ภายในห้วงจิตเหนือทะเลลมปราณของหนิงอ้ายพลันปรากฏเป็นเงาร่างของราชันย์วิหคอัคคีมายาขนาดเท่าตัวจริงที่มีเปลงเพลิงสีแดงลุกท่วมไปทั้งตัวที่เเสดงอาการดุร้ายอาฆาตพร้อมที่จะเข้ามาโจมตีเขาในทุกเมื่อ เเต่ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลใหญ่โตน่าเกรงขามที่แผ่กลิ่นอายความเย็นเยือกออกมาโดยรอบพลันปรากฎขึ้น เงาร่างของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ก็ปรากฏอยู่ตรงด้านข้าง
แม้ว่าตอนนี้จะมีรูปลักษณ์เป็นเพียงหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ตัวน้อยเเต่ทว่าเปลวเพลิงสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดเเห่งธาตุไฟบริสุทธิ์ที่เเผ่พุ่งออกมารอบตัวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันพิศดารที่ไม่สามารถดูเเคลนอันใดได้
ไม่ต้องให้หนิงอ้ายเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้นเงาร่างของสัตว์อสูรทั้งสองนั้นต่างพุ่งเข้าโจมตีและกัดกินจิตอาฆาตของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายาในทันที เเสงสีฟ้าอันเกิดจากอสรพิษเหมันต์บรรพกาล เเสงสีเเดงทองอันเกิดจากพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้ประสานหล่อหลอมเป็นกรงกักขังสามสีขนาดใหญ่มีดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาไว้ด้านใน เปลวเพลิงแห่งอัคคีและพิษเหมันต์ต่างเข้าโรมรันโจมตีอย่างต่อเนื่อง
เพียงชั่วครู่เดียวดวงจิตอาฆาตของราชันย์วิหคอัคคีมายาได้แตกซ่านสลายหายไป ท้ายที่สุดเหลือเพียงดวงไฟสีแดงสดใสที่อยู่เคียงข้างดวงจิตสีฟ้าและดวงจิตสีเเดงทองที่ลอยอยู่เหนือทะเลลมปราณห้วงจิตของหนิงอ้ายอย่างสงบนั่นเอง
หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่าอย่างไรแล้วคงต้องอาศัยเวลาไม่น้อยในการพักฟื้นให้ดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาที่พึ่งถูกกำจัดจิตอาฆาตไปนั้นกลับมาแกร่งกล้าเช่นเดิม แน่นอนว่าด้วยกลิ่นอายอันล้ำลึกบริสุทธ์ของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลและพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ ที่ดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาได้ดูดกลืนไปอย่างช้า ๆ ในตอนนี้ ย่อมทำให้หลังจากนี้อานุภาพของดวงจิตราชันย์วิหคอัคคีมายาดังกล่าวนั้นหากถูกเรียกออกมาใช้ย่อมทวีความเเข็งแกร่งขึ้นหลายเท่ากว่าความสามารถของร่างเดิม
หลังจากทำการดูดซับประสานกระดูกวิญญาณเสร็จสิ้น เขาสัมผัสได้ว่าตอนนี้ระดับพลังวิญญาณของเข้าได้เลื่อนขั้นอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงช่วงกลางเเล้ว ทำเอาหนิงอ้ายเองก็รู้สึก ตกตะลึงในการเลื่อนระดับที่รวดเร็วเช่นนี้ สำหรับผลลัพธ์ที่ทุกคนตั้งใจให้เกิดขึ้นในการดูดซับประสานร่างกายกับกระดูกวิญญาณครั้งนี้ต่างเป็นไปตามที่ทุกคนได้คาดการณ์ไว้และเป็นไปด้วยดี
หนิงอ้ายได้ทดสอบพลังวิญญาณของตนออกมาโดยรอบส่วนด้านหลังของเขาในขณะนี้พลันปรากฏเป็นวงเเหวนเวทย์สีเหลืองเข้มสามชั้น อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูง ที่ส่วนด้านนอกวงเเหวนนั้นมีรัศมีเเสงสีฟ้าของอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาล ด้านนอกสุดเป็นรัศมีสีแดงของอสูรวิหคอัสนีบรรพกาลนั่นเอง
เมื่อหนิงไม่ได้รีดเค้นใช้พลังของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ ดังนั้นกลิ่นอายของวงเเหวนเวทย์ที่เเผ่ออกมานั้นจึงเป็นเพียงสัมผัสอันเเข็งแกร่งของกระดูกวิญญาณที่มีอายุมากกว่าหนึ่งหมื่นปี อันเกิดจากการดูดซับประสานเข้ากับร่างกายไปเท่านั้นเอง
เเต่ถึงอย่างนั้นหนิงอ้ายเองพอจะคาดเดาได้ว่าด้วยเพราะร่างกายของเขาในตอนนี้ที่สามารถปลุกพลังสายเลือดพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้สำเร็จ หากมีการดูดซับหรือประสานกระดูกวิญญาณเข้าไปในร่างกายของเขานั้น พลังในส่วนหนึ่งย่อมถูกแปรเปลี่ยนเข้าสู่ทะเลลมปราณที่ส่งผลต่อการเลื่อนระดับพลังวิญญาณเฉกเช่นครั้งนี้
เมื่อสำรวจตัวเองจนแน่ใจว่าไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดหนิงอ้ายจึงล้มตัวนอนลงด้วยความเหนื่อยล้าด้วยเพราะว่าในอีกสองวันเขาจะต้องเดินทางไปยังสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เเล้ว ดังนั้นแม้ร่างกายของผู้ฝึกตนจะเเข็งแกร่งมากเเค่ไหนเขาก็คิดเสมอว่าการพักผ่อนนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด...
วันเวลาที่เหลือนั้นหนิงอ้ายมักจะฝึกฝนตนเองกับลู่ซีตรงลานฝึกหลังเรือนหลักตระกูลหวังบางครั้งท่านตาหวังจิ่งหลงมักจะเข้ามา ชี้แนะและฝึกฝนพวกเขาเพิ่มเติมเพื่อให้พวกเขาทั้งสองคนนั้นพร้อมมากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งหนิงอ้ายนั้นตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาต่างๆ ที่มีอยู่ให้เชี่ยวชาญมากที่สุดด้วยความตั้งใจเพียรพยายาม
กล่าวได้ว่าเป็นนิสัยของเขาเองและหนิงอ้ายคนเก่าที่เหมือนกันยิ่งนักเขานั้นไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใดใดทั้งสิ้น ด้วยชีวิตที่ผ่านมาได้สอนให้เขาได้รู้ว่าชีวิตของคนเราไม่ควรที่จะหยุดท้อถอยให้กับอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามา เพราะนั่นคือเเบบทดสอบที่จะให้เขานั้นก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง
ช่วงเย็นของวันนั้นหนิงอ้ายกับลู่ซีได้มุ่งตรงไปยังห้องโถงหลักของเรือนใหญ่เพื่อทานสำรับอาหารพร้อมหน้ากับเหล่าผู้อาวุโสสำคัญในตระกูล ท่านตาท่านยาย มารดาของตนรวมไปถึงลู่ซี สำหรับท่านลุงจางปินและท่านน้าหรันหรูนั้น ท่านเเม่เยว่ซินเล่าให้ฟังว่าท่านลุงจางปินได้รับการเรียกตัวกลับอย่างเร่งด่วนเนื่องจากมีเรื่องเกิดขึ้นในสำนัก
หนิงอ้ายไม่ได้เเปลกใจสักเท่าไหร่ด้วยเพราะเนตรเเห่งสวรรค์ที่ในตอนนี้หนิงอ้ายได้พัฒนาขอบเขตการรับรู้จึงทำให้เขานั้นรู้ถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น มื้อเย็นวันนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ สำหรับตระกูลหวังสายหลัก เนื่องจากในวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกับลู่ซีทั้งสองคนต้องออกเดินทางจากแคว้นเต่าดำเเล้วเพื่อไปเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้วนั่นเอง
เช้าวันรุ่งขึ้นของกำหนดการเดินทางนั้นบ่าวในจวนต่างจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นแก่คุณชายทั้งสองอย่างมากมายเเต่ถึงอย่างนั้นก็เน้นไปที่ความสะดวกเป็นหลักซึ่งส่วนมากจะเป็นข้าวสาร ของเเห้งไปเสียส่วนใหญ่ ท่านตาหวังจิ่งหลงได้ให้องครักษ์จำนวนสี่คนตามไปคุ้มกันพวกเขาทั้งสองคนอีกด้วยระหว่างการเดินทางครั้งนี้
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนทำความเคารพเหล่าผู้อาวุโสสำคัญของตระกูลหวังที่หลายวันมานี้มีเหตุให้พบเจอกันได้ทุกวันจึงมีความสนิทสนมกันอยู่ไม่น้อยซึ่งทุกคนต่างอวยพรให้พวกเขาทั้งคู่นั้นต่างสำเร็จผลดั่งใจปรารถนา หลังจากนั้นหนิงอ้ายเละลู่ซีนั้นต่างกอดลาท่านตา ท่านยายและมารดาของตนพร้อมกับสัญญาว่าจะส่งจดหมายกลับมาอยู่บ่อย ๆ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยองครักษ์คนหนึ่งผู้ทำหน้าที่คุมขบวนรถม้าครั้งนี้จึงเริ่มออกเดินทางในทันที ขวนรถม้าของหนิงอ้ายนั้นเมื่อออกเดินทางไปหนึ่งชั่วยามผ่านบริเวณโดยรอบที่ปรากฎเป็นผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์มีความกว้างขวางไปหลายพันลี้...
การเดินทางครั้งนี้จะถูกจำกัดด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิดเเต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทุกคนต่างมีความเห็นตรงกันว่าควรที่จะค่อย ๆ มุ่งเดินทางไปยังทางทิศเหนืออันเป็นที่ตั้งของศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเวลาผ่านไปได้สามชั่วยามก็ได้เวลาพลบค่ำเสียเเล้วซึ่งพวกเขาตกลงกันว่าจะพักอยู่ในป่านี้เเล้วช่วงเช้าค่อยเดินทางต่อไป
พรึบ!
ตู้ม!
"ทุกคนคุ้มกันคุณชายใหญ่ลู่ซีและคุณชายเล็กหนิงอ้ายอย่างสุดกำลัง!" เสียงระเบิดดังขึ้นโดยรอบขบวนรถม้าของพวกหนิงอ้ายทำให้ม้าของพวกเขานั้นต่างเกิดอาการตกใจส่งเสียงร้องกันเสียงดัง
องครักษ์คนหนึ่งที่คอยควบคุมบังเหียนได้พยายามทำให้มันสงบและเลือกที่จะหยุดรถม้าเพื่อความปลอดภัยอีกทั้งยังเพิ่มระดับการป้องกันสูงสุดของขบวนรถม้าในทันที
"ในที่สุดก็อดใจรอไม่ไหวเเล้วสินะ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
"เจ้ารู้นานแล้วเช่นนั้นรึว่าขบวนเดินทางของพวกเราถูกซุ่มโจมตีเช่นนี้??" ลู่ซีถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าโดยไร้ซึ่งความกังวลใด หากว่าเขาดูไม่ผิดนั้นคล้ายกับว่าเด็กหนุ่มกำลังเฝ้ารอพบเจอความสนุกเสียอย่างนั้น
"ตั้งเเต่ออกจากจวนตระกูล ข้าได้ใช้เนตรเเห่งสวรรค์อยู่เสมอเพื่อสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดโดยรอบ หลังจากปลุกพลังสายเลือดได้สำเร็จตอนนี้ขอบเขตการรับรู้ของบทเวทย์ข้านั้นเพิ่มขึ้นเป็นสองลี้แล้วขอรับ''
"แม้ว่าเหล่านักฆ่าพวกนี้จะมีของวิเศษระดับสูงสำหรับปกปิดตัวตนอำพรางตัวแต่ถึงอย่างนั้นด้วยจิตสังหารอ่อน ๆ ที่เล็ดลอดออกมาแม้ว่าจะถูกกดข่มเป็นอย่างดีเเล้วก็ตามเเต่ข้ายังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับลู่ซีไปเพราะหลังจากที่เขานั้นทำการปลุกพลังสายเลือดได้สำเร็จ
"ทางฝั่งของเรามีเพียงหกคนรวมข้ากับลู่เกอ เเต่ฝั่งนั้นมีมากถึงยี่สิบคนอีกทั้งมีผู้ฝึกตนพลังวิญญาณระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่ง ระดับเทวะวิญญาณขั้นสามัญอีกสามคน ส่วนที่เหลือล้วนอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงทั้งสิ้น...''
''เหล่าองครักษ์ที่ท่านตามอบหมายให้คุ้มกันให้เราในครั้งนี้ จะมีพลังวิญญาณระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงทั้งสี่คนก็จริง เเต่ด้วยความแตกต่างของจำนวนเเล้วใช่ว่าจะรับมือได้โดยง่าย..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นให้กับลู่ซีกับหัวหน้าองครักษ์ได้รับรู้ ถึงระดับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายหลังจากที่เขานั้นแผ่จิตวิญญาณสัมผัสไปโดยรอบ
"ด้วยระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูงของท่านในตอนนี้นับว่าเสียเปรียบยิ่ง..." หนิงอ้ายเอ่ยกับลู่ซีด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าในบรรดาพวกเขาทุกคนในตอนนี้มีเพียงเเค่ลู่ซีเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกตนระดับพลังวิญญาณน้อยที่สุด
"ลู่เกอไว้ใจข้านะขอรับ ท่านรั้งรออยู่ในรถม้านี้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ข้าจะออกไปจัดการพวกมันเอง!!!" หนิงอ้ายเอ่ยย้ำกับลู่ซีด้วยความเป็นห่วง ด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถปฏิเสธเหตุผลที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น เขาจึงพยักหน้าด้วยความยินยอม
ทว่าในใจกลับคิดว่าตนนี้ช่างอ่อนแอยิ่งที่ต้องให้หนิงอ้ายและผู้อื่นคอยปกป้อง ลู่ซีตั้งใจว่าหลังจากนี้เขาจะต้องฝึกให้หนักมากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะปกป้องตัวเองสามารถดูเเลคนอื่นได้มากกว่านี้
"คุณชายหนิงอ้ายจักออกไปไหนขอรับ!!!" เสียงขององครักษ์ที่เฝ้าระวังอยู่บริเวณรถม้าเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่พุ่งจากรถม้าอย่างรวดเร็ว
หนิงอ้ายเปิดประตูรถม้าพร้อมกับพุ่งตัวออกไปพร้อมกับเผชิญหน้าเหล่านักฆ่าในคราบของโจรป่าในทันที...
"ดูเเล้วท่านคือคุณชายหวังหนิงอ้ายกระมัง?? ข้าจักไม่อ้อมค้อมหากท่านยินยอมไปด้วยกันพวกข้าจะละเว้นพวกท่านทุกคน!!!!" ชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าในภารกิจครั้งนี้เอ่ยขึ้นอย่างถือดี
"เช่นนั้นรึ หากข้าไม่เลือกไปกับเจ้าเล่า??" หนิงอ้ายถามกลับไปด้วยความยียวน
ชุดดำผู้เป็นหัวหน้าส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องของตนเข้าโจมตีรถม้าในทันที
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ตู้ม!
จิตสังหารอันเข้มข้นถูกปล่อยออกมาอย่างรุนแรงด้วยพลังวิญญาณระดับเทวะวิญญาณขั้นสูง ชายชุดดำอีกสามคนต่างพุ่งเข้าหารถม้าด้วยความเกรี้ยวกราดและร่ายบทเวทย์โจมตีในทันที
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!
ตู้ม!
ทันใดนั้นบริเวณขบวนรถม้าของหนิงอ้ายได้ปรากฎเป็นเกราะป้องกันเวทย์ที่คล้ายกับม่านน้ำอันเเข็งแกร่งที่มีคลื่นน้ำหมุนวนอย่างบ้าคลั่งชวนให้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก หลังจากที่หนิงอ้ายนั้นได้การปลุกพลังสายเลือดได้สำเร็จเเล้วนั้นความรุนแรงของบทเวทย์ที่ถูกเรียกใช้ออกมานั้นย่อมทวีเพิ่มขึ้นหลายส่วน
"คุณชายหนิงอ้าย ท่านคิดว่าบทเวทย์ป้องกันที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นจักต้านทานบทเวทย์โจมตีจากข้าผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงได้เช่นนั้นรึ?? เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อยเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมากเลยทีเดียว..." บุรุษชุดดำที่ร่ายบทเวทย์โจมตีเมื่อครู่เอ่ยขึ้นด้วยความดูเเคลน
"ดูเหมือนว่าผู้จ้างวานเจ้าจะตกหล่นข้อมูลที่สำคัญไปไม่น้อย..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับแผ่กลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงออกมา
"ระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นในเวลาไม่ถึงเจ็ดวันงั้นรึเป็นไปได้อย่างไรกัน!!!'' ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างตกใจไม่น้อย ด้วยเพราะข้อมูลที่พวกตนได้รับมานั้นบอกเพียงเเค่ว่าคุณชายหนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น
แม้จะดูว่าการเลื่อนพลังในขั้นย่อยของผู้ฝึกตนจะดูเล็กน้อยเเต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้เวลาถึงสองถึงสามปีเลยทีเดียว เเต่กับคุณชายผู้นี้ถึงกับใช้เวลาเพียงเเค่ไม่กี่วันก็สามารถเลื่อนขั้นย่อยได้ ดูท่าภารกิจในครั้งนี้ที่พวกตนรับมาหาใช่เป็นเรื่องง่ายเสียเเล้ว
"แล้วอย่างไรกันเล่า!!!พวกเจ้ามีจำนวนคนน้อยกว่าพวกข้าหลายเท่าอีกทั้งพลังวิญญาณสูงสุดก็เป็นระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงไม่ต่างกัน คิดจะโต้กลับพวกข้าได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นรึ?? " สิ้นคำที่ชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากล่าวจบลงชายชุดดำที่เหลือเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างชอบใจ
"เช่นนั้นก็ต้องลองดูเสียเเล้ว อัญเชิญบทเวทย์เขตแดนปราการอัคคีเหมันต์!!!!" สิ้นเสียงของหนิงอ้าย กลิ่นอายของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะได้พวยพุ่งสะกดข่มชวนให้ตกตะลึงยิ่ง....
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย