พ้นหุบเขาซับซ้อนคือหมู่บ้านจินซานเป็นทางผ่านก่อนเข้าตัวเมืองเซียนหยาง ระหว่างทางเป็นป่าเขารกร้าง ห่างจากเมืองหลวงมากโขขบวนเดินทางขององค์ชายรองจ้าวจื่อหวนมิใหญ่โต ทว่ากลับทำตัวยิ่งใหญ่คับแผ่นดิน กระทั่งงูเจ้าถิ่นยังอยู่มิได้ “หัวหน้าหมู่บ้านถูกฆ่าตัดคอไปแล้ว ทำอย่างไรดี” ชาวบ้านคนนั้นถามเสียงเครือ อกสั่นขวัญแขวนไม่หาย“เหตุใดต้องฆ่ากันด้วยเล่า” คนฟังถามกลับร้อนรนคนเดิมเล่าทั้งน้ำตา “เพราะหัวหน้าหมู่บ้านขัดขวางขบวนเดินทางของผู้สูงศักดิ์ปริศนามิให้เข้าหมู่บ้านเราปะไร”ไม่มีใครรู้ว่าขบวนผู้มาเยือนเพียงผ่านทางคือใคร และเหตุใดต้องผ่านโดยการเข้ามาในหมู่บ้านเช่นนี้ พวกเขาทำเพียงสังเกตจากรถม้าคันใหญ่หรูหราดั่งเรือนเคลื่อนที่ได้ แค่คนติดตามยังสวมเสื้อผ้าเนื้อดีราคาสูงลิ่วจึงพากันเรียกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ปริศนา ทว่าการกระทำช่างกักขฬะต่ำช้ายิ่งนัก พวกมันพากันฉุดคร่าเด็กสาวหน้าตาดี นำไปบำเรอคนสูงศักดิ์ในรถม้านั่นทุกคืน “เมื่อไรจะเคลื่อนขบวนไสหัวผ่านไปเสียที ชั่วร้ายนัก” คำด่าทออันรุนแรงนั้นช่างเบาแสนเบา ไม่กล้าให้ผู้นั้นได้ยินบนรถม้าคันใหญ่ ภายในกว้างขวาง ผนังคล้ายเคลือบทองงามอร่ามอย่างไม่กล
ทว่าเพียงครู่ เขาค่อยๆ คลายมือออก ยกมุมปากยิ้ม กล่าวอย่างสุภาพต่ออีกว่า “พอกระหม่อมได้รับข่าวว่าพระองค์บาดเจ็บกลับมาก็ให้นึกห่วงใยยิ่งนัก จำต้องเร่งเข้าเมืองหลวงมาดูใจ”คำว่าดูใจใช้กับคนใกล้ตายมิใช่หรือไร? ฟ่านเจิ้งมือกระตุกกระชับดาบอีกรอบ แต่พอเห็นสายตานายเหนือหัวก็ได้แต่กัดฟันอีกคราไป๋มู่เจ๋อทำหน้าเหลอหลา ไร้ความเคารพยำเกรง “อ่า...ไม่สิ ไม่ใช่! กระหม่อมพูดผิด กลับมาดูแลต่างหาก เห็นหรือไม่? กระหม่อมถึงขนาดเสนอชื่อตัวเองเข้ามาเป็นอาจารย์สอนวิชาศาสตร์ต่างๆ ให้พระองค์ หวังว่าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่พิกลพิการเพราะถูกตีซ้ำพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวหมิงอวี่ยังคงสงบเยือกเย็น “รีบมาเถิด ข้ารออยู่”“กระหม่อมจะทุ่มเทสอนสั่งอย่างสุดฝีมือพ่ะย่ะค่ะ”“ตามใจเจ้าเถอะ หวังว่าจะไม่แพ้ภัยตัวเองเสียก่อน”จ้าวหมิงอวี่กล่าวเสียงต่ำ หรี่ตาลงอย่างท้าทาย ในขณะที่ดวงตาไป๋มู่เจ๋อมีประกายหมายมาดดุดันทั้งเย็นชาและอาฆาตไม่ปกปิด ริมฝีปากบางแค่นยิ้มเย็นเชือดเฉือน ทุกกิริยาวาจาของไป๋มู่เจ๋อแสดงออกอย่างผ่าเผยและเถรตรงในความรู้สึกอย่างมิซ่อนเร้นไม่ว่าแค้นเคืองหรือตัดพ้อล้วนเผยออกมาจนสิ้นเขาประสานมือคำนับตามฐานะแล้วสะบัดแ
“นั่นปะไร ทางไปเรือนหมิงอัน พอเห็นตัวจริงแล้ว ยิ่งชัดเจนว่ารูปงามราวกับเซียน” คุณหนูมีความคิดเช่นนั้นในขณะที่คุณชายคิดต่างไป ผู้แซ่เติ้งสงสัย “ไปเรือนหมิงอัน? คงไปทักทายองค์ชายสี่กระมัง”“พวกเขาสนิทสนมกันหรือ?”“แน่นอนอยู่แล้ว” คุณชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ข้ารู้มาว่าบิดาผู้ล่วงลับของอาจารย์ไป๋มู่เคยเป็นแม่ทัพใหญ่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์ชายสี่มาก่อน”“อ้อ...เช่นนี้นี่เอง”หลิ่งหลินเองก็ลุกขึ้นมามอง อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน นางเห็นเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ ผิวขาว ใบหน้าหล่อเหลาพอควร รูปร่างสูงยาวสมส่วน โดยรวมนับว่าสง่างามอยู่มาก แต่หากเทียบกับจ้าวหมิงอวี่ที่อายุน้อยกว่า...อืม คิดว่าภายหน้าเมื่อจ้าวหมิงอวี่อายุมากขึ้นเทียบเท่าไป๋มู่เจ๋อยามนี้ ย่อมรูปงามกว่าถึงห้าส่วน ในสายตาของหลิ่งหลิน ไม่ว่าใครหล่อเหลาปานใด แต่จ้าวหมิงอวี่รูปงามที่สุดเรือนหมิงอันฟ่านเจิ้งลุกขึ้นมายืนขวางทันทีเมื่อเห็นผู้มาเยือนจ้าวหมิงอวี่ที่ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ริมหน้าต่างปรายตามองนิ่งๆ “ให้เขาเข้ามา”ฟ่านเจิ้งจึงค้อมศีรษะหลบไปยืนด้านข้างอย่างสงบไป๋มู่เจ๋อมิได้ถือสาท่าทางโอหังของฟ่านเจิ้งแม้แต่นิด เพราะเขาจะโอหังยิ
“ข้าอยากอุ่นเตียง”“จ่ะ เจ้า” ฟ่านเจิ้งอึ้ง “ฮึ! ข้าจะไปเผาเตียงซะ”“พี่ใหญ่ใจร้าย”สองพี่น้องเถียงกันไปมาแทบจะตีกันเหมือนทุกวัน ครั้นถึงคราวจริงจังก็กลับมาสุขุม“องค์ชาย มีรายงานเข้ามาว่าไป๋มู่เจ๋อเสนอชื่อเข้ามาประจำในตำหนักหมิงเฟิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “บางที สวีหลิงเยี่ยนอาจรอเวลานี้” “ใช่ๆ ขอเพียงฝ่าบาทเห็นชอบ ย่อมเปิดทางให้เสือเข้ามาจับเหยื่อตัวอวบอ้วนถึงที่นี่” ฟ่านเจินเริ่มกังวล “องค์ชาย พวกเราหาวิธียับยั้งได้หรือไม่เพคะ”จ้าวหมิงอวี่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ แววตาถึงได้เยือกเย็นนัก เขาเอ่ย “เมื่อเสด็จพ่อทรงรื่นรมย์กับการลับคมมีดให้โอรส ผู้ใดควรมาก็มาเถอะ”ฟ่านเจินว่า “องค์ชาย ให้หม่อมฉันเข้าไปแฝงตัวในเรือนพักของนางเถิด จะได้คอยจับตาดูตลอดเวลา พวกเขาต้องติดต่อกันแน่เพคะ”จ้าวหมิงอวี่โบกมืออนุญาตด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาไม่อยากคุยเรื่องสวีหลิงเยี่ยนอีก นางอาจจะเหมือน ...แต่ก็เป็นเพียงบุคลิกนิสัย ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน...ในชั้นเรียนวันนี้เรียกดวงตาของบรรดาศิษย์หญิงให้กระจ่างพร่างพราวปานนั้นเพราะอะไรน่ะหรือ?“เพราะมีอาจารย์คนใหม่เข้ามาน่ะสิ นามว่าอะไรนะ ไป๋
หลังจากนั้นหลิ่งหลินก็คิดได้ว่ามิใช่ประเมินอาจารย์เฉาต่ำเกินไป แต่เป็นเพราะตัวนางยังไม่เก่งอักษรมากพอต่างหาก เมื่อคิดได้ หญิงสาวจึงเข้าเรียนทุกวันไม่เคยขาด และได้เจอจ้าวหมิงอวี่ทุกวันเช่นกัน แต่นางก็ยังไม่มีโอกาสเข้าหาเขาได้อย่างเหมาะสม ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน ขอบคุณเรื่องตำราหรือ ขอบคุณเสร็จแล้วอย่างไรต่อ ต้องทำแบบไหนให้เขาเชื่อใจ ความรู้สึกผิดจากร่างเก่ายังเกาะกุมหัวใจแน่นหนาปานนั้น การสอพลอเพื่อเข้าหาใครสักคนหมายผลประโยชน์แก่ตนด้วยพื้นนิสัยเดิมแล้ว มันก็ยากอยู่ระหว่างนี้ที่ยังหาหนทางไม่เจอ นางจึงตั้งใจเรียนยิ่ง เป็นการหาอะไรทำที่น่าภิรมย์จริงๆ อักษรเป็นการเริ่มต้นเรียนรู้ทุกสิ่งโดยแท้ยังคิดเอาไว้ว่า หากเรียนรู้ เขียนอักษรได้ทุกตัวแล้ว นางจะเขียนแผนผังค่ายกล เขียนตำราวิชายุทธ วิชามาร เมื่อก่อนทำได้เพียงวาดรูปคนฝึกยุทธ วาดรูปอาวุธต่างๆ ต่อไปนี้ย่อมเขียนอธิบายด้วยตัวอักษรให้ชัดเจน นอกจากนี้การเขียนตำราปรุงยาพิษชนิดเม็ดเดียวคร่าชีวิตศัตรูนับหมื่นคือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ อ้อ...ยังมี นางอยากเขียนหนังสือความรู้แขนงต่างๆ ส่งต่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านจากรุ่นสู่รุ่นยังมี นา
หลิ่งหลินไม่สนใจสายตาสื่อนัยนั่นเพียงลุกขึ้นยืน กล่าวฉะฉาน “เรียนท่านอาจารย์ตามตรง ข้ามีปัญหาที่บ้านต้องสะสางเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่านตำรามิได้ละเลย ตำราที่อ่านล่วงหน้านอกชั้นเรียนล้วนเป็นของอาจารย์เฉา และข้าก็ได้พบว่าบทกวีที่อาจารย์รังสรรค์ออกมาช่างน่าทึ่ง สำนวนละเมียดละไม สะสวยราวบุปผาผลิบาน ข้าอ่านแล้วให้รู้สึกจิตใจเบิกบานเหลือเกิน สุขสำราญเสียจนสามารถคลายทุกข์ที่เพิ่งประสบพบเจอที่บ้าน ข้าจึงเร่งสะสางปัญหา แล้วรีบมาทันที ยามนี้แม้เหนื่อยล้าแทบขาดใจก็ยังต้องการเข้ามาเรียนวิชากับท่านให้จงได้เจ้าค่ะ”กล่าวจบก็ไม่เว้นช่วงปล่อยเวลาชักช้ามากความ นางร่ายกลอนในบทกวีที่ท่องมาทันที “เหมันต์ผุดเกล็ดน้ำแข็งค้างกระจ่างขาว ราตรีไร้ดาว ทิวาไร้ตะวัน ไม่มีแสงเฉิดฉายกระจ่างใจ เพียงสกุณนาขับขานระรานรื่น ย่อมปลุกจิตวิญญาณปราชญ์ให้ฟื้นตื่นคืนสติ”หลิ่งหลินร่ายกลอนบทต่อบทไปเรื่อยๆ “บุปผาจันทรา ลมบูรพา ธาราหลั่งไหลเคียงคีรี คืนวันหมุนเวียน คนชรา สกุณาปีกกล้า ท้านภา โผผินบินทะยาน มิหวนมา วิญญูชนผงาดกล้า นำคุณธรรมค้ำฟ้า โลกามิไร้ผู้ค้ำจุน...” นางท่องได้ทุกบทด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นล้นพ้น จนคนแต่งบท