แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาจะร้อนรุ่ม ยังไม่ทันได้เสพสมเลือดลมจะสูบฉีดเดือดพล่าน เส้นเลือดในร่างกายแตกซ่านจนกลายเป็นคนป่วยที่รักษาไม่หายในที่สุด
แค่ยานี้ตัวเดียวเขาก็สามารถจัดการทุกสิ่งครอบคลุม หนึ่งพิสูจน์วรยุทธขององค์ชายสี่และทำลายมันลงซะ
นักรบที่ไร้วรยุทธย่อมไม่ต่างจากคนพิการ แต่ทว่า...องค์ชายสี่ไม่ได้พิการ และหากพระองค์ทรงเสแสร้งแกล้งทำ
...เขาทำให้เป็นจริงก็สิ้นเรื่อง!
สองให้องค์ชายสี่มีสัมพันธ์สวาทกับคุณหนูใหญ่สวีเพื่อที่เขาจะนำหมากตัวนี้ไว้ข้างกายพระองค์ได้พอดี สกุลสวีก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินไป สติปัญญาเหมาะแก่การชักไย
และสุดท้าย...องค์ชายสี่ก็จะกลายเป็นวัวเป็นลา ต้องตกเป็นคนขององค์ชายรอง กองทัพที่ยิ่งใหญ่สกุลเต๋อซึ่งฟังเพียงคำสั่งองค์ชายสี่ก็จะตามมาทั้งหมด
ตระกูลเต๋อฝั่งมารดาขององค์ชายสี่ฝังรากหยั่งลึก เป็นรากฐานที่ไร้หัวใจ ดำรงอยู่หลายรัชสมัย กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเกรงพระทัย
นี่คือเหตุผลที่มิอาจเอาชีวิตองค์ชายสี่ได้
ในเมื่อเอาชีวิตไม่ได้ ย่อมเหมาะจะเป็นหุ่นเชิด
ด้วยยาบุปผารัญจวนพันธนาการแห่งปรารถนา...
แม้สรรพคุณจะรุนแรงปานนั้นแต่ไป๋มู่เจ๋อไม่คิดเอ่ย เพียงโน้มน้าวเฉพาะส่วนต่อ “ขอแค่บุตรสาวของเจ้ากลายเป็นสตรีขององค์ชายสี่ โชคดีอาจได้เป็นถึงพระชายา เมื่อถึงเวลานั้นเรื่องอื่นย่อมง่ายดายแค่พลิกฝ่ามือ”
ดวงตาสวีจงสือเป็นประกายมากกว่าเดิม
บุตรชายได้เป็นขุนนาง ส่วนบุตรสาวได้เป็นชายา
“แต่ ใต้เท้าจะรับรองความปลอดภัยให้จวนสกุลสวีได้หรือไม่?” การเอาเรือนร่างของบุตรสาวเข้าแลกไม่สำคัญ แต่เขาต้องปลอดภัยอันดับหนึ่ง
เท่าที่ทราบ องค์ชายสี่หัวแข็งดื้อรั้นเย็นชา
และไร้หัวใจ...
ไป๋มู่เจ๋อยกยิ้ม แค่นเสียงเนิบช้า “มันก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านสามารถเสียสละบุตรสาวได้หรือไม่? ถ้าหากองค์ชายสี่ไม่หลงเสน่ห์ในตัวนางก็อาจต้องสละเรือลำนี้ทิ้งไปทันที ข้าสามารถทำให้ท่านไม่ถูกดึงไปเกี่ยวข้อง”
สวีจงสือไม่ยี่หระ “บุตรสาวคนนี้ช่างไร้ค่าให้ใส่ใจ ข้าจะเสียสละนางก็ย่อมได้ขอรับ”
รอยยิ้มเลือดเย็นกดลึกตรงมุมปากไป๋มู่เจ๋อ “ดี...”
ยาพิษห่อนั้นถูกส่งมาให้หลิ่งหลินถึงเรือนส่วนตัว
หลิ่งหลินรับไว้ ได้ยินสาวใช้รายงานเสียงราบเรียบว่า “นี่คือยาบำรุงเจ้าค่ะ”
หลิ่งหลินปรายตามองสาวใช้ตรงหน้านิ่งๆ
“ให้บำรุงข้าหรือ?”
สาวใช้ขบขัน “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร คุณหนูใหญ่อย่าสำคัญตัวเองผิดเจ้าค่ะ ยานี่ผู้มาเยือนจากแดนไกลนำมาให้นายท่าน มีค่าควรเมืองปานนั้น”
“หืม...” หลิ่งหลินหรี่ตาลง
หากจำไม่ผิด อีกฝ่ายเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ประจำเรือนของสวีจงสือ เป็นคนสนิทของมือขวาสวีจงสือ นิสัยถือดี ชอบเบ่งอำนาจใส่เรือนอื่น ทั้งยังไม่เคารพสวีหลิงเยี่ยน เพราะถือว่าตนเป็นคนของนายใหญ่ ทุกครายามที่สวีจงสือใช้บ่าวชายคนสนิทให้แจ้งข่าวแก่สตรีหลังเรือน มักจะต้องเจอสาวใช้คนนี้ สวีหลิงเยี่ยนกริ่งเกรงยิ่ง
ฟ่านเจินให้รู้สึกเห็นใจสวีหลิงเยี่ยนขึ้นมาอย่างแท้จริง อีกฝ่ายแลดูจะเป็นคนกตัญญูรักครอบครัวเสียด้วย ก่อนนี้สตรีอื่นต่างเร่งร้อนมาเข้าตำหนักก่อนใคร เพื่อหวังให้เข้าตาองค์ชายสี่โดยเร็วที่สุด แต่นางกลับมาเข้าเรียนช้าเพราะอยู่เรือนช่วยมารดา ครานี้ต้องช่วยบิดา ต่อให้มิใช่นักฆ่าก็คงจำเป็นต้องหาวิธีฆ่าคนแล้วฟ่านเจิ้งเองก็คิดไม่ต่าง นางช่างน่าเห็นใจ แต่ว่า...“แผนการของพวกเราก็ไม่ควรเปลี่ยนนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “แม้พระองค์รังเกียจนางและไม่ชอบวิธีการนี้ แต่ยังคงต้องแสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือต่อไป เพราะไม่นานฝ่ายเราจะได้หลักฐานและมีพยานเอาผิดองค์ชายรองส่งให้ฝ่าบาทเสียที”ฟ่านเจินพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ชายเฉกเดิม “ใช่ๆ เร่งเปิดทางให้นางเข้าหาแล้วรับตัวมาไว้ข้างกายเลยเพคะ”ลูกน้องคนสนิทคิดกันไป ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงปิดตำรา อิงแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงช้าๆ ท่าทางเงียบงันเย็นชา พาให้คู่แฝดลอบมองอย่างลุ้นระทึก ด้วยมิอาจคาดเดาความคิดของเจ้านายท้ายที่สุดจ้าวหมิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง กล่าวเสียงเรียบอย่างเกียจคร้าน “ข้ารังเกียจนางจริง หน้าที่เข้าหานางข้าให้พวกเจ้า วั
ขันทีหวังก้าวเท้าสั้นๆ เดินยิกๆ หลิ่งหลินก็เดินตามเพียงแต่ฝีเท้าของนางยาวและมั่นคง ไม่เหมือนคุณหนูทั่วไปที่ก้าวสั้นแบบนั้น ตำหนักนี่กว้างมากทีเดียว มีเรือนเยอะแยะยิ่ง เดินอยู่นาน ขันทีหวังถึงได้มาหยุดยืนหน้าเรือนหลังหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางนางโค้งกายเล็กน้อย เปล่งเสียงแหลม“นี่คือเรือนหงซิ่ว เป็นเรือนพักของคุณหนูสวี”หลิ่งหลินประสานมือยอบกายตามมารยาทอันพึงมีของคุณหนูลูกขุนนาง “ขอบคุณหวังกงกง”“เชิญคุณหนูสวีเข้าด้านใน” หวังกงกงเปิดประตู ผายมือ ส่งแขกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างไม่อิดออดประตูห้องปิดลง หลิ่งหลินเห็นเพียงแผ่นหลังขันที อีกฝ่ายเดินเชิดหน้าซอยเท้าก้าวเล็กหายไปทางใดไม่ทราบ นางแค่เดินเข้าห้องไปสำรวจตรวจตราอย่างไม่ถือสาท่าทีของขันทีผู้นั้นในเรือนแม้ไม่กว้างแต่ครบครันยิ่ง หลิ่งหลินสำรวจ เห็นทิศตรงไปซึ่งชิดกำแพงด้านในสุดของห้องคือเตียงนอน ด้านซ้ายโต๊ะจิบชา ด้านขวาโต๊ะหนังสือ อีกฝั่งของเตียงคือฉากกั้นวางไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเปลี่ยนอาภรณ์ ถัดออกไปคือห้องอาบน้ำ นอกหน้าต่างอากาศค่อนข้างเย็น แต่ด้านในห้องพักแม้ห้องมีขนาดกว้างขวางแต่กลับอบอุ่น แสงแดดสาดส่อง
เรื่องวุ่นวายในจวนสวียังคงดำเนินไปทั้งอย่างนั้นผลตรวจของท่านหมอลงความเห็นว่าสวีจงสือมีภาวะเลือดลมสูบฉีดขั้นรุนแรงส่งผลให้จุดป๋ายฮุ่ย[1]แตกซ่านนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอัมพาตท่อนล่าง ปากบิดปากเบี้ยว พูดจาไม่รู้เรื่องนั่นเอง หลังจากนี้เกรงว่าคงมิอาจหาความสำราญจากเรือนร่างสตรีได้อีกนอกจากนั้นยังมิอาจจัดการงานในจวนได้อีกด้วย เหยาซื่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่จึงต้องรับหน้าที่บริหารจัดการงานในจวนสวีทั้งหมดโดยปริยายมิใช่มีสิทธิ์มีเสียงแค่เพียงหลังเรือนเหมือนเมื่อก่อน แต่รวมถึงเรือนหน้าและอำนาจจวนสวีทั้งหมดที่เคยเป็นของสวีจงสือบัดนี้เป็นของเหยาซื่อโดยสมบูรณ์พอกัวเหมยรู้เรื่องก็กรีดร้องแทบบ้าคลั่งจนสลบไสล ครั้นตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้โหยหวนเป็นลมอีกในขณะที่อวี้เสวี่ยจีดีใจแทบตายแล้ว นางมีอิสระ ได้รับเบี้ยหวัด ไม่ต้องทนนอนปรนนิบัติใต้ร่างบุรุษเฉกอดีต ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งหมดทั้งมวลหลิ่งหลินเพียงทิ้งไว้เบื้องหลังยามนี้นางต้องเข้าไปเรียนในตำหนักหมิงเฟิ่งเสียที เพียงแต่ปล่อยเวลาล่วงเลยหลายวัน ยังจะเรียนทันหรือไม่ จะเข้าตำหนักได้หรือเปล่าไม่ใช่พยายามเข้าหาจ้าวหมิงอวี่ตามคำสั่งสวีจงสือ เพ
เรือนหลักของนายท่านใหญ่สวีจงสือหารือเสร็จก็ส่งแขกกลับ สวีจงสือให้รู้สึกโล่งใจ นึกอยากร่ำสำราญกับอนุภรรยาคนใหม่เหลือเกิน“ไปเชิญอนุอวี้มา”“ขอรับ” บ่าวชายรับคำค้อมกายออกไป สวีจงสือสั่งแล้วก็ผลัดผ้าเข้าห้องอาบน้ำแช่ตัวสบายใจ ครั้นชำระกายเสร็จก็ออกมานั่งจิบชาชื่นชมแสงจันทร์ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง!นั่นคือความคิดในใจของหลิ่งหลินที่ยืนแฝงตัวนิ่งๆ ภายใต้ความมืดของห้องแห่งนี้ ในมือของนางมีห่อยาที่เพิ่งได้รับจากสาวใช้คนนั้นที่เพิ่งตายไปเพราะขนมติดคอส่วนผงยาน่ะหรือ? ถูกละลายในกาน้ำชาไปบางส่วน แอบใส่ตอนที่สวีจงสือนั่งแช่ตัวในห้องอาบน้ำปะไรหลิ่งหลินแค่อยากรู้ว่ามันคือยาบำรุงจริงหรือเปล่า หากใช่ ค่อยนำไปใส่ขนมส่งให้จ้าวหมิงอวี่ก็ยังไม่สาย เห็นว่าเป็นของดีมีค่าควรเมืองจากแขกพิเศษแดนไกลนี่นาว่าแต่เหตุใดพวกเขาไม่นำมันไปถวายองค์ชายเองล่ะ ย่อมได้หน้าได้ตามากกว่าส่งผ่านสวีหลิงเยี่ยนที่ไม่ได้ความนี่ น่าแปลกยิ่งนัก! ความคิดของหลิ่งหลินพลันสะดุดและหยุดลงทันที เมื่อมีเสียงถ้วยชาตกพื้นดังแกร๊ง ยังไม่ถึงขั้นแตกเพราะมิได้เขวี้ยงกระแทกพื้นห้อง แต่เป็นลักษณะตกลงจากมือลงบนโต๊ะหลิ่งหลินยืนกอดอกอยู
แต่หลิ่งหลินเพียงมองนิ่ง ไม่รู้สึกรู้สา ลอบพิจารณาบางสิ่งอย่างเงียบงัน แววตาเย็นชาปานนั้นสาวใช้ไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ เพียงเชิดหน้า กล่าววาจาฉะฉาน “นายท่านสวีสั่งมาว่าให้คุณหนูใหญ่คอยเอาอกเอาใจองค์ชายสี่ให้ดี ทำขนมให้พระองค์ด้วยตัวเอง และยาห่อนี้นำไปส่งให้องค์ชายสี่เพื่อแสดงความจริงใจ อย่าได้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”หลิ่งหลินถามเสียงชืดชา “สกุลสวีปล่อยให้สาวใช้พูดจาเหมือนออกคำสั่งกับเจ้านายตั้งแต่เมื่อใด?”สาวใช้เพิกเฉยคำถามนั้น “คุณหนูใหญ่ควรรู้หน้าที่ว่าต้องทำสิ่งใด ส่วนข้าต้องทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน นายท่านสั่งมาบอกเช่นไรข้าก็แค่บอกท่านเช่นนั้น”คนฟังเลิกคิ้ว “อ้อ...มาเพราะเป็นคำสั่งท่านพ่อ จึงทำท่าโอหังต่อหน้าข้าได้สินะ”สาวใช้ไม่ตอบทางวาจาเพียงเงยหน้าสบตาตรงๆ แทนคำตอบนั้นแน่นอนว่าไม่มีจวนใดที่บ่าวไพร่กล้าบังอาจเช่นนี้! กล้าจ้องหน้าเจ้านายเนี่ยนะที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนเติบโตคุณหนูน้อยสวีหลิงเยี่ยน ต้องทนกับบ่าวชั้นต่ำไม่รู้เท่าไรกระมังหลิ่งหลินเดาะลิ้น “อืม ข้าไม่ชอบท่าทางของเจ้าเลย ทำอย่างไรดีเล่า” นางทำท่าขบคิดจริงจัง “เอาเช่นนี้ดีไหม เจ้าไสหัวไปเสียตอนนี้ อย่าม
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาจะร้อนรุ่ม ยังไม่ทันได้เสพสมเลือดลมจะสูบฉีดเดือดพล่าน เส้นเลือดในร่างกายแตกซ่านจนกลายเป็นคนป่วยที่รักษาไม่หายในที่สุดแค่ยานี้ตัวเดียวเขาก็สามารถจัดการทุกสิ่งครอบคลุม หนึ่งพิสูจน์วรยุทธขององค์ชายสี่และทำลายมันลงซะ นักรบที่ไร้วรยุทธย่อมไม่ต่างจากคนพิการ แต่ทว่า...องค์ชายสี่ไม่ได้พิการ และหากพระองค์ทรงเสแสร้งแกล้งทำ...เขาทำให้เป็นจริงก็สิ้นเรื่อง! สองให้องค์ชายสี่มีสัมพันธ์สวาทกับคุณหนูใหญ่สวีเพื่อที่เขาจะนำหมากตัวนี้ไว้ข้างกายพระองค์ได้พอดี สกุลสวีก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินไป สติปัญญาเหมาะแก่การชักไยและสุดท้าย...องค์ชายสี่ก็จะกลายเป็นวัวเป็นลา ต้องตกเป็นคนขององค์ชายรอง กองทัพที่ยิ่งใหญ่สกุลเต๋อซึ่งฟังเพียงคำสั่งองค์ชายสี่ก็จะตามมาทั้งหมดตระกูลเต๋อฝั่งมารดาขององค์ชายสี่ฝังรากหยั่งลึก เป็นรากฐานที่ไร้หัวใจ ดำรงอยู่หลายรัชสมัย กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเกรงพระทัยนี่คือเหตุผลที่มิอาจเอาชีวิตองค์ชายสี่ได้ในเมื่อเอาชีวิตไม่ได้ ย่อมเหมาะจะเป็นหุ่นเชิดด้วยยาบุปผารัญจวนพันธนาการแห่งปรารถนา...แม้สรรพคุณจะรุนแรงปานนั้นแต่ไป๋มู่เจ๋อไม่คิดเอ่ย เพียงโน้มน้าวเฉพา