Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่​47 ใครให้ความกล้าพวกเจ้า

Share

บทที่​47 ใครให้ความกล้าพวกเจ้า

พื้นที่โดยรอบในรัศมีสองลี้ ปรากฎเป็นโดมอัคคีสีขาวคลอบคลุมบริเวณโดยรอบเอาไว้อย่างแน่นหนา ม่านปราการของเขตแดนปราการอัคคีเหมันต์นี้มีความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังปิดกันการรับรู้และปกปิดสายตาของผู้ที่อยู่ภายนอกได้ทั้งสิ้น มากไปกว่านั้นบทเวทย์เขตแดนนี้ยังส่งผลให้ผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณธาตุน้ำ ที่เป็นฝั่งศัตรูตรงข้ามนั้นต่างได้รับผลกระทบ โดยที่พลังวิญญาณจะลดลงครึ่งหนึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบยิ่งนักกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างมาก

บทเวทย์เขตแดนนี้แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อดีที่ได้เปรียบเป็นอย่างมากก็จริง ถึงอย่างไรนั้นข้อเสียของบทเวทย์เขตแดนนี้คือผู้ที่ร่ายบทเวทย์จะสูญเสียพลังลมปราณเป็นอย่างมาก หนิงอ้ายที่ตอนนี้แม้จะเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงที่มีรากฐานบ่มเพาะเเข็งแกร่ง เเต่ด้วยความแตกต่างของพลังวิญญาณและระดับของบทเวทย์ก็ทำให้หนิงอ้ายนั้นถูกดูดพลังวิญญาณออกไปจนสามารถเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว

"ทำให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้ามีความสามารถฝ่าเขตแดนของข้าออกไปได้อย่างไร?? " หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเเล้วเหล่าองครักษ์ที่เหลือเมื่อเห็นว่าคุณชายของตนทะยานตัวเข้าไปสู้กับฝ่ายตรงข้ามเเล้ว พวกเขาจึงไม่รอช้าที่จะเข้าปกป้องนายของตนในทันที

ทุกครั้งที่หนิงอ้ายได้ตวัดกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ ลิ่มน้ำเเข็งที่เเหลมคมจะพุ่งเข้าโจมตีเหล่าชายชุดดำด้วยความรวดเร็วที่เหนือความคาดหมาย เพียงเเค่หนึ่งท่าพิฆาตก็สามารถสังหารศัตรูฝั่งตรงข้ามที่มีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงไปถึงสี่คนในคราเดียวได้อย่างง่ายดาย

เหล่าองค์รักษ์คุ้มกันต่างเเยกย้ายกันโดยเเบ่งเป็นสองคนปิดล้อมป้องกันรถม้าที่มีคุณชายใหญ่ลู่ซีอยู่ด้านใน อีกสองคนที่เหลือรีบตามไปประกบป้องกันหนิงอ้ายในทันที เเต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจะง่ายดายอย่างที่คิดเพราะกลุ่มนักฆ่าชุดดำเหล่านี้หาใช่มีฝีมือธรรมดาสามัญเช่นกัน ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างตึงมืออยู่ไม่น้อย

หัวหน้ากลุ่มนักฆ่ารับจ้างลอบประเมินในใจเเล้วว่าคุณชายหนิงอ้ายผู้นี้หาได้ลงมือได้ง่าย ดังนั้นมันจึงเรียกเหล่าลูกน้องที่เหลือรวมเป็นสิบคนเข้ามาโจมตีหนิงอ้ายเพียงคนเดียว บนใบหน้าของหนิงอ้ายที่ถูกปลอมเเปลงแล้วนั้นหาได้รู้สึกกดดันอะไรทั้งสิ้นกลับกันนั้นยังรู้สึกสนุกสนานเสียด้วยซ้ำ เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือที่ตอนนี้เขานั้นสามารถใช้ได้อย่างคุ้นชินเเล้วนั้นได้ส่งการโจมตีออกไปในวงกว้าง ลิ่มน้ำเเข็งคล้ายกับผลึกแวววาวที่เเข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าอีกทั้งพุ่งกระจายไปโดยรอบไม่ต่างจากฝูงดาวตกเหมันต์นับร้อยนับพันดวง

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าเป็นเวลาที่ยาวนาน เเต่ถึงอย่างนั้นเวลาได้ผ่านไปเพียงสองเค่อเท่านั้น ทางฝั่งของหนิงอ้ายยังคงปะทะกับเหล่าชายชุดดำที่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงสิบคนเเล้ว ทางฝั่งขององครักษ์ที่เเบ่งเป็นฝั่งละสองคนต่างเเยกย้ายกันรับมือกับชายชุดดำเหล่านั้นได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ ด้วยเพราะต่างมีพลังวิญญาณในระดับเทวะวิญญาณเช่นเดียวกัน ดังนั้นการปะทะในครั้งนี้จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำไปก่อนคงต้องอาศัยเพียงเวลาเท่านั้น

"ผู้ใดเป็นคนส่งพวกเจ้า!!!" หนิงอ้ายเค้นถามในขณะที่กระบี่ของเขานั้นพาดอยู่บนลำคอขอชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้า

"เจ้าไม่มีทางรู้ได้..." ชายชุดดำยังคงยืนกรานที่จะไม่เอ่ยชื่อผู้จ้างวานตนในภารกิจครั้งนี้

"ช่างเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ยิ่งนักเช่นนั้นเเล้วจงสังเวยวิญญาณนี้ให้แก่ข้าไปพร้อมกับกับเหล่าพี่น้องของเจ้าเสียเถิด" เอ่ยจบหนิงอ้ายจึงทำการตวัดคมกระบี่ผ่านลำคอของบุรุษชุดดำที่เป็นหัวหน้าทันที

กระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ได้ตัดผ่านลำคอของบุรุษชุดดำผู้ที่เป็นหัวหน้าในภารกิจการจ้างวานฆ่าในครั้งนี้ ส่วนหัวของอีกฝ่ายล่วงลงสู่พื้นโลหิตมากมายไหลนองจากส่วนของคำคอช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่

สายตาของเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างประจักษ์ในความสามารถคุณชายหนิงอ้ายยิ่งนัก แม้ว่าพวกตนจะคอยช่วยสังหารเหล่านักฆ่าพวกนี้ไปหลายคนก็จริงเเต่เมื่อเทียบกับจำนวนเเล้วยังน้อยกว่าที่คุณชายหนิงอ้ายสามารถจัดการได้สำเร็จ โดยที่ร่างบางของเด็กหนุ่มนั้นยังไร้ซึ่งรอยแผลใดใดทั้งสิ้นเเสดงให้เห็นถึงฝีมือที่เต็มเปี่ยม

ฟังว่าคุณชายหนิงอ้ายนั้นพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณเมื่อสองปีก่อน ทว่าตอนนี้กลับมีพลังวิญญาณอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูง แม้ว่ากลุ่มรุ่นเยาว์ตระกูลใหญ่ของเเต่ละแคว้นในมหาทวีปต่างยืนอยู่ในขั้นพลังนี้อยู่ไม่น้อย กลุ่มรุ่นเยาว์เหล่านี้ต่างมีความโดดเด่นน่ายกย่องแก่ผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเเล้ว

คุณชายหนิงอ้ายที่ใช้เวลาเพียงสองปีเท่านั้นกับพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูง อีกทั้งพรสวรรค์ความสามารถที่ถูกยืนยันด้วยฐานะของเจ้าเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์แห่งทวีปบูรพาและด้วยอายุสิบห้าปีเเต่กลับเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ที่ทอดสายตามองไปทั่วมหาทวีปแล้วคงไม่สามารถพบเจอเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน

องครักษ์ผู้คุมกันทั้งสี่คนต่างพูดคุยกันและพากันชื่นชมหนิงอ้ายเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะพวกเขานั้นล้วนเป็นองครักษ์ที่ขึ้นตรงกับท่านประมุขหวังจิ่งหลง ดังนั้นฐานะของคุณชายหนิงอ้ายนั้นหาใช่เพียงคุณชายเล็กของตระกูลเเต่เป็นถึงกับว่าที่ประมุขตระกูลคนถัดไปเลยทีเดียว ฝีมือของคุณชายหนิงอ้ายที่เพียงไม่กี่วันก็พัฒนามากขึ้นจากงานประลองเวทย์ของแคว้นอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งความสามารถในการร่ายบทเวทย์ระดับเทวะด้วยพลังวิญญาณจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงเพียงเท่านั้นช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก

เหตุการณ์ปะทะต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่ามือสังหารที่พึ่งจบไปแม้ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาอันยาวนานใน ความรู้สึก เเต่ทว่าความจริงเวลาได้ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น รัศมีสองลี้ของบทเวทย์เขตแดนที่หนิงอ้ายร่ายออกมาเพื่อจำกัดพื้นที่ รวมไปถึงป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนีออกไปได้นั้นภายในเขตแดนของบทเวทย์ดังกล่าวนี้ได้ ปรากฎความเสียหายไปทั่วบริเวณราวกับว่าได้ผ่านศึกใหญ่มาเสียอย่างนั้น ด้วยเพราะการปะทะกันของผู้ฝึกตนระดับสูงนั่นเอง

หลังจากที่หนิงอ้ายและเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนร่วมมือจัดการบรรดาเหล่านักฆ่ามือสังหารในคราบของโจรป่าเสร็จสิ้น ลู่ซีที่ยืนอยู่ ไม่ไกลตรงด้านข้างของรถม้าจึงรีบก้าวเท้าไปหาเด็กหนุ่มด้วยความเป็นกังวลใจในทันทีเมื่อไปถึงตัวคนแล้วจึงทำการสำรวจอย่างถี่ถ้วนพร้อมกับหมุนตัวของหนิงอ้ายอยู่หลายครั้งเพื่อหาร่องรอยอาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มที่อาจเล็ดลอดสายตาและการรับรู้ของเขาไปได้

"เจ้าไม่ได้บาดเจ็บตรงที่ใดใช่หรือไม่?? " ลู่ซีถามเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง

เขาจะรู้ดีว่าฝีมือของหนิงอ้ายในตอนนี้นั้นสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนข้ามระดับพลังวิญญาณได้อย่างไม่เสียเปรียบอรกทั้งยังมีแต้มต่อเสียด้วยซ้ำ ด้วยเพราะเคล็ดวิชากระบี่ประจำตัวที่มีความพิศดารล้ำลึกที่เด็กหนุ่มนั้นใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญรวมไปถึงบทเวทย์ต่าง ๆ ที่หนิงอ้ายนั้นได้ปรับขึ้นใหม่เพื่อเพิ่มระดับเป็นบทเวทย์ระดับเทวะ

ถึงแม้อานุภาพจะไม่ได้ออกมาเต็มสิบส่วนด้วยขีดจำกัดของพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณเเต่ถึงอย่างไรเเล้วบทเวทย์ที่หนิงอ้ายร่ายออกมาในเเต่ละครั้งนั้นกล่าวได้ว่ามีความรุนแรงเเข็งแกร่งมากกว่าบทเวทย์ระดับสูงทั่วไปหลายเท่านัก ด้วยเพราะแฝงไปด้วยตัวอักขระเวทย์โบราณที่สอดเเทรกอยู่ในบทเวทย์นั้นอย่างส่งเสริมสมดุลกัน

ด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กหนุ่มครอบครองอยู่ในมือย่อมสามารถนำมาพลิกเเพลงและช่วงชิงซึ่งความได้เปรียบจากฝ่ายตรงข้ามหรือศัตรูได้เป็นอย่างมาก เเต่ถึงอย่างนั้นเเล้วลู่ซียังคงเป็นกังวลใจไม่น้อย ความเป็นจริงเเล้วประสบการณ์ของผู้ฝึกตนในยุทธภพของหนิงอ้ายนั้นพึ่งสั่งสมเก็บเกี่ยวมาได้เพียงสองปีกว่าเท่านั้น

สิ่งนี้จึงทำให้ลู่ซีรู้สึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มเป็นอย่างมากเพราะกังวลว่าหนิงอ้ายนั้นอาจจะพลาดท่าให้กับศัตรูที่มากในเรื่องประสบการณ์ต่อสู้ได้ยิ่งกับในครั้งนี้ที่อีกฝ่ายนั้นเป็นถึงนักฆ่าสังหารรับจ้างจึงย่อมสั่งสมประสบการณ์ฆ่าฟันมาไม่น้อยเป็นแน่ ฝีมือและประสบการณ์ย่อมไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายเมื่อเขาเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดจึงทำให้โล่งใจไปมากเลยทีเดียว

"ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใดเลยขอรับ เลือดเหล่านี้ก็เป็นของพวกนักฆ่าเหล่านั้นลู่เกอไม่ได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?? " หนิงอ้ายถามกลับลู่ซีไปด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน

เพราะหากเทียบดูเเล้วการปะทะต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่ามือสังหารในครั้งนี้ทุกคนต่างล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณและระดับ เทวะวิญญาณทั้งสิ้น มีเพียงลู่ซีที่เป็นผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณเท่านั้น นอกจากที่องครักษ์คุ้มกันทั้งสองคนจะเเยกตัวไปปกป้องลู่ซีเเล้ว ขณะเดียวกันหนิงอ้ายได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันให้กับอีกฝ่ายด้วยเผื่อไว้เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดคิด

ในระหว่างที่ชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้านักฆ่าสังหารได้เรียกให้ลูกน้องอีกหลายคนเข้ามารุมโจมตี หนิงอ้ายเห็นว่ามีจังหวะหนึ่งที่เหล่าชายชุดดำห้าถึงหกเลยทีเดียวเข้าพุ่งโจมตีบริเวณขบวนรถม้าที่มีลู่ซีอยู่ด้านใน องครักษ์ที่ท่านตามอบหมายให้คุ้มกันพวกเขาสำหรับการเดินทางครั้งนี้จะมีฝีมือและความสามารถที่มากมายเพียงใดเเต่สุดท้ายย่อมเสียเปรียบเรื่องจำนวนคนเป็นอย่างมากหากมีการประทะต่อสู้กับกลุ่มคนที่มีมากกว่าเช่นนี้อีกทั้งระดับพลังวิญญาณยังอยู่ในระดับเดียวกันอีกด้วย

เมื่อถึงคราวคับขันเเล้วตัวของลู่ซีจึงไม่ลังเลที่จะออกมาจากรถม้าในทันที พุ่งเข้าช่วยองครักษ์คุ้มกันทั้งสองคนในการรับมือกับกลุ่มชายชุดดำที่เข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็ว ถึงเขาจะมีพลังวิญญาณอยู่ในระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูงช่วงปลายเท่านั้น ซึ่งอาจเกิดความเสียเปรียบเป็นอย่างมากก็จริงหากต้องปะทะรับมือกับชายชุดดำเหล่านี้ที่มีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณหรือระดับเทวะวิญญาณ

เเต่ด้วยเคล็ดวิชากระบี่ที่ถูกท่านตาหวังจิ่งหลงชี้แนะแก้ไขจุดบกพร่องและการฝึกฝนอย่างหนักจึงทำให้ประสิทธิภาพของเคล็ดวิชากระบี่ประจำตัวของนั้นมีความรุนแรงแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งบทเวทย์ระดับสูงที่หนิงอ้ายทำการปรับเเก้ไขให้กับลู่ซีนั้นย่อมทำให้ความเสียเปรียบระหว่างระดับพลังวิญญาณที่กล่าวไปก่อนหน้านั้นเมื่อต้องรับมือกับกลุ่มชายชุดดำพวกนี้แทบไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันมากเท่าไหร่

"ข้าพบรอยสักรูปหมาป่าสีดำตรงด้านหลังของใบหูของพวกมันทุกคน เเสดงว่ากลุ่มนักฆ่าสังหารในครั้งนี้เป็นยอดฝีมือนักฆ่าระดับกลางของสำนักหมาป่าทมิฬ เเต่เมื่อค้นตัวดูเเล้วไม่ปรากฎหลักฐานที่เชื่อมโยงถึงผู้จ้างวานได้ขอรับ..." หัวหน้าองครักษ์แจ้งกับหนิงอ้ายกับลู่ซี หลังจากที่ใช้เวลาครู่ใหญ่เลยทีเดียวในการตรวจค้น อีกทั้งในใจยังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ว่าคุณชายทั้งสองนั้นมีศัตรูที่ใดที่พวกเขานั้นยังไม่รับรู้หรือไม่

"ท่านหัวหน้าองครักษ์ไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป วันนี้พวกเราจะไม่รู้ว่าเเท้ที่จริงเเล้วใครกันเป็นผู้จ้างวานนักฆ่าสังหารในครั้งนี้ ข้าเชื่อว่านี่ย่อมไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอนถึงครานั้นเราจะจัดการอย่างเด็ดขาดคงไม่สาย..." หนิงอ้ายเห็นท่าทีของอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นย่อมไม่อาจเล็ดลอดจากสายตาและการรับรู้ของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นสำทับกับอีกฝ่ายไปเพื่อไม่ให้ต้องเป็นกังวล ด้วยเพราะว่าเขานั้นมีวิธีการรับมือเพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเลิกราเป็นแน่

"พวกเรารีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเเล้วรีบเดินทางจากที่นี้กันได้เเล้ว การประทะสังหารกันเมื่อครู่แม้จะมีบทเวทย์เขตแดนระดับ เทวะที่ข้าร่ายไว้ก็จริง เเต่นั่นก็ไม่สามารถปกปิดผู้ฝึกตนที่มีญาณสัมผัสระดับสูงได้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองใบหน้าของทุกคนที่อยู่โดยรอบ

บทเวทย์เขตแดนที่เขาร่ายขึ้นมาจะเป็นถึงบทเวทย์ระดับเทวะ เเต่ด้วยเพราะในตอนนี้เขามีพลังวิญญาณอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น จึงทำให้ประสิทธิภาพของบทเวทย์ดังกล่าวออกมาได้เพียงหกถึงเจ็ดส่วนซึ่งมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากถ้าหากว่ามีผู้ฝึกตนที่มีญาณสัมผัสระดับสูงผ่านมายังบริเวณนี้ย่อมที่จะสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่เกิดจากการใช้บทเวทย์เขตแดนนี้ได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้จ้างวานนักฆ่าสังหารในครั้งนี้หนิงอ้ายเชื่อว่าทางฝั่งฮูหยินรองคงเป็นผู้จ้างวานครั้งนี้อีกเป็นแน่ เพราะงานประลองเวทย์ที่ผ่านมานั้นทั้งเขากับลู่ซีได้ทำให้บุตรชายทั้งสองของนางบาดเจ็บขายหน้าอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่อีกฝ่ายจะเลือกกระทำเช่นนี้อีกครั้ง

ด้วยตระกูลเดิมของนางหลังจากที่ได้เกี่ยวดองกับตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงเเล้ว จากตระกูลชั้นกลางธรรมดาก็สามารถตั้งตัวขึ้นเป็นตระกูลระดับต้น ๆ ของแคว้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว อาจไม่เทียบเท่าหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้น เเต่ถึงอย่างนั้นก็มีอิทธิพลมากกว่าตระกูลทั่วไป ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นการยาก หากนางจะหยิบยืมอำนาจของตระกูลเดิมที่มีอยู่ในการจ้างวานนักฆ่าสังหารพวกเขาเฉกเช่นที่ผ่านมา

สิ่งนี้แต่นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นเเต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้เตรียมการรับมืออยู่บ้างแล้วเช่นกัน แต่อย่างไรแล้วหนิงอ้ายไม่ค่อยอยากสนใจเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้เขามีสิ่งสำคัญกว่าที่เป็นเป้าหมายนั่นคือการเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ให้ได้เพื่อไม่ให้ท่านตา ท่านยายและท่านแม่ผิดหวังในตัวเขานั่นเอง

เหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนต่างจัดการนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่ารับจ้างทั้งยี่สิบคนมารวมกันอยู่ตรงด้านหน้าบริเวณเดียวกันตามคำสั่งของหนิงอ้าย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเกิดความไม่เข้าใจเล็กน้อยกับคำสั่งจัดการเช่นนี้เพราะในแต่ละครั้งก่อนหน้า

หากมีการปะทะต่อสู้เกิดขึ้นหลังจากทุกอย่างจบสิ้นเหล่าบรรดาร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นจะถูกเผาทำลายทิ้งเพื่อไม่ให้หลงเหลือร่อยรอยให้ตามสืบสวนได้ แม้จะมีความสงสัยอยู่ในใจเเต่ถึงอย่างนั้นเหล่าองครักษ์ยอดฝีมือทั้งสี่คนนี้ก็ทำจัดการตามความต้องการอย่างไม่ขัดข้อง

วูบ!

หนิงอ้ายทำการเรียกเจียวซิ่นออกมาจากห้วงมิติจิต เมื่ออีกฝ่ายออกมานั้นทำเอาเขารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวด้วยเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมากของเจียวซิ่นที่ในตอนนี้ไม่ต่างไปจากมนุษย์ต้นไม้ที่มีใบหน้าเป็นชายวัยกลางคนน่าเกรงขาม ทุกส่วนของทั้งตัวนั้นมีลวดลายเป็นริ้วไม้ตามแนวยาวแนวขวางไปทั่วทุกส่วนมีสีเขียวเเดงทองประสานกันอย่างตัว

ใบหน้านั้นจะติดเย็นชาไม่น้อยเเต่สายตาที่ทอดมองมายังเด็กหนุ่มเจ้าของพันธะนั้นทุกคนในที่นี้ต่างสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั้นนับถือหนิงอ้ายมากเพียงใด...

"เจ้าเลื่อนขั้นย่อยได้สำเร็จแล้วเช่นนั้นรึ?? " หนิงอ้ายยกยิ้มอย่างชอบใจ

"มิน่าเล่า...เกอถึงไม่สามารถสัมผัสถึงระดับของเจียวซิ่นได้ คงด้วยเป็นเพราะว่าระดับพลังวิญญาณสูงกว่าเกอแล้วในตอนนี้ แสดงว่าในการประลองเวทย์ที่พึ่งจบไปนั้นเจียวซิ่นไม่ได้เรียกใช้พลังวิญญาณทั้งหมดและทำการสะกดกลิ่นอายของตนไว้ใช่หรือไม่?? " ลู่ซีเมื่อเห็นความเปลี่ยนเเปลงของเจียวซิ่นแล้วจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้เพราะว่าเจียวซิ่นนั้นเป็นสัตว์อสูรตำนาน ที่ในโลกผู้ฝึกตนนั้นยังไม่มีผู้ใดที่ล่วงรู้มากเท่าไหร่นัก อีกทั้งการเลื่อนระดับพลังวิญญาณของเจียวซิ่นค่อนข้างพิศดารเป็นอย่างมาก

"เจียวซิ่นเป็นสัตว์อสูรตำนานสังกัดปราณธาตุพฤกษา ทว่าเกิดการกลายพันธ์ขึ้นดังนั้นในการเพิ่มระดับพลังวิญญาณจึงค่อนข้างมีวิธีการที่เฉพาะแลใช้เวลามากกว่าสัตว์อสูรทั่วไป ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในทุกวันข้าจะให้เจียวซิ่นดูดซับเลือดของข้าวันละหนึ่งครั้งอย่างสม่ำเสมอ..."

"การที่ข้าสามารถปลุกสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้สำเร็จ จึงส่งผลต่อสัตว์อสูรในพันธะโดย ตรงทำให้สายเลือดบรรพกาลของเผ่าพันธ์มหาพฤกษารัตนะทมิฬของเจียวซิ่นมีเข้มข้นขึ้นหลายเท่า และสามารถใช้ทักษะเฉพาะของสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่เกิดการกลายพันธ์ได้เช่นนี้ และมีเพียงข้าที่เป็นนายแห่งพันธะเท่านั้น ที่จะรับรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วระดับพลังวิญญาณของเจียวซิ่นอยู่ในเขตขั้นใด..."

ตัวตนของสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษานั้นอยู่เหนือล้ำการรับรู้ของคนทั่วไปที่ไม่อาจเข้าใจได้โดยง่าย ความพิศดารในการเลื่อนระดับพลังเช่นนี้นับว่าสะเทือนฟ้าสะเทือนดินยิ่งนัก หากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าการเพิ่มพลังวิญญาณสามารถช่วงชิงจากสัตว์อสูรหรือผู้ฝึกตนด้วยกันเองได้เช่นนั้นเเล้ว ยุทธภพแห่งนี้คงไม่แคล้วเกิดความวุ่นวายและเสียหายเป็นแน่...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status