อาจจะมีแต่ภูมิพยัตเท่านั้นที่ไม่รู้ตัว ว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เมื่ออยู่บ้านเขามักจะช่วยไปรยาหยิบนั้นหยิบนี่ กลายเป็นเงาตามตัวไปรยาไปเสีย วันนี้เขามีธุระต้องเข้าไปในตัวอำเภอ เขาสั่งลูกน้องให้แวะเวียนมาเดินยามที่หน้าบ้านพ่อแม่ ต้องบอกพ่อให้คอยระวังด้วย“ไม่พาหนูปรายไปเที่ยวบ้างละลูก” “ไม่เป็นไรคะคุณท่าน คุณพยัตไปทำงาน ปรายไปก็เกะกะเปล่าๆ”“ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างซิ อยู่ในบ้านทุกวันเป็นเดือนๆแล้ว”ภูมิพยัตมองอย่างชั่งใจแล้วพยักหน้ารับ เขาก็อยากอยู่ตามลำพังกับเธอบ้างเหมือนกัน “ไปแบบนี้นั้นแหละ ถ้าคืนนี้กลับไม่ทันก็จะมาตอนเช้า”“ดูแลน้องด้วยล่ะ” พ่อกำชับ“พ่อก็ดูแลแม่ด้วย” เขายังแอบห่วงเรื่องคนที่มาเผาโรงงานอยู่ แต่ก็สั่งคนให้คอยมาดูที่บ้านแล้ว“ไปเถอะ กว่าจะไปถึง” เขาพยักหน้าเรียกและเดินนำมาที่รถ ไปรยารีบเดินเร็วๆตามหลังเขามา แต่เขาไม่ได้เดินไปที่รถกระบะที่ใช้ประจำ แต่เป็นรถเก๋งคันหรูสีน้ำเงินเข้ม และก็เป็นเช่นทุกครั้งที่เขาจะเปิดประตูรถให้ รอจนเธอขึ้นรถเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาฝั่งคนขับและออกรถ “รถมันจอดให้ฝุ่นจับอยู่อย่างนาน เลยเอาออกมาใช้บ้าง”“ค่ะ” เธอไม่รู้จะพ
“ไม่เป็นไรค่ะ ปรายเข้าใจ” ไม่หรอก จริงๆแล้วเธอไม่เข้าใจอะไรเลย จู่เขาก็ทำท่าโกรธเธอมากมายขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี่เขาแสนดีกับเธอจะตายไป“ใช่ เราต้องคุยกัน”ภูมิพยัตปล่อยมือจากเจนนี่ เล่นเอาแม่เล้าถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ไปรยาเดินตามแผ่นหลังของเขาออกมานอกร้านกาแฟ“คุณพยัตค่ะ มีเรื่องอะไรหรือคะ”“ผมถามจริงๆ คุณรู้จักคนที่ผมพาเข้าไปเมื่อกี้ไหม?”“เอ่อ...ไม่ทราบค่ะ” เธอพูดตามจริง”“คุณจำได้ไหมว่า คุณบอกผมว่าใครส่งคุณมาเป็นแม่บ้านที่บ้านของผม”“ค่ะ” ไปรยาพยักหน้ารับ “คุณเจนนี่ค่ะ”ภูมิพยัตสูดลมหายใจลึก แล้วจ้องมองราวกับจะฉีกเธออกเป็นชิ้นๆ เพราะเขาเกลียดคนโกหกที่สุด“ไปรยา เราต้องหาที่เงียบๆคุยกันแล้ว ผมต้องการรู้ความจริงจากปากคุณเท่านั้น”คำพูดของเขาเฉียบขาดดุจกับคมมีดที่กรีดคนให้ตายได้ เขาดึงข้อมือเธอให้เดินมาที่รถราวกับกลัวเธอจะวิ่งหนีไป เขาขับรถเข้ามาในโรงแรมที่ทั้งคู่เจอกัน ไปรยารู้สึกหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะเขา แต่เพราะเคยหนีเจ้าหนี้ของอาธงชัย ขณะที่ภูมิพยัตโอบไหล่คนตัวเล็กเข้าห้องพัก หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว เพราะเธอกังวลแต่เรื่องของชายหนุ่มจนลืมไ
“คุณพยัตจะเข้าใจยังไงมันก็เรื่องของคุณ คนเห็นแก่ตัวอย่างปรายก็ต้องไปตามทางของปราย” เธอพูดแล้วก็รีบเดินไปที่ประตูห้อง เปิดออกอย่างรวดเร็ว“ปราย”ภูมิพยัตทำเสียงเหนื่อยๆ เขาเองก็สับสนกับความรู้สึกของตัวเอง โกรธที่เธอไม่พูดความจริง หรือโกรธที่ความจริงมันเปิดเผยตอนที่เหตุการณ์มันมาบรรจบกันอย่างนี้ เขาเคยถูกทิ้งเพราะมีหนี้สินล้นพ้นตัว เขาเกลียด เขาเสียใจที่ถูกทิ้งยามยากลำบาก ไปรยาทิ้งครอบครัวตัวเองทั้งที่รู้ว่ามีหนี้สินและหนีมาอยู่กับเขาแบบนี้ เขา...เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเธอรู้เพียงแค่ ปล่อยเธอไปจากชีวิตเขาไม่ได้เท่านั้นไปรยาเปิดประตูออกมา เธอต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้เป็นอารวมทั้งคนที่วิ่งตามจับเธอคราวก่อนอยู่ตรงนั้น“นังปราย! แกมันแย่จริงๆ ทิ้งอาแล้วหนีไปแบบนั้น เอาตัวมันไปเลยครับกำนันนิยม” ธงชัยชี้หน้าด่าทันที เขาโกรธจนควันแทบออกหู เห็นเงียบๆไม่คิดว่าจะมีพิษสงเล่ห์เหลี่ยมเยอะขนาดนี้ ธงชัยหันไปพูดน้อมน้อมกับกำนันนิยม กำนันมองหญิงสาวด้วยสายตาพึ่งพอใจแล้วพยักหน้าให้ลูกน้องไปเอาตัวหญิงสาวมา ร่างบางถึงกับผงะถอยหลัง อยากหมุนตัวกลับไปหาภูมิพยัต แต่สายตาดูถูกดูแคลนของเข
“ไปแล้ว” ภูมิพยัตยกเหล้าขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ เม่นขมวดคิ้วยุ่งกับสิ่งที่เพื่อนพูด“ไปไหน?”“ไม่รู้ รู้แต่ไปแล้ว” “เฮ้ย! พูดจาไม่รู้เรื่องเลยว่ะ”เม่นแย่งแก้วเหล้าจากมือเพื่อน เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มในร้านทำให้เขาตัดสินใจลากเพื่อนออกมานั่งที่หน้าร้านแทน แม้เสียงเพลงจะดังออกมาข้างนอก แต่ก็พอจะคุยกับเพื่อนได้ จะได้รู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นหายไปไหนกัน“เรื่องเป็นมายังไงวะ ไหนเล่ามาดิ”“ไม่รู้จะเล่ายังไง”“เวลาแบบนี้เหล้าไม่ช่วยอะไร แต่เพื่อนน่ะช่วยรับฟังได้นะเว้ย”ภูมิพยัตถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างที่เม่นพูดก็ถูก เวลานี้เขาต้องเพื่อนที่ช่วยรับฟังปัญหาจริง เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ไปรยาตัดสินใจเลยสักนิด เขาเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้เม่นฟัง เว้นเพียงแต่ความสัมผัสลึกซึ้งที่เขากับไปรยามีร่วมกัน จนมาถึงฉากสุดท้ายที่เห็นไปรยาเดินจากไปพร้อมกำนันนิยม“แล้วนายว่าไงล่ะ เราทำอะไรไม่ถูกเลย”“ไอ้บ้าเอ๊ย!!” เม่นตะคอกใส่เสียงดัง เขาโมโหจนอยากถีบโต๊ะ หรือปาขวดระบายอารมณ์เสียจริง“อะไรวะ”“ทำไมนายโง่ขนาดนี้วะ” เม่นกระชากคอเสื้อของภูมิพยัตเขย่าแรงๆ“เฮ้ย! นายเป็นอะไรไปวะ” ภูมิพยัตปัดมือของเพื่อนออก “ไม่
เจ้หงส์เดินนวดนาดด้วยท่วงท่านางพญา เธอไม่เหมือนกับเจนนี่ที่มักจะชอบร้องวีดว๊ายๆน่าปวดหัว แต่เจ้หงส์ดูแลแค่เด็กในอาบอบนวด ไม่ได้บริการจัดหาส่งถึงสถานที่อย่างเจนนี่ เจ้หงส์เดินกลับมาที่ห้องเก็บตัวที่ขังไปรยาไว้ ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่มีใครยืนคุมหน้าห้อง มือเรียวที่ทาเล็บสีม่วงสวยเปิดประตูเข้าไป ร่างเล็กผวาเฮือกยกมือที่ถูกมัดปาดน้ำตา“เช็ดน้ำตาซะ แต่งตัวสวยๆแล้วออกไปกับเจ้”“ทำไมคะ”“เจ้พูดไม่ได้แต่ต้องรีบ” เจ้หงส์เดินไปที่ตู้เสื้อเลือกหยิบชุดที่แดงเพลิงออกมาแล้วแก้เชือกที่มัดอยู่ ไปรยามองอย่างหวาดๆ“จำไว้ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่าพูดชื่อเจ้เด็ดขาด เจ้ช่วยได้แค่นี้”“ขอบคุณค่ะ” ไปรยาหยิบเสื้อผ้ามาพอคลี่ชุดสีแดงออกดูก็ต้องอ้าปากค้าง เธอไม่เคยใส่เสื้อผ้าแบบนี้เลย แต่เมื่อหันไปทางเจ้หงส์ที่พยักหน้าให้ ทำให้เธอต้องรีบเปลี่ยน มันเป็นชุดเดรสสายเดี่ยวเส้นเล็กอวดเนื้อหนัง กระโปรงก็สั้นจนเธอไม่กล้าก้าวขา มือเล็กพยายามดึงชายกระโปรงลงมาอีกแต่มันก็ไม่ช่วยอะไร เจ้หงส์มองแล้วก็ถอนหายใจ หยิบแปรงมาหวีผมให้หญิงสาว ตามด้วยแต่งหน้าลบรอยน้ำตา ไม่รู้ที่มาที่ไปแต่คิดว่าหญิงสาวคนนี้คงไม่ได้เต็มใจมาจริงๆ แต
Chapter 23.ไม่ได้กะเอาถึงตายนี่“นายต้องไปโรงพยาบาล”“แผลไม่เท่าไหร่” ภูมิพยัตกัดฟันพูดและมองตามร่างของกำนันนิยมที่ถูกหามขึ้นรถพยาบาลออกไปแล้ว“ไม่ค่อยได้ซ้อมหรือไง” เม่นพูดประชด“ก็ไม่ได้กะเอาตายนี่ แค่นี่ก็คงสาหัสเหมือนกัน” เขาถอนหายใจ“เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองเข้าทลายซ่องและบ่อนกำนันนิยม” เม่นอธิบาย“นายเป็นคนทำรึ” “เราแค่เป็นสายให้เท่านั้นเอง” เม่นหัวเราะแฮะๆ “เราจะให้การเป็นพยานให้นายเอง ตอนนี้ไปให้หมอทำแผลก่อนดีกว่า คุณปรายครับ ช่วยพูดให้เพื่อนดื้อๆ ของผมไปโรงพยาบาลที่เถอะครับ”“คุณพยัตไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ” ไปรยาอ้อนวอนด้วยแววตาที่ใครเห็นก็ใจอ่อน ภูมิพยัตพยักหน้ารับ เขาอยากกอดเธอแต่แขนเจ็บจนยกไม่ขึ้น เขาหันไปกระซิบกับเม่น เพื่อนกลั้นหัวเราะแล้ววิ่งหายไปครู่หนึ่งกลับมาพร้อมเสื้อแจ็คเก็ตให้ไปรยาใส่คลุมทับชุดเดรสสีแดงเพลิงที่เธอสวมอยู่“คุณปรายต้องอยู่ให้ปากคำกับตำรวจก่อน เราจะดูแลคุณปรายให้เอง นายไปกับโรงพยาบาลก่อนเถอะ เสร็จแล้วพวกเราจะตามไป”มีเพียงสายตาที่จ้องมองด้วยความเข้าใจ จำใจต้องห่างกันเพียงชั่วคราว เธออยากอยู่ดูแลเขาแต่ก็ต้องเคลียร์เรื่องทางนี้ก่อน ไ
คุณบุญมาและคุณรำเพยดีใจที่จะได้ไปรยามาเป็นลูกสะใภ้ ทั้งสองฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเม่นแล้ว ทั้งสองดูจะเห่อว่าที่ลูกสะใภ้มากกว่าลูกชายเสียอีก เรียกว่าเตรียมวางแผนจัดงานแต่งงานให้สมน้ำสมเนื้อไม่ให้ไปรยาน้อยหน้าใคร“ปรายไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหน เราจัดกันเล็กๆก็ได้ค่ะ”“ไม่ได้หรอก งานแต่งานลูกชายคนเดียวของบ้านเรา” คุณบุญมาหัวเราะชอบใจ “หนูปรายต้องมีลูกเยอะๆนะ พ่อกับแม่มีลูกคนเดียวเหงาจะแย่ ปรายไม่ต้องห่วง แม่กับพ่อจะช่วยเลี้ยงเอง”“อ้าวพ่อ นี่ลูกผมผมจะเลี้ยงเอง พ่อกับแม่เอาไปเลี้ยงเดี๋ยวก็ตามใจจนเสียคนหรอก”“บ่ะ! ไอ้ลูกคนนี้นี่ ดูเอ็งซิ นี่ก็เสียคนจะแย่อยู่แล้ว พูดจากับพ่อกับแม่ไม่มีหางเสียเอาซะเลย”“ก็พ่อเป็นคนสอนผม ลูกผู้ชายอย่าทำตัวหยุมหยิม ผมก็เป็นแบบนี้”“เอาน่าพ่อลูกคู่นี่ก็นะ” คุณรำเพยห้ามทัพ แล้วหันไปมายิ้มให้ไปรยา “แต่ยังไงหนูปรายก็ยังมีอาอยู่ ถึงเขาจะทำไม่ดีกับเรา เราก็คงจะบอกเขานะ เผื่อวันหน้าได้เจอหน้ากันจะได้มองหน้ากันได้”“ปรายก็คิดแบบนั้นค่ะ”“รอแผลหายก่อนผมจะพาปรายไปบ้านที่กรุงเทพฯ“ดีแล้ว ถ้างั้นก่อนแต่งงานให้หนูปรายมาอยู่เรือนใหญ่กับพ่อแม่ก่อนนะ”“ไม่ได้ อีกตั้งเป็นเดือน
“ความจริง หลังจากการทลายบ่อนกับซ่องของกำนันนิยม เรามีหลักฐานพาดพิงมาถึงคุณธงชัยด้วยนะครับ” ภูมิพยัตหยิบซองสีน้ำตาลที่สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกออกมาส่งให้ธงชัย เขารับมาแล้วเปิดออกดู ใบหน้าของธงชัยถึงกับซีดเผือกในขณะที่ภรรยาคว้ารูปไปดูแล้วทุบตีสามีพัลวัน“เรามีหลักฐาน นอกจากคุณธงชัยจะเล่นพนันแล้วยังซื้อบริการหญิงที่อายุไม่ถึงสิบห้าปี แค่นี้มันก็ทำให้คุณย้ายไปนอนกินข้าวแดงในคุกได้สบายๆเลยนะครับ”“ไอ้ผัวบ้า! ไอ้จัญไร! ไหนว่าไปเล่นไพ่อย่างเดียวไง”“ก็นั่นมันของแถมนี่ โอ๊ย!” ธงชัยโดนเมียบิดหูเข้าให้“เอาล่ะครับ” ภูมิพยัตหยิบรูปเหล่านั้นกลับคืน “ในฐานะที่เราก็จะเป็นญาติกันแล้ว ผมจะช่วยปิดเรื่องนี้ให้ แต่ผมก็หวังว่าคุณทั้งสองจะตอบแทนบุญคุณผมโดยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับไปรยาอีก”“ได้ๆ จะเอาไปทำอะไรก็เอาไปเลย” ธงชัยรีบบอก“คำพูดอย่างเดียวไม่มีความหมาย ผมทำหนังสือสัญญามาแล้ว รบกวนทั้งสองช่วยเซ็นรับรู้ด้วยนะครับ” เขาหยิบซองจดหมายออกมาแล้วส่งให้ ธงชัยรีบเซ็นชื่อโดยไม่อ่านรายละเอียดทั้งมือไม้สั่น ภรรยาของเขาก็เช่นกัน เพราะเกรงสายตาคมกริบคู่นั้น ถ้าขนาดยิงกำนันนิยมคนดังได้ พวกเขาทั้งสองคนรอดได้ยาก
ปรินทรเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทำอะไรมากเพียงนี้ เพราะคราบเลือดจางๆ บนที่นอนเขานะหรือ? สงสารหรือเห็นใจล่ะ? คนอย่างนายปรินทรเคยรู้สึกอะไรแบบนี้ด้วยหรือไง ชายหนุ่มหงุดหงิดตัวเอง ไม่อยากคิดใคร่ครวญหาคำตอบในเวลานี้ เขาสั่งให้คนขับรถจอดที่ร้านขายเสื้อผ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง จำได้ว่าเคยมากับแม่ตอนที่แม่ยังอยู่ แต่ก็นานมากแล้วจริงๆ เดินเข้าไปในร้านแล้วก็ชี้ๆ เอาเสื้อผ้าสองสามชุดเผื่อให้หญิงสาว รวมทั้งชุดชั้นในด้วย สีหน้าเรียบนิ่งเล่นเอาพนักงานเองก็ไม่กล้าชวนคุยอะไร“เอ่อ...ใช่คุณมังกร ลูกชายคุณจำปาหรือเปล่าจ๊ะ”“ครับ”ปรินทรพยักหน้ารับ แปลกใจที่มีคนจำแม่ของเขาได้อยู่ ไม่ค่อยมีใครทักเขาแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่จะทักเขาว่าใช่ลูกกำนันทรงชัยหรือเปล่า“ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มขนาดนี้เชียว” เจ้าของร้านเป็นหญิงวัยห้าสิบกว่าๆ “ป้ามารศรีจ๊ะ หลานคงจำไม่ได้แล้วมั้ง”“ป้ามารศรีที่ย้อมผ้าไหมหรือเปล่าครับ” เขาถามกลับอย่างไม่แน่ใจ“ใช่ๆ ป้าเองจ๊ะ แก่แล้วไม่มีแรงย้อมผ้าเองแล้ว เลยมาช่วยงานหน้าร้านแทน มาเยี่ยมพ่อหรือจ๊ะ”“ครับ” เขาโกหก มาเพราะโดนพ่อตามตัวมากกว่า“มีลูกมีเมียหรือยังละ”“ผมยังไ
“คุณแพ้กุ้งไหม?”“อะไรนะคะ” เธอถามกลับเมื่อตั้งสติได้“ในครัวทำข้าวต้มกุ้ง”“อ้อ พั้นซ์ทานได้ค่ะ ไม่ได้แพ้กุ้ง” หญิงสาวตอบแล้วก็มองเห็นเดินมานั่งที่ขอบเตียง ตบที่ว่างข้างๆเหมือนเรียกลูกแมวและเธอก็เดินเข้าไปอย่างแสนเชื่อง มือใหญ่รั้งให้เธอนั่งลงบนตักแล้วลูบผมเธอเบาๆ“ตกใจ?”“ค่ะ” เธอเริ่มชินกับวิธีการพูดของเขา สั้นๆ ได้ใจความ เป็นทั้งคำบอกเล่าและประโยคคำถามในคราวเดียว“อย่าห่วงเลย ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับคุณอีก” “ไม่เป็นไรคะ พั้นซ์จะพยายามช่วยตัวเองให้ได้” หญิงสาวขมวดคิ้ว เขาจะได้อะไรกับการช่วยเธอ เสียงหัวเราะในลำคอของเขาทำให้เธอหน้ามุย แต่ก็ยังยืนว่าจะดูแลตัวเองให้ได้“ถ้าเมื่อวานผมไปไม่ทัน ป่านนี้คุณจะเป็นยังไง” ปลายนิ้วเกี่ยวพันเส้นผมเธอแล้วดึงเล่นเบาๆ“จริงๆแล้ว พั้นซ์ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยค่ะ” เธอสารภาพไปตามตรง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่“คุณพร้อมจะฟังหรือยังล่ะ” เขาถามแล้วกอดเธอไว้ราวกับกลัวเธอจะรับความจริงไม่ได้ แต่เมื่อหญิงสาวพยักหน้า เขาก็เอ่ยปากเล่า“นายนิพัฒน์เป็นหนี้พนันในคาสิโน่ของพ่อผมอยู่สองแสนห้า เขาเสนอให้คุณเป็นสินค้าใช้แทนหนี้เค้าบอกใครต่
ปรินทรไม่รู้ว่าทำไมตัวเองหงุดหงิด โมโห น้อยใจ อีกสารพัดความรู้สึกที่เกิดขึ้น เขาเดินตัวเปล่าไปหยิบเสื้อผ้าที่เด็กรับใช้เอามาให้หญิงสาวแล้วคลี่ออกดู มันเป็นเพียงเสื้อยืดกับผ้านุ่งสีพื้น เสื้อผ้าที่เธอใส่มาสภาพมันก็แทบกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว เขาถอนหายใจเบาๆ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าตัวเอง หยิบเสื้อยืดตัวใหญ่ของเขาออกมาจากตู้ ตัวนี้คงพอให้เธอใส่ไปก่อน แล้วค่อยให้เด็กไปหาซื้อเสื้อผ้าดีๆให้เธอใส่สักชุดเขาเดินกลับมาจะเอาเสื้อมาให้ แต่พอเห็นก้อนผ้าห่มบนเตียงก็ทำหน้าไม่ถูก ทั้งที่เมื่อครู่โกรธเธอจะแย่ แต่เห็นแบบนี้แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เขานั่งลงที่เตียงข้างก้อนผ้าห่มแล้วโน้นหน้าลงไปค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะของเธอ“เดี๋ยวก็ขาดอากาศหายใจหรอก ผมไม่อยากให้ใครมาตายบนที่นอนผมนะ”“คุณ...คุณ...คุณไม่ใส่เสื้อผ้า”“ฮืม คุณก็ไม่ได้ใส่นี่จะอายทำไม เราเสมอกันนะ” เขากลั้นหัวเราะหญิงสาวโผล่หน้าออกมาแล้วจ้องมองใบหน้าของเขาก่อนค่อยๆไล่สายตาไปที่แผงอกกว้างและ..ท่อนล่างของเขากับบางสิ่งที่มันทำให้เธออ้าปากค้างแล้วมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง“คุณช่วยนุ่งอะไรหน่อยได้ไหม” เธอส่งเสียงมาจากใต้ผ้าห่มผู้หญิงคนนี้ประ
เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆกะพริบตา หญิงสาวปรับสายตากับความมืดในรอบกายจนพอมองเห็นทุกสิ่งในห้องได้ชัดขึ้น ห้องนอนที่ค่อนข้างกว้าง ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ผิดกับที่เธอเจอมาก่อนหน้านี้ พิชญนรีไม่อยากคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเจออะไรมา ทำไมเธอต้องมาเจอเคราะห์กรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เหมือนน้ำตาจะรื้นขึ้นมาอีกครั้ง เธอพยายามกลั้นมันไว้ เปล่าประโยชน์ที่จะมาร้องไห้ในเวลาแบบนี้ร่างบางรู้สึกถึงวงแขนที่กระชับรั้งเธอกอดแนบแน่นขึ้น หญิงสาวตัวเกร็งขึ้นมาทันทีเมื่อนึกได้ว่าเธอไม่ได้อยู่ตามลำพังบนเตียงนุ่มนี้ มือเรียวกอดผ้าห่มไว้ราวกับเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจะขยับตัวหนีแต่มือแข็งแกร่งกอดเธอแน่นขึ้นจนเธอไม่กล้าหันกลับไปมอง“ยังไม่เช้าหรอก นอนต่ออีกสักนิดเถอะ”น้ำเสียงที่พูดแผ่วๆ อยู่ข้างหูทำให้พิชญ์นรีต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น สมองยังสับสนไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่เหมือนคนตัวใหญ่ที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังจะรับรู้ เขาเพียงกอดเธอแน่นขึ้นอย่างหวงแหน แรงสั่นสะเทือนน้อยๆ นั้นปลุกให้เขาตื่นนานแล้ว“ที่นี่...ที่ไหนคะ” “บ้านพ่อของผมเอง” เขาพึมพำแล้วลูบผมเธอเบาๆ “นี่ห้องนอนผม”
เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้านก็เกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ปรินทรแกะมือของเธอที่หนึบหนับอย่างกับหนวดปลาหมึกออกจากร่างตนเองแล้วลงจากรถ เขาไม่ให้ใครเข้ามาช่วย รีบอุ้มร่างที่เปียกชื้นจนเหมือนจะเปลือยเปล่าแล้วเดินเข้ามาในบ้าน“พ่อล่ะ” เขาถามเด็กรับใช้ที่รอเปิดประตูให้“คุณท่านเข้าห้องนอนแล้วเจ้าคะ”เขาเหลือบตามองเด็กรับใช้ประเมินด้วยสายตา เล่นเอาเด็กสาวเขินอายจนหน้าแดงจัด“เอาเสื้อผ้าเธอมาให้ฉันชุดนึง”“อะไรนะคะ?”“ได้ยินแล้วนี่”“ค่ะๆ”ปรินทรอุ้มร่างของพิชญ์นรีไปที่ห้องนอนของเขา หญิงสาวหอบหายใจแรง ใบหน้าหวานแดงจัด เธอแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง รู้สึกลำคอแห้งผากไปหมด และเนื้อตัวก็คันยุบยิบเหมือนมีอะไรไต่ เธอถอดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างรวดเร็ว“เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง มองหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องที่บนตัวเหลือเพียงชุดชั้นในลูกไม้สีหวานเท่านั้น“มันคัน คันยุบยิบไปทั้งตัว” เธอลูบเนื้อตัวของตนเอง“รู้แล้ว” ปรินทรส่ายหน้าไปมา ไปโดนยาเม็ดไหนเข้าไปนะ เขาหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าไปหาแต่เธอกลับยื่นมือไปประคองใบหน้าเขาไว้แล้วเขย่งปลายเท้าจูบริมฝีปากเขา ชายหนุ่มถึงกับตกใจไปอึดใจ ลิ้นเล็กๆ ตวัดเลียริมฝ
“ตั้งสติหน่อยพิชญนรี” พิชญนรีบอกกับตัวเองแล้วลองเดินไปเขย่าประตู มันล็อกจากด้านนอก ไม่กี่นาทีต่อมา ร่างกายเธอก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ มันผ่าวร้อนและทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงจนทรุดไปนั้งกับพื้น เธอมองรอบตัวอีกครั้ง อย่างไรก็ไม่ยอมเป็นเหยื่อง่ายๆ เด็ดขาด! เสี่ยกำธรเดินเข้ามาในห้องรับแขก เขากระตุกยิ้มเมื่อเห็นปรินทรนั่งรออยู่ก่อนแล้ว แม้จะสวมเสื้อยืดทับด้วยแจ็ตเก็ตสูทเรียบๆ แต่ก็ดูโดดเด่นไม่เหมือนผู้ชายที่จะมาเที่ยวซ่องเท่าไหร่นัก“ลมอะไรหอบเสี่ยมังกรมาถึงที่นี่ละครับเนี้ย” เสี่ยกำธรพูดราวอายุเท่านั้น ทั้งที่อีกฝ่ายรุ่นลูกด้วยซ้ำไป“ผมมาซื้อของ” ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ“ของแบบไหนที่คนระดับเสี่ยมังกรต้องมาซื้อเองแบบนี้ครับ”“ผู้หญิง”“ผู้หญิง?” เสี่ยกำธรถึงหัวเราะออกมา“ผู้หญิงคนที่นายนิพัฒน์เอามาขายนั้นแหละ” เขาพูดตรงไปตรงมา ต้องการปิดเกมให้เร็วที่สุด เธอถูกจับตัวมาตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง“เสี่ยมังกรหูไวตาไวไม่เบา ของเพิ่งมาถึงผมมือก็รู้ไปถึงหูเสี่ยมังกรแล้ว”ปรินทรส่ายหน้าไปมา “เสี่ยจะเอายังไงก็ว่ามาเถอะ ผมอยากเห็นของชิ้นนั้นแล้ว”“แสดงว่าสำคัญมากถึงข
“ครับ ผมทราบว่าคุณปรินทรเองก็มีธุรกิจมากมาย โดยเฉพาะธนาคารของคุณ ซึ่งคุณคงไม่ยอมให้ตัวเองแปดเปื้อนเพราะเรื่องพวกนี้แน่ๆ”“ครับ” ปรินทรประเมินสถานการณ์ด้วยสายตา“ผมอยากได้ข้อมูล เพื่อให้คนของผมแทรกตัวเข้าไปได้โดยไม่ถูกจับได้เสียก่อน”ปรินทรพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นผมพอช่วยได้”“ยังไงก็ขอรบกวนด้วยก็แล้วกัน”“ครับ ผมยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่”ทั้งสามพูดคุยหารือกันอยู่พักใหญ่ ปรินทรก็ขอตัวเดินออกมาหน้าบ้าน สารวัตรวรดรเดินตามมาด้วย“ยังไงก็ต้องขอบคุณล่วงหน้าที่ให้ความร่วมมือนะครับ”“ไม่เป็นไรครับ คนเยอะ ดูแลลำบาก แถมยังมีช่องทางให้ไปประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายๆอีก” ปรินทรพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และทางที่ดีคุณสารวัตรไม่ต้องแวะมาบ้านผมบ่อยจะดีที่สุด”“อ้าว ทำไมละครับ” สารวัตรวรดรหัวเราะร่วนทั้งที่รู้คำตอบดี“พ่อผมจะกลายเป็นเป้าได้ง่ายๆ” เขาพูดตามตรงไม่เห็นเป็นเรื่องตลก “ถ้าพวกมันระแคะระคายเมื่อไหร่ ก็เดาได้ไม่ยากว่ามันจะเล่นงานใครก่อน”“เรื่องนั้นผมพอเข้าใจ จะให้คนมาคอยดูแล”“ไม่จำเป็น ลูกน้องมือดีของพ่อยังมีที่ไว้ใจได้” ปรินทรปรายตามองไปด้านข้าง คนสนิทเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดยืนไ
“ไม่ล่ะ ข้ารีบพูด พูดจบเอ็งก็เผ่นกลับกรุงเทพฯ ซิ”“พ่อก็รู้แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ”“บ่ะ ไม่น่ารักเลยไอ้ลูกคนนี้”ปรินทรขมวดคิ้ว “ผมเคยน่ารักด้วยหรือไงกัน”พ่อเริ่มคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย “พ่อแก่แล้ว ใส่ใจพ่อหน่อย”“รู้ตัวด้วยเหรอ”“อุวะ! เอ็งนี่เลิกทำน้ำเสียงแบบนี้เสียทีเถอะ ไอ้พูดน้ำเสียงโทนเดียวไม่น่าคุยด้วยเลย” กำนันทรงชัยส่ายหน้าไปมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่าทางแบบนี้ นิสัยแบบนี้ จะกลายเป็นนักธุรกิจพันล้านได้ทั้งที่อายุเพิ่งจะ35เท่านั้น“เอ็งอายุขนาดนี้แล้ว เมื่อไหร่จะมีเมียมีลูกเสียที มันจะโตไม่ทันใช้เอาน่า”“หือ” ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหรี่ตามองพ่ออย่างจับผิด “ใครเสนอตัวเป็นลูกสะใภ้ล่ะ แล้วพ่อเป็นนายหน้าเท่าไหร่”“ไอ้ลูกบ้า ข้ารู้ว่าเอ็งมันหล่อเลือกได้ แต่เห็นอายุสามสิบห้าแล้วยังไม่มีครอบครัวอีก ข้ากับแม่เอ็งได้เสียกันก็ตั้งแต่อายุยี่สิบเอง”“แล้วไง ผมต้องเดินตามรอยเท้าพ่อเหรอ”“โธ่! ที่พูดเพราะเป็นห่วง”“ครับแล้วไงต่อ เรียกมาแค่นี้ โทรศัพท์มาก็ได้ เสียเวลามา จากกรุงเทพฯมาสุรินทร์ไม่ได้ไกลนะพ่อ”“นั่งนี่ตูดยังไม่ทันร้อนก็บ่นจะกลับกรุงเทพฯ แล้วเรอะ เออ หรือมีเมียอยู่กรุงเท
ชีวิตของเธอควรเป็นปกติอย่างที่ผ่านมา แน่นอนว่าเธอยอมรับว่าลึกๆ แล้ว แต่ละวันของเธอเต็มไปด้วยความหวาดระแวง จนวันนี้ได้เห็นหน้านิพัฒน์อีกครั้ง วันนี้ปาจรีย์หยุดจึงไม่มีใครกันไม่ให้พิพัฒน์มาเจอกับเธอได้“ขอคุยด้วยหน่อยซิ” “ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” เธอพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ไม่ให้เขารู้ว่าเธอกลัวเขา“ไม่ได้คุยเรื่องของฉันหรอกน่า เรื่องแม่ของเธอต่างหากล่ะ”“แม่เหรอ แม่เป็นอะไร” คราวนี้พิชญนรีตื่นตกใจ“ฉันจะรอเธอเลิกงานแล้วค่อยคุยกัน”“บอกตอนนี้ไม่ได้หรือไง” “เรื่องมันยาว รายละเอียดมันเยอะ”“ก็ได้ แต่วันนี้พั้นซ์เลิกงานสี่ทุ่ม”“ได้ แล้วจะแวะมาอีกที เธอก็รู้นะว่าแม่ของเธอเป็นคนปากหนัก มีอะไรไม่ค่อยพูดไม่ค่อยบอกใครหรอก”“ฮืม”นิพัฒน์พยักหน้ารับแล้วเดินออกไป ถ้าไม่อ้างเรื่องแม่ ยัยน้ำพั้นซ์ไม่มีวันยอมให้เขาคุยด้วยหรอก เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หนี้สองแสนห้าที่ดอกเบี้ยงอกงามจะกลายเป็นสามแสนอยู่ร่อมร่อแล้ว ยิ่งโดนเจ้าหนี้เอาลูกน้องมาประกบเป็นเงาตามตัวด้วย เขายิ่งแทบทำอะไรไม่ได้ ที่สำคัญยังไม่ได้คำตอบรับว่าตกลงเขาอยากได้พิชญนรีหรือไม่ เขาร้อนเงินอยากได้เงินมาหมุนใจแทบขาดตายอ