ทั้งคู่คิดว่าซุนเหยานางต้องเสียใจเรื่องที่ซูเซวียนทิ้งหนังสือหย่าไว้ให้นาง แต่เปล่าเลย นางเป็นห่วงว่านางจะไม่ได้สมบัติของซูเซวียนเสียมากกว่า
“มีอันใดเจ้าคะ” ใบหน้าที่ใสซื่อของซุนเหยาทำให้ทั้งสองคนพูดไม่ออก
“อาเหยา เรื่องหย่าแม่ไม่มีทางยอมเด็ดขาด”
ซุนเหยารีบโบกมือให้หลีซื่อทันที
“ยอมเถิดเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านแม่ทัพไม่มีใจให้ข้า หากอยู่กันไปก็มีแต่จะช้ำใจเปล่าๆ ข้าเห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ ที่ต่างคนต่างไปมีชีวิตของตนเองดีกว่าเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของซุนเหยา หลีซื่อก็เป็นลมไปทันที
ซุนเหยานางไม่รู้ว่านางพูดอะไรผิด จึงได้แต่มองสาวใช้กับพ่อบ้านอย่างมึนงง สาวใช้ที่อยู่ในห้องโถงทั้งหมดกับพ่อบ้าน ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ
ตลอดเวลาที่หลีซื่อนางเป็นลม ซุนเหยานางเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง เมื่อนางตื่นขึ้นมาซุนเหยายังประคองนางลุกขึ้นเพื่อดื่มน้ำ
“อาเหยา แม่จะมีหน้าไปพบมารดาของเจ้าได้อย่างไร” หลีซื่อร่ำไห้ออกมาอย่างปวดใจ
“ท่านแม่อย่าได้กังวล เรื่องนี้ข้าจะพูดคุยกับท่านพ่อท่านแม่ด้วยตนเองเจ้าค่ะ” นางลูบหลังให้แม่สามี
“เช่นนั้น รอให้อาเซวียนกลับมาจากชายแดนเสียก่อน หากพวกเจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่ได้จริง แม่จะยอมให้เจ้าหย่า”
ซุนเหยาเม้มปากแน่น เมื่อเห็นแววตาที่อ้อนวอนของหลีซื่อนางจำต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม
หลีซื่อให้พ่อบ้านซูนำสมบัติของซูเซวียนไปส่งที่จวนของซุนเหยา แต่ที่นางให้ไม่ใช่ครึ่งหนึ่งตามหนังสือหย่า แต่นางยกทั้งหมดในคลังของซูเซวียนให้ซุนเหยานางทั้งหมด
เรื่องนี้นับว่าสร้างความพอใจให้ซุนเหยาอยู่ไม่น้อย
เมื่อแต่งออกมาสามวัน ซุนเหยานางต้องกลับไปที่จวนตระกูลจ้าว วันนี้บิดาของนางไม่ได้ไปที่กรมคลัง แต่อยู่รอซุนเหยาที่จวนตระกูลจ้าว
เพียงแค่ซุนเหยาลงจากรถม้าก็เห็นบิดามารดารวมทั้งพี่ชายของนางยืนรออยู่ที่หน้าจวน ใบหน้าของทั้งสามไม่ต่างจากครอบครัวเดิมของนางเมื่อชาติที่แล้ว
ดวงตาคู่สวยของซุนเหยาน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร นางรีบเดินเข้าไปสวมกอดมารดาด้วยความคิดถึง ไม่รู้ว่าตอนนี้ครอบครัวของนางจะเป็นเช่นไรบ้าง
แต่ตอนนี้นับว่าทั้งสามที่ยืนอยู่ต่อหน้านาง นับว่าเป็นครอบครัวของนางในชาตินี้แล้ว จ้าวกงหยวนรีบพาทั้งหมดเข้าไปห้องโถง เพื่อไม่ให้ชาวเมืองที่กำลังมองดูอยู่หน้าจวนสงสัย
"เจ้าลูกเต่าซูเซวียนทำกันเกินไปแล้ว” จ้าวหลิงเฮ่อ พี่ชายของซุนเหยา ตบที่โต๊ะเสียงดังด้วยโทสะ
“อาเฮ่อ” จ้าวกงหยวนตำหนิบุตรชาย
“ท่านพี่แล้วจะทำอย่างไรดี” เกาจิงถิงกอดบุตรสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของนางแน่น
“เหยาเออร์ ลูกคิดเห็นเช่นไร”
“ลูกจะหย่าเจ้าค่ะ” ซุนเหยาเอ่ยขึ้นอย่างมุ่งมั่น
“พี่เห็นด้วย” สองพี่น้องพยักหน้าให้กัน
“แล้วชื่อเสียงของเจ้าเล่า” เกาจิงถิง กลัวว่าผู้อื่นจะหัวเราะบุตรสาวของนาง
“ไม่เห็นจะต้องสนคำผู้ใดเลยเจ้าค่ะ หากข้าไม่มีความสุข ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ พวกท่านทนได้หรือเจ้าคะ” ซุนเหยาแสร้งบีบน้ำตา
จากความทรงจำของร่างเดิมทั้งสามรักนางอย่างที่สุด นางจึงลองใช้วิธีนี้ เพื่อทำให้พวกเขาเห็นด้วยกับนาง
“เช่นนั้นก็หย่าเสีย ข้าไม่สนคำผู้อื่น” กงหยวนเอ่ย บุตรีของตนอ่อนแอมาตั้งแต่น้อย นางไม่เคยแม้แต่จะได้รับความชอกช้ำ เรื่องเช่นนี้นางจะทนได้อย่างไร
“แล้วเจ้าจะกลับจวนเมื่อใด” หลิงเฮ่อ คิดจะไปช่วยน้องสาวขนของที่จวนตระกูลซู
“ท่านแม่สามี รอให้ท่านแม่ทัพกลับมาที่จวนก่อนเจ้าคะ หากเขายังคิดที่จะหย่า นางก็จะไม่เอ่ยห้าม” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางกังวลเช่นกัน
“รังแก กันเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้ก็ต้องรอให้เจ้าลูกเต่ากลับมาอีกหรือ หากอีกห้าปี สิบปีไม่กลับมา เจ้าไม่ต้องรอจนตายอยู่ในตระกูลซูรึ” กงหยวนโมโหจนหนวดกระตุก
เขาลุกขึ้นเดินออกไปที่ห้องตำรา โดยไม่ได้บอกผู้อื่นว่าไปด้วยเรื่องอันใด
ซุนเหยานางยังนั่งคุยกับมารดาและพี่ชายอยู่ในห้องโถง นางบอกเรื่องที่หลีซื่อดูแลนางอย่างดี ทั้งซูเซวียนยังยกสมบัติให้นางครึ่งหนึ่งแต่หลีซื่อกลับยกให้นางเสียทั้งหมด
“เหอะ คุ้มกับชื่อเสียงของเจ้าเสียที่ไหน” เกาจิงถิงมองค้อนบุตรสาว นางเห็นแก่เงินตั้งแต่เมื่อใด
“ท่านแม่ ข้าอยากทำร้านอาหารเจ้าคะ”
ซุนเหยา ในเมื่อนางคิดจะหย่าออกมาใช้ชีวิตด้วยตนเองแล้วนางจึงได้พูดเรื่องการค้าของนาง
และนางไม่คิดจะกลับมาอยู่ที่จวนตระกูลจ้าว เพื่อเป็นภาระของบิดามารดา ต่อไปเมื่อนางมีพี่สะใภ้ หากนางอาศัยอยู่ในจวนด้วย ไม่รู้ว่านางจะมีความคิดเห็นเช่นไร
“เจ้าจะทำได้อย่างไร” เกาจิงถิงร้องอย่างตกใจ เพราะบุตรสาวของนางน้อยครั้งนักที่จะออกจากจวน ยิ่งเรื่องการค้านางไม่เคยได้หยิบจับหรือเรียนรู้มาก่อนแม้แต่เพียงน้อย
“เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันเถิด” เกาจิงถิงโบกมือบอกให้ซุนเหยานางหยุดพูดเรื่องนี้ก่อน
เมื่อทานมื้อเย็นกับครอบครัวแล้ว ซุนเหยานางก็กลับจวนตระกูลซูไป เพียงแค่ถึงหน้าประตูจวนก็พบหลีซื่อยืนรออย่างกระวนกระวายรอนางที่หน้าจวน
“อาเหยาเจ้ากลับมาแล้ว” หลีซื่อรีบเดินเข้ามาหาซุนเหยาพร้อมทั้งดึงมือของนางไปจับไว้แน่น
ซุนเหยานางรู้ดีว่าหลีซื่อของกังวลเรื่องหนังสือหย่า ตระกูลจ้าวจะผิดใจกับตระกูลซูด้วยเรื่องนี้
“ท่านแม่อย่าได้กังวล ท่านพ่อท่านแม่ของสะใภ้ เข้าใจเรื่องนี้ดีเจ้าค่ะ” ซุนเหยาตบไปที่หลังมือของหลีซื่อเบาๆ
“เป็นแม่ที่ไม่ดี ไม่ควรจัดการเรื่องแต่งงานของพวกเจ้า”
“อย่าได้โทษตนเองเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวท่านล้มป่วย ข้าไม่ดูแลนะเจ้าคะ” ซุนเหยาหยอกเย้าจนหลีซื่อยิ้มออกมาได้
ทั้งคู่จึงเดินเข้าไปในเรือนด้วยกัน ซุนเหยาปรึกษาเรื่องซื้อร้านค้ากับพ่อบ้านซู เพราะที่ตระกูลจ้าวของนางไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
พ่อบ้านซูก็รีบจัดการให้นาง เพราะเห็นว่าหากซุนเหยานางได้ทำอะไรบ้าง คงจะลืมเลือนเรื่องหนังสือหย่าไป
หลี่น่านางรู้จากพี่ชายของนาง เรื่องว่าที่คู่หมั้นของซิ่งอิง เป็นสหายของสองฝาแฝด การสอบจิ้นซื่อในครั้งนี้ เขาก็ได้ตำแหน่ง ปั๋งเหยี่ยน ที่ได้อันดับที่สองมาครองคุณชายหวัง หวังจื่อเฉิน บุตรชายของสนาบดีหวัง เสนาบดีกรมโยธาเพราะนิสัยที่เหมือนกับหลิงเฮ่อ บิดาของซิ่วอิงนางจึงไม่ค่อยจะพอใจนัก แต่กลายเป็นหวังจื่อเฉินที่พึงใจต่อนาง จนแทบจะมาพบหน้านางที่จวนอยู่เสมอ ซิ่วอิงนางก็พึงใจต่อหวังจื่อเฉินเช่นกัน แต่นางไม่ยอมรับความจริงก็เท่านั้น“เพ้ย เจ้าจะอยากรู้ไปไย บัณฑิตที่สนใจแต่ตำรา จะสู้อันใดกับว่าที่สามีของเจ้าได้” หลี่น่าถูกซิ่วอิงหยอกล้อก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอายซุนเหยาก็พูดคุยกับหงอี้อย่างสนุกสนาน พอทุกคนได้มาอยู่รวมกันเช่นนี้ หลีซื่อก็เริ่มที่จะชวนทั้งสามตั้งวงเล่นไพ่อย่างเสียไม่ได้ฝ่ายบุรุษที่นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องตำรา ก็เป็นเพียงเรื่องของเลี่ยงหรงและเลี่ยงหวงที่ทั้งคู่จะเลือกทางเดินอย่างไรต่อไปซูเซวียนให้บุตรชายทั้งสองเลือกหนทางเดินของตนเองได้เต็มที่ ในเมื่อเลี่ยงหรงต้องการเป็นขุนนางฝ่ายบู๋เช่นเขาก็ย่อมได้“อาหรง เจ้าคงไม่ได้มาประจำที่ชายแดนอย่างแน่นอน ฝ่าบาทต้องให้เจ้าเป็นองครักษ์เสื้อแพรเ
ฮ่องเต้ให้ฮองเฮาจัดการเรื่องสู่ขอบุตรีของท่านแม่ทัพซูให้เป็นเรื่องเป็นราว โดยที่พระองค์ให้เกียรติซูเซวียนโดยไม่คิดจะพระราชทานสมรสให้เพื่อบังคับให้แต่งานท่านด้านซูเซวียนกับฉางเทียนที่อยู่ในค่ายทหารก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ วันนี้มีการประลองวรยุทธ์เพื่อเลื่อนตำแหน่งภายในกองทัพฉางเทียนย่อมทำได้อย่างดี เพราะอาจารย์ที่มาสอนเขาถูกคัดเลือกมาแล้ว ทหารในค่ายต่างไม่มีใครคิดว่าฉางเทียนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในค่ายได้ไม่นานจะเก่งกาจมากเพียงนี้ยามที่ฝึกซ้อมเขาไม่ได้แสดงฝีมือของตนออกมาอย่างเต็มที่ ก็ไม่แปลกที่ผู้อื่นจะดูไม่ออกถึงวรยุทธ์ของเขาฉางเทียนสามารถเอาชนะรองแม่ทัพทั้งสี่ของซูเซวียนได้ง่าย ทุกคนจึงไม่กังขาหากเขาจะขึ้นมารับตำแหน่งรองแม่ทัพ เพราะจะมีรองแม่ทัพที่เกษียณกลับบ้านเกิดของตน เขาจึงได้ตำแหน่งนี้ไปครองแต่เรื่องนี้ทำให้ซูเซวียนไม่พอใจนัก เพราะเขาเคยพูดไว้ว่า หากฉางเทียนขึ้นเป็นรองแม่ทัพได้ก่อนหลี่น่านางอายุสิบหกหนาว เขาจะพิจารณาเรื่องสู่ขอของนางฉางเทียนยิ้มเต็มใบหน้าเมื่อขึ้นรับตำแหน่งรองแม่ทัพ เขามองมาที่ว่าที่พ่อตาอย่างมีเลศนัย เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ขบวนสู่ขอที่ฮองเฮาส่งมาจากเมืองหลวงก
หลี่น่าเมื่อรู้ว่าพี่ชายทั้งสองของนางกลับมาจากเมืองหลวงก็รีบมาหาทั้งคู่ที่ห้องโถงเรือนหลัก สองฝาแฝดนำของที่ทั้งสองตระกูลฝากมาให้กับตนนำมามอบให้หลี่น่าในวันงานด้วยซิ่วอิงที่อยากจะเดินทางมาด้วยแต่มาไม่ได้ เพราะนางก็ต้องอยู่จัดงานปักปิ่นของนางเช่นกัน ก็เขียนจดหมายตัดพ้อมาด้วยเสียมากมายฉางเทียนที่อยู่ค่ายทหารก็เดินวนอยู่ที่หน้ากระโจมของซูเซวียนหลายรอบแล้ว ในค่ายทหารน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาเป็นองค์ชาย จึงได้รับการปฏิบัติเช่นทหารใหม่ทั่วไป กินนอนอย่างเช่นทุกคนไม่มีอำนาจใดในค่ายทหารทั้งสิ้น“เข้ามา” ซูเซวียนนึกรำคาญจึงได้เอ่ยเสียงเข้มอนุญาตให้ฉางเทียนเข้ามาด้านใน“พระองค์มีสิ่งใดก็ตรัสเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เมื่ออยู่กันเพียงลำพังซูเซวียนมักจะพูดอย่างเป็นทางการกับฉางเทียน“เปิ่นหวางฝากสิ่งนี้ให้คุณหนูซูด้วย” ฉางเทียนยื่นกล่องไม้ที่เคยให้หลี่น่ามาแล้วครั้งหนึ่งให้กับซูเซวียน“พระองค์ตัดสินพระทัยดีแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซูเซวียนเอ่ยถามอย่างจริงจัง“นับตั้งแต่ที่เปิ่นหวางให้นางในครั้งนั้น ก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนใจ” สายตาแน่วแน่ของฉางเทียนทำให้ซูเซวียนไม่มีคำโต้แย้งต่อเขาอีกฉางเทียนต้องการให้หลี่น่าแ
เมื่อซูเซวียนกำลังจะพาคนทั้งหมดออกเดินทาง เขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นฉางเทียนขี่ม้ามาที่ขบวนของเขา พร้อมทั้งรถม้าที่ขนข้างของอีกถึงห้าคันรถม้า“องค์ชายห้า ท่านจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวกงหยวนอดที่จะเอ่ยถามมิได้“เปิ่นหวาง ได้รับราชโองการจากเสด็จพ่อให้เดินทางไปเป็นทหารในกองทัพของท่านแม่ทัพใหญ่ซู” เขายกยิ้มน้อยๆ บอกกล่าวกับจ้าวกงหยวนซูเซวียนที่เห็นเช่นนั้นมุมปากของเขาก็กระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ เขาจะรู้ไม่ทันความคิดของฉางเทียนได้อย่างไร คงเป็นเพราะจะติดตามบุตรีของตนไปต่างหากฉางเทียนมองไปที่หลี่น่าอย่างแฝงความหมาย ก่อนจะเก็บสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว หลี่น่าที่เห็นเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอายนับตั้งแต่เกิดเรื่องกับนางครั้งนั้น นางก็ไม่ได้ออกจากจวนอีกเลย จึงไม่ได้พบกับฉางเทียน ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่รับของจากเขาอยู่ไม่ขาดในเมื่อเป็นราชโองการจากฮ่องเต้ ทั้งยังถูกส่งมาให้ซูเซวียนอย่างกระชั้นชิดแล้วตัวเขาจะทำสิ่งใดได้อีก จำต้องให้ฉางเทียนเดินทางร่วมกับเขาไปชายแดนเหนือด้วยซูเซวียนให้ฉางเทียนควบม้าอยู่ข้างเขา เพื่อจับตามองไม่ให้ฉางเทียนได้เข้าใกล้บุตรีของตน แต่เมื่อเขาเผลอฉางเทียนก็ควบม้าอยู่ใ
หลักฐานที่ได้มาทำให้ฮ่องเต้เกือบจะกระอักพระโลหิตออกมา เพราะเรื่องสงครามเมื่อสิบแปดปีก่อน ผู้ที่ค้าแร่เหล็กให้แคว้นต้าอู๋จนทำให้อาจหาญคิดกล้าทำสงครามกับแคว้นต้าฉีก็เป็นเสนาบดีตู้จวนตระกูลตู้แทบลุกเป็นไฟ เมื่อหลงจู๊หอพนันมาแจ้งเรื่องคลังเก็บสมบัติถูกโจรปล้นไปจนสิ้น เมื่อให้พ่อบ้านตรวจดูคลังในจวนของตนก็พบว่าไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลยเช่นกันเรื่องภายในจวนยังไม่ได้สอบสวนให้แล้วเสร็จ องครักษ์เสื้อแพรก็เข้าล้อมจวนตระกูลตู้ไว้ พร้อมทั้งราชโองการคุมตัวเสนาบดีตู้ ตู้หานชิง เข้าคุกหลวงเจ้านายในจวนตระกูลตู้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่โดนควบคุมตัวไว้เพื่อรอการตัดสินโทษ ตู้เสียนเฟยคุกเข่าอ้อนวอนอยู่หน้าตำหนักของฮ่องเต้นับสองชั่วยามแล้ว แต่พระองค์ก็มิยินยอมให้เข้าเฝ้าทั้งยังให้พาตัวตู้เสียนเฟยไปคุมขังไว้ภายในตำหนักห้ามออกมานอกตำหนักแม้แต่ก้าวเดียว องค์ชายรองก็ไม่ต่างจากมารดาของพระองค์ถูกควบคุมตัวอยู่ภายในตำหนัก เพื่อรอสอบสวนว่าพระองค์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดหรือไม่เมื่อองครักษ์เสื้อแพรเข้าค้นจวนเพื่อยึดทรัพย์สินของเสนาบดีตู้ก็ต้องตกตะลึง ในคลังสมบัติของตระกูลล้วนว่างเปล่า รวมทั้งของตู้หานชิงด้วยสอบ
แม้ตระกูลตู้จะไม่มีกองกำลังลับอย่างที่ตระกูลไป๋ทำ แต่พวกเขาก็ลอบค้าเกลือและแร่เหล็กลับหลังฮ่องเต้อยู่ไม่น้อย“ท่านพี่ ท่านพาข้าไปที่หอพนันได้หรือไม่” ซุนเหยาเอยถามซูเซวียนเมื่อทั้งคู่กำลังจะเข้านอน“เจ้าจะไปทำอันใด” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย“ข้าจะไปเรียกค่าทำขวัญให้บุตรสาวข้าเสียหน่อย”คำพูดของซุนเหยาทำให้ดวงตาของซูเซวียนเปล่งประกายอย่างพอใจ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเมียรักของตนมีช่องเก็บของขนาดใหญ่ ที่ผู้ใดก็ตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ได้“ที่หอพนันอย่างเดียว จะไปพออันใด คลังของตระกูลตู้ก็คงมีอยู่ไม่น้อย” สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะไปเปลี่ยนชุดเป็นสีดำสนิท เพื่ออำพรางร่างกายหากสองฝาแฝดเข้ามาได้ยินสิ่งที่บิดามารดาพวกเขาพูดคุยกัน ทั้งคู่ต้องบอกว่าความเจ้าเล่ห์ของพวกเขาก็ได้มาจากท่านทั้งสองอย่างไรเล่าวรยุทธ์ของซูเซวียนไม่เป็นรองผู้ใดในเมืองหลวง เขารวบเอวซุนเหยาแล้วใช้วิชาตัวเบากระโดดไปทางหอพนันเสียงนักพนันดังไปทั่วหอพนันที่ไม่เคยหลับใหล ความวุ่นวายด้านใน ทำให้ผู้บุกรุกที่มาเยือนอยู่ชั้นติดินไม่ค่อยจะมีผู้ใดสนใจนัก ซูเซวียนจัดการผู้คุ้มกันที่เฝ้าคลังสมบัติลงได้อย่างง่ายดายก่อนท