แม้ว่าหลิวอี้จะร่ายบทเวทย์โจมตีไปยังคุณชายทั้งสองอย่างต่อเนื่องกลับไปไม่น้อยเช่นกันเเต่ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันตนเองและลู่ซีในทันท่วงที ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยบทเวทย์ระดับสูงและทรงพลังเเค่ไหนก็ไม่สามารถทำอันตรายกับพวกเขาทั้งสองได้เลยสักนิด เพียงสองเค่อเท่านั้นเกราะป้องกันอันเกิดจากศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬของคุณชายหลิวอี้นั้นไม่สามารถตั้งรับได้ไหวเเล้วและเเตกสลายลงไปในที่สุด
"อั๊กกกซ์!!! ข้าขอยอมแพ้คุณชายทั้งสอง เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ประลองกับพวกท่าน!!" ทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้นั้นเอ่ยออกมาด้วยรู้ตัวว่าหากเขานั้นฝืนใช้พลังวิญญาณและศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬต่อไป
แม้ว่าจะสามารถตั้งรับได้นานมากกว่านี้เเต่ผลกระทบหลังจากนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เพราะอาจจะเกิดความเสียหายไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียวซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วเส้นทางผู้ฝึกตนของเขานั้นคงไม่มีทางก้าวหน้าได้อีก ดังนั้นถึงจะพ่ายแพ้ไปเเต่นับได้ว่าเขานั้นได้สร้างชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งแคว้นสิงโตเพลิงบนยุทธภพของทวีปบูรพาได้แล้ว อีกทั้งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ที่ขึ้นตรงกับวิหารเทพยุทธ์ที่รับประกันได้ว่าหลังจากนี้เส้นทางการเป็นผู้ฝึกตนของเขานั้นย่อมไม่มีทางเลวทราม
"ลู่เกอ เรามาจบการประลองนี้ด้วยคนละหนึ่งบทเวทย์กันเถิดขอรับ!!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับลู่ซีเนื่องจากว่าอีกฝ่ายในตอนนี้นั้นสูญเสียพลังปราณไปอย่างมากรวมไปถึงอาการบาดเจ็บเหนื่อยล้าจากการประลองในรอบก่อนหน้าที่ส่งผลให้ตอนนี้ตัวคนนั้นหายใจหอบหนักและเรี่ยวแรงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าตอนนี้ลู่ซีจะสามารถศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของตระกูลหวังได้เเล้ว เเต่ด้วยเพราะเริ่มศึกษาเพียงไม่นานจึงอาจทำให้ยังไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้และสามารถเเสดงศักยภาพได้เพียงขั้นที่สองของเคล็ดวิชาเพียงเท่านั้น ดังนั้นการประลองด้วยบทเวทย์หนึ่งบทเพื่อตัดสินผู้แพ้ชนะย่อมเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาทั้งสองคน
"เข้าใจเเล้ว!!!เกอจะเเสดงฝีมืออย่างเต็มที่เจ้าก็เช่นกัน..." ลู่ซีตอบกลับหนิงอ้ายไป
ในใจเขานั้นรู้ดีว่าความสามารถที่หนิงอ้ายมีอยู่ในตอนนี้สามารถประลองข้ามขั้นกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงได้เลยเสียด้วยซ้ำ ไม่นับรวมไปถึงบทเวทย์ระดับเทวะที่อีกฝ่ายใช้เวลาว่างคิดค้นขึ้น ถึงแม้ว่าการประลองครั้งนี้ตนอาจจะพ่ายแพ้ไปเเต่นั่นหาใช่สิ่งสำคัญเท่ากับการทำให้ท่านตาหวังจิ่งหลง ท่านยายเหมยฮวา ท่านเเม่เยว่ซินรวมไปถึงตระกูลหวังต้องภูมิใจและยอมรับในความสามารถของตนให้สมกับฐานะบุตรบุญธรรมของตระกูลหวังสายหลัก ถึงเขาจะพ่ายแพ้ไปเเต่แล้วอย่างไรเล่าเพราะสุดท้ายก็เป็นหนิงอ้ายที่เป็นน้องชายของเขาเป็นผู้ที่ชนะอันดับหนึ่งของการประลองเวทย์ครั้งนี้อยู่ดี
"นี่คือบทเวทย์ระดับสูงสุดที่ข้าสามารถร่ายออกมาได้ เตรียมรับมือ!!!!"ลู่ ซีตะโกนก้องออกมาพร้อมกับรีดพลังปราณอออกมาถึงขีดสุด
อัญเชิญบทเวทย์ยันต์มหาเขตแดนอัสนีลงทัณฑ์!
วูบ!
ลู่ซีร่ายบทเวทย์ระดับเซียนที่หนิงอ้ายได้เขียนขึ้นมาให้แก่เขาโดยเฉพาะบทนี้อีกครั้งถึงก่อนหน้านี้เขาได้ใช้บทเวทย์นี้ไปเเล้วในการประลองกับจางหมิงหวังเเต่ทว่าครั้งนั้นเขาได้ลดทอนพลังวิญญาณลงมาอยู่ที่ห้าส่วนเท่านั้นเเต่ว่าในครั้งนี้เขารีดเค้นพลังวิญญาณที่มีทั้งหมดที่มีอยู่ แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้หวังที่จะชนะการประลองเวทย์นี้เเต่เป้าหมายนั่นคือการทราบขีดจำกัดของตนว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถสำเเดงศักยภาพออกมาได้มากเพียงใด
ทันใดนั้นวงเวทย์อักขระของบทเวทย์ระดับเซียนปรากฏขึ้นในสนามประลองและได้ขยายอาณาเขตคลอบคลุมโดยรอบตัวของลู่ซีในทันที ซึ่งกลิ่นอายของบทเวทย์ระดับเทวะเข้มข้นได้แผ่ไปทั่วทั้งสนามประลองเวทย์ทำเอาผู้คนที่อยู่โดยรอบนั้นต่างอดที่จะชื่นชมในความเเข็งแกร่งและพรสวรรค์ที่เขามีอยู่ไม่ได้
ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นกังวลใจเล็กน้อยที่เห็นว่าลู่ซีฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะออกมาอีกครั้ง เเต่เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายครั้งนี้นั้นช่างเข้มข้นกว่าตอนที่ร่ายบทเวทย์ออกมาใช้กับคุณชายจางหมิงหวังหลายเท่านัก ทำให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายจริงจังในการประลองครั้งสุดท้ายนี้เเค่ไหน เพื่อเเสดงฝีมือของเขาให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อการประลองที่สมศักดิ์ศรีดังนั้นเขาจึงเลือกใช้ศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรของตนเพื่อจบการประลองครั้งนี้อย่างสวยงามเอง
อัญเชิญศาสตร์ลับกายาผสานอสูร!
พรึบ!
ทันใดนั้นบริเวณพื้นสนามประลองที่หนิงอ้ายยืนอยู่ปรากฎเป็นพื้นน้ำเเข็งแผ่ขยายไปทั่วโดยรอบอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันที่ด้านบนติดกับม่านพลังป้องกันนั้นปรากฎเป็นเกล็ดหิมะสีขาวบริสุทธิ์ตกลงมาอย่างมากมายมหาศาล ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเพียงชั่วพริบตานั้นสร้างความตกตะลึงแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก แน่นอนว่าศาสตร์ลับกายาผสานอสูรเป็นศาสตร์ที่ดึงเอาความสามารถของสัตว์อสูรที่ผู้ฝึกตนได้ประสานในร่างกายออกมาใช้เพิ่มพลังปราณและออกวิชายุทธ์ให้กับตน แม้ว่าอาจจะไม่เทียบเท่ากับต้นร่างเดิมของสัตว์อสูรเเต่ก็นับได้ว่าเเข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งนัก
จากความเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันที่เกิดขึ้นแม้ว่าผู้คนโดยรอบสนามประลองเวทย์นี้จะไม่ทราบว่าเป็นผลึกของสัตว์อสูรใดกันแน่ที่คุณชายหนิงอ้ายนั้นได้ประสานเข้ากับร่างกายของตนไป เเต่เมื่อพินิจจากกลิ่นอายทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาอานุภาพที่สำแดงออกมานั้นกล่าวได้ว่าอาจจะเป็นผลึกอสูรที่มีอายุมากกว่าหนึ่งแสนปีขึ้นไปอย่างแน่นอน และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง นับว่าคุณชายหนิงอ้ายนั้นคงมีวาสนาได้พบกับเคล็ดวิชาพิศดารในการประสานผลึกอสูรกับร่างกายเป็นแน่เพราะทั่วไปนั้นสำหรับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิควรเป็นผลึกอสูรที่มีอายุไม่เกินสี่พันปีเพราะหากมากไปกว่านี้ยากที่ร่างกายของผู้ฝึกตนจะสามารถรับไหวได้
ไม่รู้ว่าคุณชายหนิงอ้ายผู้นี้เป็นลูกรักของสวรรค์หรืออย่างไรเพราะนอกจากคำร่ำลือที่ว่าอีกฝ่ายใช้เวลาเพียงเเค่หนึ่งปีกว่าในการเริ่มปลุกพลังวิญญาณจนตอนนี้อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสามัญช่วงปลายที่เกือบจะทะลุเป็นจักรพรรดิขั้นสูงเเล้ว ยังสามารถครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษษที่นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรในตำราที่ถูกบันทึกไว้ที่ไม่มีใครคิดว่ามีอยู่จริงจนได้พบเห็นกับตาของตนเองในวันนี้ ความสามารถในการประสานร่างกายของตนเข้ากับผลึกอสูรที่มีอายุหนึ่งแสนปีขึ้นไปหรือข้ามไปเพียงหนึ่งขั้นของการประสานกระดูกวิญญาณหาได้เคยเกิดขึ้นให้เห็นไม่ ช่างน่าอิจฉาตระกูลหวังยิ่งนักที่มีลูกหลานที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่อยู่เหนือผู้คนเช่นนี้...
ทันทีที่ศาสตร์ลับกายาผสานอสูรสำเเดงเดชรอบตัวของหนิงอ้ายพลันปรากฎเป็นเงาร่างของสัตว์อสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลรูปร่างใหญ่โตสีขาวเงินบริสุทธิ์ที่แผ่กลิ่นอายความเย็นเยือกออกมาจนเห็นไอหมอกสีขาวได้ชัด ชวนให้รู้สึกราวกับว่าเป็นความหนาวเย็นแห่งปฐมกาลเเรกเริ่มของยุทธภพ ภาพที่ทุกคนได้มองเห็นนั้นเป็นภาพความงดงามที่อันตรายอย่างยิ่ง ต้องบอกก่อนว่าม่านพลังในการประลองนี้ถูกเสริมความเเข็งแกร่งไปหลายชั้น ทว่าร่างจำแลงอสูรนี้ยังสามารถสร้างกดดันกับผู้คนโดยรอบของสนามประลองได้อีกทั้งส่งผลให้ม่านพลังบางส่วนมีเกร็ดน้ำเเข็งขึ้นจนฝ่ายควบคุมสนามต้องรีบเร่งเข้ามาเสริมความเเข็งแกร่งเพิ่มเข้าไปอีกหลายชั้นเลยทีเดียว...
ลู่ซีที่เห็นศาสตร์ลับกายาผสานอสูรของหนิงอ้ายนั้นเขายกยิ้มขึ้นใบหน้าเเสดงความชื่นชมและภูมิใจอย่างปิดไม่มิด หลายปีก่อนหนิงอ้ายเคยถูกเรียกว่าเป็นสวะของตระกูลเพียงเเค่ไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้ เเต่ในวันนี้นั้นอีกฝ่ายกลับกลายเป็นผู้ฝึกตนที่เปี่ยมไปด้วยฝีมือและมากล้นไปด้วยพรสวรรค์ การประลองครั้งนี้เขาจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เเต่เขาไม่รู้สึกเสียใจสักนิด เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ นั่นก็คือการประลองของสองพี่น้องตระกูลหวังที่จะเป็นที่เล่าขานในโลกยุทธภพของทวีปบูรพาอย่างไม่ลืมเลือนอย่างแน่นอน ไม่รอช้าลู่ซีตะโกนออกมาด้วยเสียงดังก้องสุดเสียง
บทเวทย์ยันต์มหาเขตแดนอัสนีลงทัณฑ์!
พรึบ!
ลงทัณฑ์!
พรึบ! พรึบ!
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ตู้ม!
สายฟ้าอันเกิดจากบทเวทย์ระดับเทวะในเขตแดนดังกล่าวทำให้ผู้คนโดยรอบสนามประลองรู้สึกเเปลกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่คิดว่าคุณชายลู่ซีจะลงมือหนักถึงเพียงนี้ ด้วยบทสนทนาที่ได้ยินนั้นทำให้พวกเขารับรู้ได้ว่าคุณชายทั้งสองเป็นพี่น้องในตระกูลหวังเเต่ทว่าในการประลองเวทย์รอบสุดท้ายนี้ทั้งคู่ต่างไม่ยึดถือความสัมพันธ์อะไรทั้งสิ้นถือเพียงว่าพวกเขานั้นเป็นเพียงผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์สองคนที่ได้เข้าประลองและต้องการเเสดงศักยภาพขั้นสูงสุดของตนที่มีอยู่ออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาและเหนือสิ่งอื่นใดนั่นคือการให้เกียรติของคู่ประลองของตนอย่างสมศักดิ์ศรีนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าลู่ซีร่ายบทเวทย์ออกมาเเล้วหนิงอ้ายไม่รอช้าที่จะรีดเค้นพลังลมปราณขั้นสูงสุดของตนออกมาในทันที
ศาสตร์ลับกายาผสานอสรพิษเหมันต์บรรพกาลสำเเดงเดช!
ตู้ม!
เสียงปะทะดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองเวทย์ ม่านพลังสั่นไหวไปมาเป็นระลอกคลื่นเพราะผลจากใช้หนึ่งบทเวทย์ระดับเซียนจากผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูงช่วงปลายและศาสตร์ลับกายาผสานอสูรจากผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญช่วงปลายไม่สามารถดูเบาได้สักนิด
ภาพที่ปรากฎแก่สายตานั่นคือทั่วทั้งสนามประลองเวทย์ปรากฎเป็นเขตแดนเเห่งอัสนีที่มีสายฟ้ามหาศาลร้องคำรามพุ่งตกลงมาด้วยความรวดเร็วที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าสามารถทะลุ สร้างความเสียหายแก่พื้นการประลองอย่างน่าตกใจ เเต่เพียงชั่วลมหายใจเงาร่างจำเเลงของอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลได้ขยายตัวขึ้นหลายเท่ ทะยานพุ่งทำลายทัณฑ์แห่งอัสนีจากบทเวทย์ระดับเทวะ ทำการแช่เเข็งสายฟ้าดังกล่าวให้หยุดนิ่งและเข้าโจมตีโดยการตวัดหางเหมันต์ไปทางลู่ซี เมื่อเห็นเช่นนั้นลู่ซีไม่รอช้าออกบทเวทย์ป้องกันการโจมตีนี้อย่างทันท่วงที
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการม่านพิภพบรรพกัณฑ์!
พรึบ!
ตู้ม! ตู้ม!
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
"อั๊กกกซ์!!! ข้าขอยอมเเพ้..." ลู่ซีเอ่ยออกมาหลังจากรับมือกับการโจมตีเมื่อครู่พร้อมกับกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ แม้ว่าเขาจะรีดเค้นพลังลมปราณที่มีอยู่ในการร่ายบทเวทย์ป้องการโจมตีของหนิงอ้าย ทว่าร่างจำแลงของอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลนั้นช่างเเข็งแกร่งยิ่งนัก เขาสัมผัสได้ว่าหนิงอ้ายนั้นลดพลังลมปราณเหลือเพียงครึ่งเท่านั้นก่อนที่เขาจะถูกโจมตีแม้จะเพียงครึ่งเเต่ก็เพียงพอให้บทเวทย์ป้องกันของเขานั้นแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว ลู่ซีได้ยินเสียงของหนิงอ้ายดังขึ้นไกล ๆ เเต่เขานั้นลืมตาไม่ไหวเเล้วและสิ้นสติไปในที่สุด
"ลู่เกอออ!!!!!!!"หนิงอ้ายตระโกนออกมาพร้อมกับพุ่งทะยานเข้ามาพยุงตัวของลู่ซีในทันที
หนิงอ้ายรีบใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้พุ่งไปรับตัวของลู่ซีโดยทันทีและรีบล้วงเอาโอสถรักษาระดับสูงป้อนให้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้นเขาค่อย ๆ ดึงพิษเหมันต์ที่แฝงมากับศาสตร์ลับกายาผสานอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลออกจากร่างกายของอีกฝ่ายเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้มีพิษเหมันต์ตกค้างอยู่ภายในตัวลู่ซีเ
พราะหากเป็นเช่นนั้นเเล้วอาจจะส่งผลถึงการเลื่อนขั้นของระดับพลังวิญญาณในวันข้างหน้าเลยทีเดียว เมื่อได้รับโอสถรักษาระดับสูงเพียงไม่นานรวมไปถึงหนิงอ้ายนั้นได้ทำการดึงพิษเหมันต์ออกจากร่างกายจนหมดสิ้นลู่ซีค่อย ๆ ฟื้นสติขึ้นมาเเต่ทว่ากลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเสียจนหนิงอ้ายนั้นต้องจับตัวของอีกฝ่ายยืนข้างกันให้มั่นคง...
ต้องบอกก่อนว่าโดยปกติเเล้วสำหรับการร่ายบทเวทย์ระดับเทวะในเเต่ละครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นบทเวทย์ป้องกัน บทเวทย์โจมตีหรือแม้กระทั่งบทเวทย์เขตแดนก็ตาม ด้วยเพราะต่างเป็นบทเวทย์ระดับ ดังนั้นการที่ผู้ฝึกตนจะสามารถร่ายบทเวทย์ระดับเทวะนี้ออกมาได้จะต้องมีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขึ้นไปจึงจะดีที่สุด
ต้องมีความมั่นคงของรากฐานการบ่มเพาะพลังลมปราณอยู่ไม่น้อยถึงจะสามารถดึงเอาศักยภาพที่พึงมีของบทเวทย์ระดับเทวะออกมาได้ทั้งหมด เเต่ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขึ้นไปนั้นจะสามารถใช้บทเวทย์ระดับเทวะนี้ออกมาได้ทั้งสิบส่วนเสมอไปเพราะทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง
และด้วยเพราะการร่ายบทเวทย์ระดับเทวะในเเต่ละครั้ง นับได้ว่าใช้พลังลมปราณไปเป็นอย่างมหาศาล ยิ่งกับตัวของลู่ซีเองที่ในตอนนี้มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น พิจารณาจากปัจจัยภายนอกและตัวของผู้ฝึกตนแล้วจะเห็นได้ว่าการร่ายบทเวทย์ระดับเทวะโดยผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูงค่อนข้างที่จะเกินตัวไปมากเเต่ถึงอย่างไรเขาก็สามารถดึงเอาศักยภาพของบทเวทย์ออกมาได้มากถึงเจ็ดส่วนซึ่งค่อนข้างสูงเลยทีเดียวสำหรับขีดจำกัดที่มีอยู่ในตอนนี้นับได้ว่าลู่ซีนั้นเป็นอีกหนึ่งผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมือโดดเด่นกว่ารุ่นเดียวกันที่ควรค่าแก่การยกย่องเช่นกัน
ในการประลองสองคนสุดท้ายเพื่อช่วงชิงตำแหน่งจ้าวยุทธภพรุ่นเยาว์แห่งมหาทวีปบูรพานั้นสองบทเวทย์อหังการได้เกิดขึ้นในสนามประลองเวทย์รุ่นเยาวครั้งนี้ แม้ว่าทางคุณชายลู่ซีจะสามารถใช้บทเวทย์ระดับเซียนในการโจมตีเเต่ทางฝั่งของคุณชายหนิงอ้ายนั้นเลือกที่จะสำเเดงศาสตร์ลับกลืนนภาอสูร สิ่งที่น่าตกใจนั้นคือกลิ่นอายของศาสตร์ลับที่แผ่ออกมาในบริเวณโดยรอบนั้นถึงกับเป็นอสูรเหมันต์ตัวหนึ่งซึ่งพินิจดูเเล้วผลึกอสูรดังกล่าวน่าจะมีอายุหนึ่งแสนปีขึ้นไปนับได้ว่าได้ยากยิ่งที่จะเจอผลึกอสูรอายุหนึ่งแสนปี
ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เพื่อให้ได้มาเพราะสัตว์อสูรที่มีอายุหนึ่งแสนปีขึ้นไปนั้นพลังวิญญาณระดับเซียนยังคงต้องร่วมมือกันมากกว่าห้าคนถึงจะกำราบได้และแน่นอนว่าในมหาทวีปบูรพานี้หาได้ปรากฎผู้ฝึกตนระดับเซียนมานานนับพันปีเเล้วดังนั้นยังคงเป็นปริศนาว่าคุณชายหนิงอ้ายนั้นได้ผลึกอสูรที่มีอายุหนึ่งแสนปีนี้ได้อย่างไรกัน ซึ่งท้ายที่สุดเเล้วผลการประลองเวทย์ครั้งนี้ผลเป็นไปตามที่ทุกคนคาดเดาได้นั่นคือคุณชายหวังหนิงอ้ายเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งและคุณชายลู่ซีนั้นย่อมเป็นผู้ชนะอันดับสอง แม้ความรุนแรงของศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรของคุณชายหนิงอ้ายนั้นจะสำแดงออกมาเพียงเเค่ครึ่งเเต่ทว่าพลานุภาพดังกล่าวสามารถทำลายบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะของคุณชายลู่ซีได้อย่างง่ายดาย...
"ผู้ชนะการประลองได้แก่คุณชายหวังหนิงอ้ายจากตระกูลหวังเเห่งแคว้นเต่าดำ!"
ผู้อาวุโสที่ดำเนินการประลองได้ประกาศผลออกมาในที่สุดผู้คนโดยรอบสนามประลองต่างพากันส่งเสียงดังกึกก้องกันอย่างคึกคัก ส่วนหนึ่งนั้นคือผลของการประลองเวทย์ในครั้งนี้นับว่าผิดจากความคาดหมายไปมากเพราะหลังจากที่มีการปรากฎตัวของคุณชายหวังหนิงอ้ายและคุณชายลู่ซีแห่งแคว้นเต่าดำเข้าร่วมการประลอง ในเเต่ละรอบทั้งทั้งสองต่างเเสดงฝีมือที่โดดเด่นออกมาเอาชนะคู่เเข่งขันอีกทั้งด้วยเพราะคุณชายทั้งสองนั้นเเต่เดิมทีไม่ได้อยู่ในการรับรู้ถึงพรสวรรค์ฝีมืออันโดดเด่นในนามของรุ่นเยาว์จากตระกูลใหญ่ที่มากไปด้วยฝีมือจากเเต่ละแคว้น
ดังนั้นจึงทำให้ผลของผู้ชนะในห้าอันดับเเรกต่างมีการสลับลำดับกันตามผลของการประลองที่พึ่งจบไปเเต่ถึงอย่างไรนั้นสำหรับผู้เข้าประลองอีกสามคนที่เหลือต่างได้รับชื่อเรียกนำหน้าตนว่าเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพาเเล้ว การประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ได้จบลงอย่างสมศักดิ์ศรีและเต็มไปด้วยความภาคภูมิผู้เข้าประลองทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในลำดับไหน จะผ่านเข้ารอบหรือไม่ผู้คนในยุทธภพต่างยอมรับในฝีมือทั้งเชิงยุทธ์ พลังเวทย์อย่างไม่มีข้อกังขาใดใดทั้งสิ้น
"ในที่สุดเจ้าก็ทำได้เเล้วนะหนิงอ้าย..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายที่ยืนอยู่ข้างกันด้วยความยินดีในความสำเร็จของอีกฝ่ายในวันนี้
กล่าวได้ว่าลู่ซีอยู่กับหนิงอ้ายในทุกเส้นทางที่ผ่านมาทั้งสิ้นก็คงไม่เกินจริงสักเท่าไหร่นัก ภาพของเด็กชายตัวเล็กรูปร่างบอบบางที่มักจะแอบดูเขาและน้องร่วมบิดาเดียวกันฝึกฝนบทเวทย์ในขณะที่ตัวเองนั้นทำได้เพียงเเค่ศึกษาตำราเเพทย์และศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อใช้เวลาให้เป็นไปคุ้มค่าเท่าที่จะสามารถทำได้
ด้วยเพราะอีกฝ่ายนั้นมีร่างกายที่ไม่เเข็งแรงเท่าไหร่นักจึงส่งผลให้การฝึกฝนเชิงยุทธ์หรือการต่อสู้ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน แม้ว่าหนิงอ้ายในวัยเด็กจะกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสเเต่ลู่ซีรู้ดีว่าภายในใจของเด็กน้อยในยามนั้นรู้สึกเจ็บปวดมากเพียงใดกับคำกล่าวว่าตนเป็นเพียงคุณชายที่เปรียบดั่งสวะไร้ค่าของตระกูลเพียงเพราะไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้
"ข้าทำได้แล้วขอรับ...จากนี้ผู้คนจะจดจำชื่อของหวังหนิงอ้ายในนามของเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์เเห่งทวีปบูรพาหาใช่สวะไร้ค่าอีกต่อไป!!!" หนิงอ้ายยิ้มรับด้วยความยินดีกับชัยชนะในครั้งนี้เพราะในที่สุดเขาสามารถทำตามที่ตนตั้งใจเอาไว้สำเร็จนั่นคือการทำให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าหนิงอ้ายนั้นหาใช่สวะของตระกูลและเป็นถึงจ้าวยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพาซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งที่ได้รับการยอมรับนับถือทั่วทั้งยุทธภพเเห่งนี้คล้ายกับว่าได้ปลดพันธนาการในใจของหนิงอ้ายคนเก่าได้สำเร็จเพราะว่าเขานั้นได้ยินเสียงกล่าวขอบคุณด้วยความซึ้งใจ คำอวยพรที่เต็มไปด้วยความหวังดีของอีกฝ่ายจากสายลมที่พัดมาเบา ๆ เมื่อครู่ซึ่งเขาเองได้เเต่หวังให้อีกฝ่ายนั้นได้ไปเกิดใหม่ได้ใช้ชีวิตให้ดี...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย