หุบเขาเหลียนหยาง
มู่หรงเจวี๋ยในยามนี้กำลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาสูดอากาศยามเช้า บนหุบเขานี้โชคดีที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ใช้ได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งแม่น้ำก็ยังใสสะอาด บางคราที่เก็บของป่ามาได้มากหน่อย เขาก็จะให้คนนำไปขายเพื่อหาต่อทุนเพิ่ม
หลายคืนก่อนเขาออกปล้นเสนาบดีกรมพระคลังที่ออกมาพักผ่อนที่เรือนพักร้อน ได้ยินว่าคนผู้นี้รีดไถราษฎรมากมาย เขาจึงไปขอแบ่งมาใช้เสียหน่อย แล้วยังกระทืบมันจนสลบคาเท้าเพื่อระบายอารมณ์อีกด้วย
จะว่าไปชีวิตในรังโจรของเขานี่มันก็ไม่เลวเสียจริง ๆ มีเรื่องให้สนุกสนานไม่เว้นแต่ละวัน
ตั้งแต่เขาล้มหัวหน้าโจรคนเก่าได้ เขาก็กลายเป็นที่ยอมรับของคนในกองโจร แม้แต่อดีตหัวหน้าโจรก็ยังกลายมาเป็นลูกน้องของเขา
"โจวเซิง ข้าถามเจ้าสักเรื่องสิ"
มู่หรงเจวี๋ยก้าวเดินมาหยุดตรงหน้าของชายหนุ่มวัยกลางคนที่ถูกเขาล้มลงจากตำแหน่งหัวหน้าโจร โจวเซิงเงยหน้ามามองมู่หรงเจวี๋ยก่อนจะยิ้มตาหยี
"เรื่องเดียวนะขอรับ ห้ามเกินสองเรื่อง"
มู่หรงเจวี๋ยปรายตามองโจวเซิงคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"อย่ามากวนประสาทข้า"
"ก็ลูกพี่บอกว่าขอถามข้าสักเรื่อง ก็คือเรื่องเดียวสิขอรับ หากจะถามสองเรื่อง ลูกพี่ก็ต้องพูดว่า ข้าขอถามเจ้าสักสองเรื่อง โอ๊ย!!!"
"ไสหัวไปก่อนที่ข้าจะถีบยอดหน้าเจ้าอีกรอบ!!!"
"ลูกพี่ข้ากลัวแล้ว ไม่กล้าแล้วขอรับ"
มู่หรงเจวี๋ยคร้านที่จะเอ่ยถามโจวเซิงให้มากความอีก เขาจึงสั่งให้โจวเซิงไปทำงานใดก็ไปเสีย ส่วนตนก็เดินตรวจตราดูโดยรอบเพื่อหาหนทางเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า เขาจะต้องหาเส้นทางลับเพื่อลักพาตัวหนิงเซียนมาที่รังโจรแห่งนี้ และไม่ให้ทางการหรือคนตระกูลหนิงตามรอยมาจับเขาได้เป็นอันขาด
"ท่านพี่เหล่ยเจ้าคะ ท่านพี่เหล่ย รอข้าด้วยเจ้าค่ะ"
ในขณะที่มู่หรงเจวี๋ยกำลังจะเดินตรงไปที่ป่าท้ายรังโจร เขาก็ต้องหยุดชะงักลงเสียก่อน เมื่อได้ยินเสียงเรียกของ จินเย่ว์
จินเย่ว์เป็นญาติฝั่งมารดาของโจวเซิง เดิมทีนางเป็นเพียงสาวบ้านป่าธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อบิดามารดาล้มป่วย ก่อนจะสิ้นใจจึงได้ฝากฝังให้โจวเซิงดูแลญาติผู้น้องคนนี้ด้วย เพราะเกรงว่านางจะถูกรังแก การให้นางมาอยู่ที่รังโจรแห่งนี้ก็ยังดีกว่าให้นางอยู่เรือนเพียงลำพัง เกรงว่าพวกนักเลงจะมาฉุดคร่าข่มเหงเอาได้ อยู่กับโจวเซิงแม้จะเป็นโจรแต่โจวเซิงก็รักน้องสาวผู้นี้ไม่น้อย
"มีอันใด"
"ท่านพี่เหล่ย จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ"
"จะไปตรวจดูโดยรอบ เจ้ามีสิ่งใดหรือ"
"ข้าเพิ่งอาบน้ำมาน่ะเจ้าค่ะ ผ่านมาเห็นท่านพี่เหล่ยเข้าพอดี จึงแวะมาทักทาย"
ไม่พูดเปล่าจินเย่ว์ยังก้มกายลงแสร้งทำเป็นว่าผ้าคลุมกายหลุด มู่หรงเจวี๋ยจึงได้เห็นเนินอกอวบอิ่มของนางได้อย่างชัดเจน เขาจึงถอนหายใจคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ใหญ่เกินไปเขากลัวยิ่งนัก เมื่อหนึ่งเดือนก่อน มีข่าวคนถูกหน้าอกภรรยาหนีบหน้าจนตาย เขากลัวเหลือเกิน
จินเย่ว์อะไรก็ดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือนางชอบยั่วยวนเขาได้ตลอดทุกวัน เขารำคาญนางแต่ก็อดเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะบางครานิสัยของนางก็คล้ายกับมู่หรงหลินน้องเล็กที่ตายไปแล้วของเขา
การที่เขามาอยู่ที่นี่ย่อมมิอาจเปิดเผยฐานะที่แท้จริงได้ เขาจึงใช้ชื่อปลอมว่า อาเหล่ย และบอกทุกคนในรังโจรว่าเขาเป็นเพียงบุรุษที่เคยผ่านการฝึกฝนในค่ายทหาร รู้สึกเบื่อจึงขอลากลับบ้านเก่าเพียงเท่านั้น ผู้ที่รู้ฐานะที่แท้จริงของเขามีเพียงหานอวี้เพียงผู้เดียว
"จินเย่ว์ ข้ามีงานต้องทำ เจ้ากลับไปพักเถอะ"
"ท่านพี่เหล่ย"
"จินเย่ว์
"เจ้าค่ะ"
เมื่อถูกสายตาตำหนิของมู่หรงเจวี๋ยเข้า จินเย่ว์จึงยอมทำตามแต่โดยดี ในขณะเดียวกันนางก็ตั้งมั่นในใจ ว่านางจะต้องเอาบุรุษผู้นี้มาเป็นสามีของนางให้ได้ในสักวัน
เมื่อออกห่างมาจากจินเย่ว์ได้แล้ว มู่หรงเจวี๋ยจึงเดินตรงมาที่ชายป่าด้านหลังรังโจร เขาทอดสายตามองไปเบื้องหน้าก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ห่างจากรังโจรของเขาไปไม่ไกลนัก จะพบกับวัดเหลียนซานที่อยู่บนเขาเบื้องหน้า ทางนี้เป็นทางลัดที่จะเข้าสู่ด้านหลังของวัด เขาจะใช้เส้นทางนี้อ้อมไปจับตัวหนิงเซียนจากด้านหน้าทางขึ้นวัด แล้วใช้เส้นทางลัดด้านหลังเขาย้อนกลับมาที่รังโจร ด้านหลังวัดนี้เป็นป่าเขาที่ค่อนข้างทึบ เส้นทางไม่สะดวกสบายมากเท่าใดนัก แน่นอนว่าการเข้าถึงรังโจรของเขาย่อมยากลำบากไม่น้อย
มู่หรงเจวี๋ยไม่เคยพบหน้าหนิงเซียนมาก่อน เพราะเขาใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ทุกคราที่กลับจวน เขามักจะได้ยินมู่หรงหลินน้องสาวของเขาเอ่ยถึงหนิงเซียนอยู่บ่อยครั้ง
นางเป็นสตรีที่งดงามล่มเมือง กิริยาวาจาอ่อนหวาน คุณธรรมของนางก็ดีงาม การวางตัวก็เป็นเลิศ สตรีในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดเทียบนางได้สักคนเดียว นับว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ไม่เกินไปนัก
มู่หรงเจวี๋ยยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันหลังเดินกลับรังโจร
แล้วพบกันนะหนิงเซียน ข้าจะทำให้เจ้าทรมานจนแทบจะอยากตายวันละพันครั้งหมื่นครั้งเลยทีเดียว ส่วนบิดาของเจ้า ข้าจะทำให้มันกระอักเลือดที่ต้องสูญเสียบุตรสาวไป และมันจะต้องช้ำใจยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นสภาพบุตรสาวอันเป็นที่รักว่าทุเรศสิ้นดีเพียงใด ในวันที่เขาปล่อยนางกลับจวน นางจะต้องอับอายอย่างสุดชีวิต
เสียงบรรเลงดนตรีดังอึกทึกครึกโครม ผู้คนต่างมองดูเต็มสองข้างทาง เกี้ยวสีแดงสดกำลังเคลื่อนออกจากวังหลวงอย่างช้า ๆ โดยมีแม่ทัพใหญ่มู่หรงที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า นำขบวนเจ้าสาวด้วยท่าทีที่สง่างาม ฮ่องเต้หยางเฉวียนและหยางเซียวหลิ่นมองดูเกี้ยวของหยางซือหยวนจากไปจนลับสายตา ก่อนที่หยางเซียวหลิ่นจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นพระบิดา "เสด็จพ่อ น้องหญิงอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ย่อมเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ""อืม เซียวหลิ่น เจ้าสั่งการลงไป ส่งหมอหลวงติดตามซือเอ๋อร์ไปให้มากหน่อย ได้ยินว่าหมอหลวงที่ชื่อจินเย่ว์นั่น สนิทสนมกับนาง ก็ให้ตามไปด้วยไม่ต้องเข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว""พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวล ทั้งหมอฝีมือดี และพ่อครัวที่ทำอาหารเลิศรส ล้วนติดตามน้องหญิงออกจากวังไปรับใช้หมดแล้ว""ดี ดี"หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท และคุณหนูตระกูลมู่หรงขบวนสินเดิมยาวนับพันลี้ ผู้คนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญไม่จบไม่สิ้น หลายเดือนต่อมา"โอ๊ย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว มู่หรงเจวี๋ย!!!""ซือเอ๋อร์เจ้าอดทนเถิด หายใจลึก ๆ""ข้าทำแล้ว แต่มัน โอ๊ย มู่หรงเจวี๋ยเป็นเพร
วังหลวงคล้ายจะมีงานมงคลถึงสองงาน งานแรกคืองานแต่งงานของหยางเซียวหลิ่นและมู่หรงหลิน ส่วนอีกงานหนึ่งก็คืองานแต่งของมู่หรงเจวี๋ยและหยางซือหยวน หยางซือหยวนคิดถึงวันนั้นก่อนที่หนิงอวี้หรงจะจากไป เขามาร่ำลานาง ใบหน้ามีแต่ความยินดี เขาบอกกับนางว่า ในที่สุดก็จะได้ทำสิ่งใดตามใจตนเองเสียทีแล้ว หยางซือหยวนยิ้มส่งเขาทั้งน้ำตา พี่ชายที่แสนดีของนาง นางจะรอวันที่เขาได้กลับมาที่ไท่เหลียงอีกคราก่อนจะมีการประหารเพียงหนึ่งวัน หยางซือหยวนให้มู่หรงเจวี๋ยพานางมาที่คุกหลวง เดิมทีแรกเริ่มเสด็จพ่อไม่เห็นด้วย แต่ทนนางทัดทานไม่ไหวจึงสั่งให้มู่หรงเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ภายในคุกหลวงค่อนข้างมืดทึบและอับชื้น เหล่าผู้คุมต่างรีบจุดไฟเมื่อเห็นว่าองค์หญิงเสด็จมา เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็จ้องมองไปที่คุกหลวง ในห้องขังหนึ่ง หนิงเซียนถูกขังเอาไว้กับมารดาของนาง ยามนี้สภาพของนางไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งเฉกเช่นแต่ก่อนอีก เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา หนิงเซียนจึงหันมาสบตากับหยางซือหยวน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ดวงตาลุกวาว ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธแค้น "นังน้องชั่ว เหตุใดเจ้าจึงได้ดีกว่าข้า ไม่จริง ข้าต่างหากที่เป็นองค์หญิง ข้าคือจวิ
มู่หรงเจวี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบร่วมสามเดือน จึงเดินทางกลับเมืองหลวงแคว้นไท่เหลียง ผู้คนต่างรอต้อนรับเขาเต็มสองข้างทาง แม่ทัพใหญ่มู่หรงผู้นำความสงบสุขมาแก่ราษฎร ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบว่าสงครามคราก่อนนั้น เป็นมู่หรงเจวี๋ยอีกเช่นกันที่ทำให้ทัพศัตรูแตกพ่ายไม่เป็นท่า จึงตกรางวัลให้มากมายราวกับสายน้ำ ยามนี้ตระกูลมู่หรงกลับมาคึกคักเช่นแต่ก่อนแล้ว เขาได้พาท่านพ่อท่านแม่กลับจวนอย่างสมเกียรติแล้วข่าวที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ มู่หรงหลินได้รับราชโองการให้เข้าวังหลวง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นของหยางเซียวหลิ่นองค์รัชทายาทอีกครา ตำแหน่งว่าที่ไท่จื่อเฟยท้ายที่สุดก็ตกเป็นของนางอย่างชอบธรรม "ท่านพี่ ท่านดูสิ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวข้าเสร็จแล้ว ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าน่ะฝีมือหยาบกร้านไม่อาจปักเองได้อย่างงดงามเท่านางกำนัลฝีมือดีในวังหลวงเลย"มู่หรงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า มู่หรงเจวี๋ยมองดูน้องสาวของตนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหวนนึกถึงหยางซือหยวนที่ยามนี้อยู่ในวังหลวงขึ้นมาได้ยินมาว่าท้องของนางเริ่มใหญ่โตแล้ว จึงเดินเหินมิค่อยสะดวกนัก เห็นทีเขาคงต้องเข้าวังไปพบฝ่
ระยะนี้มู่หรงเจวี๋ยมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากฝึกฝนทหารแล้ว เขาก็จะแอบไปมองดูหนิงซือซือที่อุทยานหลวง พบว่านางมีชีวิตที่ดีไม่น้อย ใบหน้าดูดีขึ้นมากทีเดียว รวมถึงเหล่านางกำนัลก็ปรนนิบัติดูแลนางเป็นอย่างดี ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงรักพระธิดาองค์นี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างในแผ่นดินสิ่งใดที่นางอยากได้ ขอเพียงนางเอ่ยปาก ผู้เป็นพระบิดาก็หามาให้นางได้ทั้งหมด เพื่อชดใช้สิ่งที่นางขาดไปตั้งแต่วัยเยาว์ วันนี้ก็เช่นกัน เขามองดูนางกำลังนั่งดื่มชาชมสวนอยู่ที่อุทยานหลวง ยามนี้บุปผานานาพรรณเริ่มผลิดอก วังหลวงจึงดูงดงามราวกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน เขายิ้มให้นางคราหนึ่ง นางยังคงมีนิสัยที่เหมือนเดิม รักสหาย ดีต่อทุกคน จินเย่ว์และโจวเซิงมีชีวิตที่ดีในวังหลวง เด็ก ๆ ในรังโจรได้เรียนหนังสือมีความรู้เพราะนางจัดการให้ ผู้คนที่นั่นก็สามารถเข้าเมืองหลวงมาทำการค้าหาเลี้ยงชีพได้ เขาได้ยินว่านางทูลต่อฝ่าบาทว่าจะขอสร้างสำนักศึกษาสำหรับเด็ก ๆ ที่ยากไร้และกำพร้าบิดามารดา อีกทั้งยังจะสร้างสถานสงเคราะห์ให้แก่เด็ก ๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกด้วย ซึ่งฮ่องเต้หยางเฉวียนก็ไม่ได้คัดค้านนางแต่อย่างใด กลับเห็นด้วยเป็นอ
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดหนิงซือซือก็สามารถมองเห็นได้แล้ว ยามนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมาก เพราะได้ยาชั้นดีจากหมอหลวงทำให้ร่างกายของนางฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว "องค์หญิงเพคะ ทรงเสวยโอสถก่อนเถิดเพคะ""อืม"นางกำนัลนามว่าอิงเถา เป็นนางกำนัลที่เสด็จพ่อส่งมาคอยรับใช้นาง อิงเถาเป็นสาวใช้ที่มีอายุไม่น้อยแล้ว นางรู้งานเป็นอย่างดี อีกทั้งยังแนะนำสอนสั่งเรื่องกฎระเบียบในวังหลวงให้แก่นางอย่างตั้งใจอีกด้วย ไม่กี่วันต่อมานางก็ได้พบกับหนิงอวี้หรง เมื่อได้เห็นว่าพี่ชายสบายดี นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหนิงอวี้หรงจะต้องถูกเนรเทศไปแดนไกล นางก็ทุกข์ใจไม่น้อย หนิงอวี้หรงบอกกับนางว่าไม่ต้องกังวล เขาจะต้องกลับมาพบกับนางอีกอย่างแน่นอนหนิงซือซือยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอิงเถา "ข้าอยากจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย ยามนี้คงประชุมยามเช้าเสร็จแล้วกระมัง""เพคะ ยามนี้ฝ่าบาท กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องทรงอักษร""เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปทีเถิด""เพคะองค์หญิง"หนิงซือซือถูกอิงเถาประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินออกมานอกตำหนัก นางก็มองดูไปโดยรอบ ยามนี้อากาศไม่หนาวมากแล้ว อีกทั้งต้นไม้ก็กำลังผ
หนิงซือซือลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราในวันที่สาม นางสลบไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็ม ๆ เมื่อได้สติฟื้นคืนขึ้นมาจึงรู้สึกว่าดวงตาพร่าเลือน หัวสมองมึนงง อีกทั้งยังอ่อนเพลียมากอีกด้วย "อุแหวะ""องค์หญิง เร็วเข้า องค์หญิงทรงฟื้นแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า"หนิงซือซือลุกขึ้นมานั่งก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดท้อง เมื่อนางค่อย ๆ มองไปโดยรอบ ก็เห็นเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ใจของนางพลันเต้นตึก ๆ อย่างหวาดหวั่น มิใช่ว่านางตาบอดหรอกนะ แล้วที่นี่คือที่ใดกันนางพยายามจะขยับกายลุก แต่ทว่าราวกับโลกหมุนเคว้งคว้างจนทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ต้องล้มกายลงนอนไปบนเตียงที่นุ่มนิ่มอีกครา พลันได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น "องค์หญิง อย่าทรงขยับพระวรกายอีกเลยเพคะ ยามนี้ร่างกายพระองค์อ่อนแอนัก"องค์หญิง?หนิงซือซือแค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง นี่นางตายแล้วเลอะเลือนหรือไร จึงได้ยินวาจาแปลกประหลาดเช่นนี้"ที่นี่ที่ใด พวกท่านเป็นใครหรือ?"หนิงซือซือเอ่ยถามในขณะที่หลับตานอน นางกำนัลผู้นั้นยิ้มพลางมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางอย่างใส่ใจ"ที่นี่คือวังหลวงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางกำนัลขององค์หญิง หากมีสิ่งใดที่ทรงต้องการเรียกใ