“ข้าต้องฝากฝังบุตรชายให้ใต้เท้าไป๋มู่ช่วยส่งเสริมแล้ว” สวีจงสือถูมือไปมา “หวังว่าจะสอบได้ตำแหน่งขุนนางประจำวังหลวงโดยเร็ว ได้เข้าร่วมประชุมเช้าในท้องพระโรงต่อเบื้องพระพักตร์”
ไป๋มู่เจ๋อเลิกคิ้ว
“แน่นอนว่าต้องสอบได้อย่างง่ายดาย อย่างไรเสีย ข้ายังคงเป็นผู้คุมสอบหลัก ท่านอย่าลืม”
“ไม่ลืมๆ”
รอยยิ้มไป๋มู่เจ๋อเปี่ยมไมตรี “ไม่ใช่แค่เพียงบุตรชาย บุตรสาวของท่านก็เช่นกัน ข้าทราบข่าวว่านางได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนร่วมตำหนักกับองค์ชายสี่”
“ใช่แล้วขอรับ” สวีจงสือยอมรับอย่างโอ้อวด
แน่นอนว่าเขาพอรู้เรื่ององค์ชายรองกับองค์ชายสี่ และก็ใช่ เขาเลือกข้างแล้ว
“ข้าตั้งใจส่งบุตรสาวเข้าไปทำให้องค์ชายสี่หลงใหล และคอยอยู่ข้างกายเพื่อรายงานทุกความเคลื่อนไหวขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ? ดีมาก” ไป๋มู่เจ๋อพึงพอใจ เขาเอ่ย “มีข่าวหนึ่งที่ข้าอยากได้ข้อเท็จจริงอยู่พอดี”
“เชิญท่านกล่าวมาเลยขอรับ”
“มีข่าวลับเล็ดลอดออกมาว่าองค์ชายสี่ถูกทำร้าย จนมิอาจใช้วรยุทธได้อีก ขอแค่ยืนยันได้แน่ชัด เรื่องอื่นย่อมจัดการได้อย่างง่ายดายแล้ว”
สวีจงสือถามให้แน่ใจ “แล้วถ้าหากองค์ชายสี่เพียงแสร้งทำเพื่อเก็บงำประกายไว้เล่าขอรับ ข้ารู้มาว่าองค์ชายสี่ร้ายกาจยิ่งนัก ก่อนนี้ได้ข่าวว่าองค์ชายรองถูกฝ่าบาทส่งตัวไปกักบริเวณที่หุบเขาผนึกมารก็เพราะองค์ชายสี่”
“ใช่! องค์ชายรองประมาทองค์ชายสี่เกินไป”
“องค์ชายสี่ร้ายกาจถึงเพียงนั้น”
ขณะเอ่ยถึงองค์ชายสี่ สวีจงสือนึกถึงภาพของนักรบเกราะเงินผู้งามสง่าน่าเกรงขามยืนท่ามกลางเหล่าศัตรูในสมรภูมิรบอย่างองอาจกล้าหาญตามคำเล่าขานของชาวบ้าน
หากองค์ชายรองเป็นจอมมารทมิฬที่เขาขลาดกลัวจนยอมก้มหัวทุกวันนี้ องค์ชายสี่ผู้นั้นย่อมเป็นท่านเซียนแห่งการสังหารนั่นแล ฉายาเทพสงครามไม่เกินจริง
แน่นอน เขาหวังว่านั่นจะเป็นเพียงอดีต
ปรารถนาให้ตอนนี้องค์ชายสี่กลายเป็นพยัคฆ์ปีกหักไปแล้วจริงๆ อย่าได้เสแสร้งแกล้งทำเลย
สีหน้าแววตาของชายวัยกลางคนล้วนเผยให้รู้ทุกสิ่ง ไป๋มู่เจ๋อจึงหรี่ตาลงล้วงแขนเสื้อนำห่อยาหนึ่งส่งให้
สวีจงสือรับไว้ “น่ะ นี่ อะไรหรือขอรับ?”
“บุปผารัญจวน ไร้สีไร้กลิ่นยากสังเกต เป็นยาบำรุง”
“ยาบำรุง?” สวีจงสือนิ่วหน้า “แต่ชื่อมันแปลกๆ”
ไป๋มู่เจ๋อกลอกตาระอากับความไร้เดียงสาของตาเฒ่า “เป็นยาเพิ่มอารมณ์วสันต์ปะไร”
“อ้อ...”
“เจ้าแค่ส่งยาห่อนี้ไปให้บุตรสาว สั่งนางหาทางลอบวางยานี่ให้องค์ชายสี่กิน เปลี่ยนข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ทำท่อนไม้ให้กลายเป็นเรือ[1]เพียงชั่วข้ามคืน”
ไป๋มู่เจ๋อพูดเช่นนั้นด้วยรอยยิ้มจริงใจไร้พิรุธใด
แต่แท้จริงยานี้เป็นยาที่เหนือชั้นกว่ายาปลุกกำหนัด เหมาะสำหรับทดสอบว่าผู้ใช้มีพลังยุทธหรือไม่
หากคนมีกำลังภายในหลังจากดื่มยานี้เข้าไปจะมีความปรารถนารุนแรง ต่อให้ได้รับการตอบสนองแล้วก็ยังต้องการเพิ่มขึ้น ต้องเสพราคะไม่สิ้นสุดจนธาตุไฟเข้าแทรก เส้นลมปราณแตกซ่าน
ฟ่านเจินให้รู้สึกเห็นใจสวีหลิงเยี่ยนขึ้นมาอย่างแท้จริง อีกฝ่ายแลดูจะเป็นคนกตัญญูรักครอบครัวเสียด้วย ก่อนนี้สตรีอื่นต่างเร่งร้อนมาเข้าตำหนักก่อนใคร เพื่อหวังให้เข้าตาองค์ชายสี่โดยเร็วที่สุด แต่นางกลับมาเข้าเรียนช้าเพราะอยู่เรือนช่วยมารดา ครานี้ต้องช่วยบิดา ต่อให้มิใช่นักฆ่าก็คงจำเป็นต้องหาวิธีฆ่าคนแล้วฟ่านเจิ้งเองก็คิดไม่ต่าง นางช่างน่าเห็นใจ แต่ว่า...“แผนการของพวกเราก็ไม่ควรเปลี่ยนนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “แม้พระองค์รังเกียจนางและไม่ชอบวิธีการนี้ แต่ยังคงต้องแสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือต่อไป เพราะไม่นานฝ่ายเราจะได้หลักฐานและมีพยานเอาผิดองค์ชายรองส่งให้ฝ่าบาทเสียที”ฟ่านเจินพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ชายเฉกเดิม “ใช่ๆ เร่งเปิดทางให้นางเข้าหาแล้วรับตัวมาไว้ข้างกายเลยเพคะ”ลูกน้องคนสนิทคิดกันไป ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงปิดตำรา อิงแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงช้าๆ ท่าทางเงียบงันเย็นชา พาให้คู่แฝดลอบมองอย่างลุ้นระทึก ด้วยมิอาจคาดเดาความคิดของเจ้านายท้ายที่สุดจ้าวหมิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง กล่าวเสียงเรียบอย่างเกียจคร้าน “ข้ารังเกียจนางจริง หน้าที่เข้าหานางข้าให้พวกเจ้า วั
ขันทีหวังก้าวเท้าสั้นๆ เดินยิกๆ หลิ่งหลินก็เดินตามเพียงแต่ฝีเท้าของนางยาวและมั่นคง ไม่เหมือนคุณหนูทั่วไปที่ก้าวสั้นแบบนั้น ตำหนักนี่กว้างมากทีเดียว มีเรือนเยอะแยะยิ่ง เดินอยู่นาน ขันทีหวังถึงได้มาหยุดยืนหน้าเรือนหลังหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางนางโค้งกายเล็กน้อย เปล่งเสียงแหลม“นี่คือเรือนหงซิ่ว เป็นเรือนพักของคุณหนูสวี”หลิ่งหลินประสานมือยอบกายตามมารยาทอันพึงมีของคุณหนูลูกขุนนาง “ขอบคุณหวังกงกง”“เชิญคุณหนูสวีเข้าด้านใน” หวังกงกงเปิดประตู ผายมือ ส่งแขกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างไม่อิดออดประตูห้องปิดลง หลิ่งหลินเห็นเพียงแผ่นหลังขันที อีกฝ่ายเดินเชิดหน้าซอยเท้าก้าวเล็กหายไปทางใดไม่ทราบ นางแค่เดินเข้าห้องไปสำรวจตรวจตราอย่างไม่ถือสาท่าทีของขันทีผู้นั้นในเรือนแม้ไม่กว้างแต่ครบครันยิ่ง หลิ่งหลินสำรวจ เห็นทิศตรงไปซึ่งชิดกำแพงด้านในสุดของห้องคือเตียงนอน ด้านซ้ายโต๊ะจิบชา ด้านขวาโต๊ะหนังสือ อีกฝั่งของเตียงคือฉากกั้นวางไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเปลี่ยนอาภรณ์ ถัดออกไปคือห้องอาบน้ำ นอกหน้าต่างอากาศค่อนข้างเย็น แต่ด้านในห้องพักแม้ห้องมีขนาดกว้างขวางแต่กลับอบอุ่น แสงแดดสาดส่อง
เรื่องวุ่นวายในจวนสวียังคงดำเนินไปทั้งอย่างนั้นผลตรวจของท่านหมอลงความเห็นว่าสวีจงสือมีภาวะเลือดลมสูบฉีดขั้นรุนแรงส่งผลให้จุดป๋ายฮุ่ย[1]แตกซ่านนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอัมพาตท่อนล่าง ปากบิดปากเบี้ยว พูดจาไม่รู้เรื่องนั่นเอง หลังจากนี้เกรงว่าคงมิอาจหาความสำราญจากเรือนร่างสตรีได้อีกนอกจากนั้นยังมิอาจจัดการงานในจวนได้อีกด้วย เหยาซื่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่จึงต้องรับหน้าที่บริหารจัดการงานในจวนสวีทั้งหมดโดยปริยายมิใช่มีสิทธิ์มีเสียงแค่เพียงหลังเรือนเหมือนเมื่อก่อน แต่รวมถึงเรือนหน้าและอำนาจจวนสวีทั้งหมดที่เคยเป็นของสวีจงสือบัดนี้เป็นของเหยาซื่อโดยสมบูรณ์พอกัวเหมยรู้เรื่องก็กรีดร้องแทบบ้าคลั่งจนสลบไสล ครั้นตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้โหยหวนเป็นลมอีกในขณะที่อวี้เสวี่ยจีดีใจแทบตายแล้ว นางมีอิสระ ได้รับเบี้ยหวัด ไม่ต้องทนนอนปรนนิบัติใต้ร่างบุรุษเฉกอดีต ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งหมดทั้งมวลหลิ่งหลินเพียงทิ้งไว้เบื้องหลังยามนี้นางต้องเข้าไปเรียนในตำหนักหมิงเฟิ่งเสียที เพียงแต่ปล่อยเวลาล่วงเลยหลายวัน ยังจะเรียนทันหรือไม่ จะเข้าตำหนักได้หรือเปล่าไม่ใช่พยายามเข้าหาจ้าวหมิงอวี่ตามคำสั่งสวีจงสือ เพ
เรือนหลักของนายท่านใหญ่สวีจงสือหารือเสร็จก็ส่งแขกกลับ สวีจงสือให้รู้สึกโล่งใจ นึกอยากร่ำสำราญกับอนุภรรยาคนใหม่เหลือเกิน“ไปเชิญอนุอวี้มา”“ขอรับ” บ่าวชายรับคำค้อมกายออกไป สวีจงสือสั่งแล้วก็ผลัดผ้าเข้าห้องอาบน้ำแช่ตัวสบายใจ ครั้นชำระกายเสร็จก็ออกมานั่งจิบชาชื่นชมแสงจันทร์ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง!นั่นคือความคิดในใจของหลิ่งหลินที่ยืนแฝงตัวนิ่งๆ ภายใต้ความมืดของห้องแห่งนี้ ในมือของนางมีห่อยาที่เพิ่งได้รับจากสาวใช้คนนั้นที่เพิ่งตายไปเพราะขนมติดคอส่วนผงยาน่ะหรือ? ถูกละลายในกาน้ำชาไปบางส่วน แอบใส่ตอนที่สวีจงสือนั่งแช่ตัวในห้องอาบน้ำปะไรหลิ่งหลินแค่อยากรู้ว่ามันคือยาบำรุงจริงหรือเปล่า หากใช่ ค่อยนำไปใส่ขนมส่งให้จ้าวหมิงอวี่ก็ยังไม่สาย เห็นว่าเป็นของดีมีค่าควรเมืองจากแขกพิเศษแดนไกลนี่นาว่าแต่เหตุใดพวกเขาไม่นำมันไปถวายองค์ชายเองล่ะ ย่อมได้หน้าได้ตามากกว่าส่งผ่านสวีหลิงเยี่ยนที่ไม่ได้ความนี่ น่าแปลกยิ่งนัก! ความคิดของหลิ่งหลินพลันสะดุดและหยุดลงทันที เมื่อมีเสียงถ้วยชาตกพื้นดังแกร๊ง ยังไม่ถึงขั้นแตกเพราะมิได้เขวี้ยงกระแทกพื้นห้อง แต่เป็นลักษณะตกลงจากมือลงบนโต๊ะหลิ่งหลินยืนกอดอกอยู
แต่หลิ่งหลินเพียงมองนิ่ง ไม่รู้สึกรู้สา ลอบพิจารณาบางสิ่งอย่างเงียบงัน แววตาเย็นชาปานนั้นสาวใช้ไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ เพียงเชิดหน้า กล่าววาจาฉะฉาน “นายท่านสวีสั่งมาว่าให้คุณหนูใหญ่คอยเอาอกเอาใจองค์ชายสี่ให้ดี ทำขนมให้พระองค์ด้วยตัวเอง และยาห่อนี้นำไปส่งให้องค์ชายสี่เพื่อแสดงความจริงใจ อย่าได้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”หลิ่งหลินถามเสียงชืดชา “สกุลสวีปล่อยให้สาวใช้พูดจาเหมือนออกคำสั่งกับเจ้านายตั้งแต่เมื่อใด?”สาวใช้เพิกเฉยคำถามนั้น “คุณหนูใหญ่ควรรู้หน้าที่ว่าต้องทำสิ่งใด ส่วนข้าต้องทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน นายท่านสั่งมาบอกเช่นไรข้าก็แค่บอกท่านเช่นนั้น”คนฟังเลิกคิ้ว “อ้อ...มาเพราะเป็นคำสั่งท่านพ่อ จึงทำท่าโอหังต่อหน้าข้าได้สินะ”สาวใช้ไม่ตอบทางวาจาเพียงเงยหน้าสบตาตรงๆ แทนคำตอบนั้นแน่นอนว่าไม่มีจวนใดที่บ่าวไพร่กล้าบังอาจเช่นนี้! กล้าจ้องหน้าเจ้านายเนี่ยนะที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนเติบโตคุณหนูน้อยสวีหลิงเยี่ยน ต้องทนกับบ่าวชั้นต่ำไม่รู้เท่าไรกระมังหลิ่งหลินเดาะลิ้น “อืม ข้าไม่ชอบท่าทางของเจ้าเลย ทำอย่างไรดีเล่า” นางทำท่าขบคิดจริงจัง “เอาเช่นนี้ดีไหม เจ้าไสหัวไปเสียตอนนี้ อย่าม
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาจะร้อนรุ่ม ยังไม่ทันได้เสพสมเลือดลมจะสูบฉีดเดือดพล่าน เส้นเลือดในร่างกายแตกซ่านจนกลายเป็นคนป่วยที่รักษาไม่หายในที่สุดแค่ยานี้ตัวเดียวเขาก็สามารถจัดการทุกสิ่งครอบคลุม หนึ่งพิสูจน์วรยุทธขององค์ชายสี่และทำลายมันลงซะ นักรบที่ไร้วรยุทธย่อมไม่ต่างจากคนพิการ แต่ทว่า...องค์ชายสี่ไม่ได้พิการ และหากพระองค์ทรงเสแสร้งแกล้งทำ...เขาทำให้เป็นจริงก็สิ้นเรื่อง! สองให้องค์ชายสี่มีสัมพันธ์สวาทกับคุณหนูใหญ่สวีเพื่อที่เขาจะนำหมากตัวนี้ไว้ข้างกายพระองค์ได้พอดี สกุลสวีก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินไป สติปัญญาเหมาะแก่การชักไยและสุดท้าย...องค์ชายสี่ก็จะกลายเป็นวัวเป็นลา ต้องตกเป็นคนขององค์ชายรอง กองทัพที่ยิ่งใหญ่สกุลเต๋อซึ่งฟังเพียงคำสั่งองค์ชายสี่ก็จะตามมาทั้งหมดตระกูลเต๋อฝั่งมารดาขององค์ชายสี่ฝังรากหยั่งลึก เป็นรากฐานที่ไร้หัวใจ ดำรงอยู่หลายรัชสมัย กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเกรงพระทัยนี่คือเหตุผลที่มิอาจเอาชีวิตองค์ชายสี่ได้ในเมื่อเอาชีวิตไม่ได้ ย่อมเหมาะจะเป็นหุ่นเชิดด้วยยาบุปผารัญจวนพันธนาการแห่งปรารถนา...แม้สรรพคุณจะรุนแรงปานนั้นแต่ไป๋มู่เจ๋อไม่คิดเอ่ย เพียงโน้มน้าวเฉพา