไม่อาจแสดงความลึกล้ำสุดยอดของเพลงกระบี่นี้ได้กัน?" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
"อย่าได้ปากดีมากนัก อย่างไรข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้เอง ว่าผู้ที่ไม่รู้จักหวั่นเกรงต่อข้า จะต้องพบเจอกับสิ่งใด??" จางเหยากวงรู้สึกราวกับว่าถูกหนิงอ้ายทำลายศักดิ์ศรีของทั้งตนและตระกูลยิ่ง เมื่อคิดได่เช่นนี้ตัวคนจึงไม่รอช้า มือขวากระชับด้ามกระบี่ให้แน่นก่อนที่จะเข้าฟาดฟันโจมตีหนิงอ้ายอีกครั้ง
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
"เฮ้อ คุณชายน้อย หากท่านไม่เอาจริงเช่นนี้ข้าว่าอีกไม่นานบนร่างกายทุกส่วนของเต็มไปด้วยร่องรอยจากคมกระบี่ของข้าเสียแล้วกระมัง ฝีมือของคุณชายตระกูลจางสายหลักคงมีเพียงเท่านี้ ช่างน่าชื่นชมเสียจริง!!!" หนิงอ้าบเอ่ยถ้อยคำยั่วยุ พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
ถ้อยคำจากคุณชายหนิงเมื่อครู่ กับพวกเขาเกือบทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้น แม้คำกล่าวนั้นจะแผ่วเบาเพียงใด แต่กลับได้ยินชัดเจนในความรู้สึกยิ่ง ความรู้สึกราวกับว่าถูกตบหน้าด้วยรอยยิ้มคงเป็นเช่นนี้พวกเขาพึ่งได้กระจ่างแก่ใจเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
"เจ้า!!! เห็นทีว่าเจ้ากับข้าคงต้องมีใครสักคนที่ต้องออกจากสนามประลองด้วยอาการไม่สู้ดีเสียแล้ว!!!" จางเหยากวงชี้หน้าหนิงอ้าย พร้อมกับตะโกนดังขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ไม่คาดคิดว่าด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียงสองสามเค่อนี้มันได้ทำให้เขารู้สึกอับอายไปสักเท่าไหร่แล้ว...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย