“ข้างล่างเย็นจัง มันเปียกๆ ด้วย” เพราะวันนี้อยู่บ้านชายหนุ่มเลยใส่แค่กางเกงขาสั้น ส่งผลให้เนื้อกายของเธอแนบชิดกับตักแกร่งแบบไม่มีอะไรมากั้น
“ปะ...ปล่อยนะ ฉันจะไปแต่งตัว” มือน้อยๆ พยายามยันอกแกร่งให้ออกห่าง เพราะแค่นี้ร่างกายของเธอและเขามันก็แนบชิดจนแทบไม่มีช่องว่างอะไรอีกแล้ว
“เธอทำให้ฉันตื่นนะมิลค์กี้...”
“อะไรตื่น...อะไร” ดวงตาของหญิงสาวกลอกไปมาอย่างตื่นเต้นโดยที่หัวใจเธอกำลังเต้นอย่างรุนแรงราวกับกลองชุด
“หึหึ...”
“ยิ้มอะไรปล่อยนะ” มานิตาท้วงออกมาเมื่อเห็นรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ของคนตัวโต
“กลีบของเธอมันโดนขาฉันด้วยอะ” เพทายขบเม้มริมฝีปากของตัวเองเบาๆ แต่มันโคตรเซ็กซี่จนหญิงสาวเจ้าตัวสั่นระริก แถมคำพูดชวนเสียวที่ได้ฟังมันยิ่งทำให้เธอทำตัวไม่ถูก
“กะ...กลีบอะไร นายคิดลามกอยู่เหรอ”
“เอาจริงในสภาพนี้ บรรยากาศแบบนี้ ใครไม่คิดลามกบ้าง หรือเธอไม่คิดบอกหน่อยนะ” เพทายก้มมองคนตรงหน้าเขายิ้มออกมาจนเห็นฟันซี่สวย
“ไม่คิดๆ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ปล่อยนะ!!”
“พิสูจน์กันไหมว่าเธอไม่คิด”
“พิสูจน์อะไร...ว้าย!!” ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มือหนาก็จัดการอุ้มร่างบางแล้วพลิกให้เธอมานอนหงายอยู่เตียงโดยมีเขาคร่อมเอาไว้ทั้งตัว
“แบบนี้ยังไงล่ะ”
มานิตาเริ่มรู้สึกประหม่าและหวาดระแวง เธอรับรู้ว่าปมที่ผูกเอาไว้มันเริ่มคลายออก และอีกไม่นานมันก็จะหลุดโชว์ต่อหน้าของเพทาย ถึงตอนนั้นเธอก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
“อะไรที่เรียกว่าบ้า...หือ” เพทายกดตาต่ำมองคนตัวเล็กที่ทำเหมือนกำลังกลัวเขาเสียเต็มประดา พอได้เห็นแบบนี้เขายิ่งอยากแกล้ง แกล้งให้เธอตกใจเล่น
“กะ...แบบที่นายทำอยู่ ปล่อยนะ ฉันจะไปแต่งตัว”
“ไม่ต้องแต่งตัวหรอก เดี๋ยวก็ถอดอยู่แล้ว” มุมปากหยักยกขึ้นอย่างมีเลศนัย
“ถะ...ถอดอะไร”
“อย่าอินโนเซ็นต์ได้ไหมามิลค์กี้” คิ้วหนาของเพทายขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อคนตัวเล็กที่อยู่ใต้อาณัติทำเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ทั้งๆ ที่เขาพูดออกจะชัดเจนแล้ว
“ออกไปนะ จะมาทับทำไม ฉันจะไปแต่งตัว อึดอัดนะ” มือน้อยพยายามดันแผงอกให้ออกห่าง แต่ยิ่งดันร่างหนาก็ยิ่งโน้มเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
“อยากทับมีอะไรไหม ต้องฝึกหัดโดนทับนะมิลค์กี้ จะได้ชินๆ” คำพูดสองแง่สองง่ามของเขามันทำให้เธอร้อนผ่าวไปหมดทั้งร่าง ไม่เข้าใจอากาศเหมือนกันว่าทำไมฝนต้องมาตกวันนี้ด้วย ดันมาตกตอนที่เธอมาที่บ้านของเพทายจนต้องติดแหงกอยู่ที่นี่ไม่ได้ไปไหน
“มี...ไม่อยากโดนทับ ลุกออกไปเลยนะ อึดอัดแล้ว”
“หรือเธออยากเปลี่ยนมาทับฉันแทนก็ได้นะ”
“ไอ้บ้า!!”
“หึหึ...ถามจริง ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ” จู่ๆ คนตัวโตก็พูดโพล่งขึ้นมา จนหญิงสาวเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ลอยเด่นอยู่
“รู้สึกอะไร”
“เงี่ย...อะ”
“หา...”
ปากกระจับสวยอ้าค้างอย่างตกใจเมื่อชายหนุ่มพูดความต้องการของตัวเองออกมาตรงๆ แต่ยังไม่ทันจะได้หุบปากของตัวเองปากหยักของเพทายก็โน้มลงมาประกบกับปากของเธออย่างรวดเร็ว
“อื้อ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อรับรู้ถึงปากเย็นชืดที่ประกบกับปากจิ้มลิ้มอย่างถือวิสาสะ ปากหยักพยายามบดบี้ที่ริมฝีปากเล็กๆ อย่างรุนแรง พร้อมกับแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากสวย จนคนที่ไม่เคยจูบกับใครถึงกับสำลักออกมาแต่ไม่มีทีท่าที่เขาจะหยุดการกระทำของตัวเองเลย
“อื้ม...หวานจัง” มือหนาเลื่อนมาจับที่ปากคางเรียวเพื่อควบคุมไม่ให้หญิงสาวหันหน้าไปทางอื่น ขณะที่ลิ้นหนาพยายามกวาดต้อนลิ้นเล็กๆ ที่อยู่ภายในอย่างช่ำชอง
“อื้อ...เพ”
จ๊วบ!
เจ้าของปากหยักพยายามดูดดึงริมฝีปากจิ้มลิ้มแล้วใช้ลิ้นหนาค่อยๆ ลิ้มรสความหวานเรื่อยๆ ปากของมานิตาหวานยิ่งกว่าอะไรจนเขาหลงมัวเขาอยากจูบเธอซ้ำๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ
“อื้อ” มือน้อยที่ตอนแรกพยายามทุบที่อกแกร่งแปรเปลี่ยนเป็นโอบรอบต้นคอแกร่งอย่างลืมตัว ความต้องการแห่งโลกีทำให้เธอหลงมัวเมาไปกับรสจูบของชายหนุ่มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ เพราะอ่อนประสบการณ์เลยกลายเป็นรองต่อคนที่มากประสบการณ์อย่างเพทาย
“อยากดูดอย่างอื่นด้วยได้ไหม”
แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนถามความสมัครใจ แต่เพทายกลับไม่รอคำตอบเมื่อมือหนาเลื่อนต่ำลงไปจากนั้นก็กระตุกผ้าขนหนูที่คลุมกายของหญิงสาวออกอย่างเร็ว จนเธอเปล่าเปลือยต่อหน้าเขาอย่างน่าอาย
“สวย...สวยไปทั้งตัวเลยมิลค์กี้จ๋า...” เพทายบอกด้วยเสียงกระเส่าปนแหบพร่าเมื่อเขาได้เห็นร่างกายของมานิตาแบบไม่มีอะไรมากั้น ร่างกายสาวสวยเสียจนเขาลืมหายใจ
“อื้อ...เพ...ไม่เอาสิ”
“อื้อ...เพ...ไม่เอาสิ” ตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอมันเหือดหายไปหมด ไม่มีแม้แต่แรงที่จะปัดป้องการกระทำอันวาบหวิวของเพทาย ดวงตากลมโตก้มมองคนที่ไล้ใบหน้าต่ำลงไปจนกระทั่งมันอยู่ตรงหน้าท้องแบนราบ ทำเอาเธอแทบหยุดหายใจเมื่อรู้ว่าเป้าหมายของเขาอยู่ต่ำกว่านั้น
“เอาเถอะ ไม่ไหวแล้วว่ะ”
เพทายเงยหน้ามองคนตัวเล็กที่มองเขาด้วยสายตาฉ่ำหวาน ทำไมจะไม่รู้ว่าคนตัวเล็กคิดยังไงกับเขา เขามองออกมาตลอดนั่นแหละ แต่เพราะชอบแกล้งเธอเลยทำเป็นเหมือนไม่สนใจ แต่ตอนนี้เขาตบะแตกแล้ว และเธอต้องรับผิดชอบ
“ไม่เอาสิเพ...มันไม่ถูกต้องนะ” เสียงหวานบอกอย่างกระเส่าแต่มือน้อยกลับไม่ได้ผลักหรือดันร่างหนาให้ออกห่าง
“ถูก...ถูกที่สุดแล้วคนสวย” ในที่สุดใบหน้าคมคายของเพทายก็มาหยุดที่กึ่งกลางความเป็นหญิง ทำเอาเธอหายใจรัวราวกับเพิ่งไปวิ่งรอบสนามมา ลมหายใจอุ่นร้อนของเขากำลังเป่ารดความเป็นหญิงอย่างน่าหวาดเสียว
มือสากจัดการแยกเรียวขาของคนตัวเล็กออกจากกัน แล้ววางตั้งฉากกับที่นอนเพื่อที่จะได้มองความสวยงามที่ซ่อนเร้นนี้เอง
‘พระเจ้า’ ลมหายใจร้อนๆ หอบแรงเมื่อเห็นบางอย่างที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้แพรขนสวยที่พอมีประปรายให้น่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือกลีบบางที่ปิดสนิทเพราะไม่เคยมีภมรตัวไหนได้เข้ามาเชยชม
“สวยจังอะมิลค์กี้ สวยจนฉันอดใจไม่ไหว”
“ไม่เอาเพ...ยะ...อย่า” เสียงหวานบอกอย่างขาดห้วง แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาแนบเข้ามาใกล้กับความเป็นหญิง จนกระทั่งปากหยักแนบลงบนกลีบบางช้าๆ “อ๊ะ...เพ”
ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อปากชื้นแนบลงไปแตะกับกลีบเล็กๆ ของเธอ และยิ่งไปกว่านั้นปลายลิ้นของเขาพยายามชอนไชไล้เล็มความหวานจากกายสาวราวกับมันเป็นอาหารชั้นเลิศ
“อ๊ะ...เพ”
“จ๋า”
“เราเพื่อนกันนะ อย่าทำงี้สิ”
“ก็บอกไม่ได้อยากเป็นเพื่อน อยากเป็นผัวเข้าใจบ้างไหม”
เพทายบอกเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน เขายอมรับว่าเมื่อก่อนไม่เคยสนใจคนตัวเล็กเลยสักครั้งเดียว อีกทั้งตอนนั้นเขาก็คบกับอลิซแฟนเก่าอยู่ด้วย หางตาของเขาเลยไม่แลใครทั้งนั้น จนกระทั่งวันนั้นเขาเห็นมิลค์กี้ไปว่ายน้ำที่สระของมหาวิทยาลัย ตอนนั้นความคิดของเขาขาดผึงทันที
บทที่ 4ข้ามเส้นเขต ‘เพื่อน’“เชี่ย! ไอ้เพ...ทำไมมิลค์กี้มันหุ่นดีจังวะ ถ้ากูไม่มาเหล่สาวที่สระว่ายน้ำนะ กูไม่รู้เลยนะว่ามิลค์กี้มันจะหุ่นดีขนาดนี้” เสียงร้องอึ้งๆ ของวาโยทำให้เพทายหยุดมอง ปกติเขารู้อยู่แล้วว่ามานิตาชอบเล่นกีฬา เธอเล่นเก่งทุกชนิดจนหาตัวจับได้ยากจังหวะที่มานิตากำลังรวบผมเพื่อใส่หมวกว่ายน้ำ เขาเห็นเธอหายใจแรงจนบางอย่างที่ใหญ่โตขยับทำเอาคนหื่นอย่างเขาเกิดความรู้สึกบางอย่าง“ไปจ้องมันทำไมวะ”“เอ้า!! ก็มันสวยอะ เรียนด้วยกันมาตั้งสี่ปีกูเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามิลค์กี้มันสวยขนาดนี้ ถ้ารู้งี้กูเตาะมันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว” วาโยบอกอย่างเสียดาย แต่ถ้าให้มาจีบตอนนี้มันก็เหมือนจะไม่ทันแล้วเพราะรู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้ว“คิดไปเรื่อยว่ะ” เพทายทำเหมือนรำคาญเสียงของวาโย แต่สายตาของเขากลับชำเลืองมองคนตัวเล็กที่อย่างอื่นไม่เล็กเลยสักนิดเดียว จนอยากจะเอาวาโยไปเก็บไม่ให้เห็นมานิตาในตอนนี้“มึงล่ะไม่คิดอะไรกับมันบ้างเหรอ มึงสนิทกับมันมากกว่ากูอีก” วาโยหันมามองเพทายที่ทำเหมือนไม่ได้สนใจมานิตา มันเอาแต่ก้มหน้าแล้วจัดการถอดชุดคลุมออกเพื่อจะลงไปว่ายน้ำบ้าง“คิดอะไร”“เคลมมัน...”“เวรเหอะ คิดเหี้xไรว
“ไม่เอาแล้ว ฉันกลัว” จังหวะที่หญิงสาวกำลังจะพลิกตัวเพื่อลงจากเตียง มือหนาของอีกคนก็ล็อกเอวบางเอาไว้พร้อมกดให้จมกับที่นอนทันที จนเธอหมดหนทางหนีทีรอด“อย่าหนีเลย เปล่าประโยชน์ ข้างนอกฝนก็ตก ปล่อยให้ฉันเอาเถอะ”“ไอ้บ้า พูดเหมือนฉันง่ายอย่างนั้นแหละ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้วะ” มานิตาร้องโวย ตอนนี้เธอได้สติทุกอย่างแล้ว และจะไม่ปล่อยให้ตัณหาเข้ามาครอบงำความคิดเหมือนเมื่อครู่อีก“มันเลยคำว่าเพื่อนไปแล้ววะ ห...ก็เลียให้แล้ว ยังคิดว่าเป็นเพื่อนอีกเหรอวะ” เพทายร้องโวยเมื่อคนตัวเล็กกำลังต่อต้านเขา และไม่เข้าใจเธอที่ดูเหมือนจะชอบสัมผัสที่เขามอบให้แต่ตอนนี้กลับมาร้องแรกแหกกระเชอราวกับเขากำลังข่มขืนเธออย่างนั้นแหละ“ไม่เอาแล้ว กลัว...จะกลับหอ”“อย่าดื้อได้ไหม กูเงี่ย...แล้วเนี่ย”“ไอ้เพ ฉันมองว่านายทะลึ่งแต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้นะ” มานิตาจ้องมองคนตัวโตที่เอาแต่พูดเรื่องใต้สะดือจนเธอเสียวซ่านไปทั่วสรรพางค์แล้ว“ก็ยอมให้เอาสักทีดิ จะได้เลิกทะลึ่ง นอนลงมิลค์กี้ ก่อนที่ฉันจะอดทนไม่ไหว”“ไม่”“ชอบให้ใช้กำลังเหรอวะ” ว่าจบมือหนาก็กดร่างทั้งร่างของหญิงสาวให้นอนราบกับที่นอนอย่างรวดเร็ว“เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะ แ
มานิตาหันมองคนตัวโตที่ทำหน้าตาหงุดหงิดใส่เธอ เขาทำเหมือนเธอไปทำความผิดทั้งๆ ที่ตัวเองจ้องจะปล้ำคนอื่นเขาไม่หยุดหย่อน“เป็นอะไรญาณิน...”(พ่อจะจับฉันแต่งงาน แต่ฉันไม่อยากแต่งเลย ฉันไม่อยากแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ ช่วยฉันด้วย ฮือๆ)“ใจเย็นนะ” ขณะที่พูดอยู่นั้นร่างหนาของเพทายก็โน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นของมานิตาจนเธอต้องมองค้อนที่ชายหนุ่มทำแบบนี้ทั้งๆ ที่เธอกำลังคุยธุระกับเพื่อนอยู่ “อ๊ะ...”(แกเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงดูไม่ดีเลย)“ปะ...เปล่าเมื่อกี้เดินไปเอาของแล้วเกือบลื่นน่ะ” เสียงหวานร้องแก้ตัวแต่สายตาก็จ้องมองคนตัวโตที่กำลังเอามือหนามาเคล้นคลึงอกเปลือยของเธอราวกับมันเป็นของเล่นสุดโปรดปรานของเขา(อ้าวเหรอ งั้นคืนนี้ขอไปนอนที่หอด้วยได้ไหม ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้จริงๆ)“เอ่อ...”(ฉันนั่งแท็กซี่แล้ว อีกน่าจะครึ่งชั่วโมงถึงหอเธอนะลงมารับด้วยนะ)‘เวรละ’ มานิตาสบถอยู่ในใจเมื่อเพื่อนรักกำลังมาที่หอ แต่ตัวเธอเนี่ยอยู่บ้านเพทายจะทำยังไงล่ะทีนี้ เรื่องนี้จะปล่อยให้ใครรู้ไม่ได้“เอ่อ...งั้นก็ไม่ต้องรีบนะ ฝนตกแล้วถนนมันลื่น”(อืม...ไว้ถ้าถึงจะทักไปนะ ลงมารับด้วยนะ)“อะเค...”“ไม่บอกไปวะว่าไม่อยู่
“ไม่มีใครเห็นหรอก ฟิล์มรถมืดจะตาย ขอจูบปากทีหนึ่งให้หายคิดถึงก่อน เพราะคืนนี้เธอทำให้ฉันต้องนอนคนเดียว” สีหน้าและคำพูดที่แสนจริงจังของเขาทำเอาเธอกลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก“เอ่อ...”“ช้าว่ะ” เมื่อพูดจบเพทายก็คว้าคอของมานิตาเอาไว้จากนั้นเขาก็ประกบปากจูบกับหญิงสาวทันที ปากชื้นทำการดูดดึงขบเม้มปากเล็กอยู่หลายนาทีจนพึงพอใจ แต่คนตัวเล็กกลับรู้สึกว่าปากของเธอมันกำลังบวมเจ๋อเพราะแรงดูดเมื่อครู่นะ“อื้อ”“มัดจำไว้ก่อน จำสัญญาที่ให้ได้ใช่ไหม ห้ามลืม...และสั่งห้ามไปทำอย่างนี้กับใคร เพราะถ้ากูรู้กูเอาทั้งมันและมึงตายแน่” เพทายบอกด้วยเสียงจริงจัง เพราะเขาเป็นคนหวงของรวมถึงผู้หญิงตรงหน้านี้ด้วย“ขู่อยู่ได้ เป็นพ่อไง”“เปล่าแต่เป็นผัว แล้วจะทำไม” เพทายตอบหน้าตายจากนั้นเขาก็เอาลิ้นหนาดุนดันที่กระพุ้งแก้มของตัวเองแล้วมองเธออย่างยียวน“นายแม่งคิดเองเออเองตลอด ไม่คุยด้วยแล้ว”ร่างเล็กเดินลงจากรถอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเอามือบางจับที่แก้มทั้งสองข้างที่มันกำลังเห่อร้อนอย่างชัดเจน“ไอ้คนบ้า...ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย” ร่างเล็กรีบเดินจ้ำอ้าวไปรอเพื่อนรักที่ใต้หอ แต่ใบหน้าหวานเนี่ยสิกำลังแดงก่ำเพราะนึกถึงเรื่องราวข
“เอ้า! แต่แกยังชวนฉันเล่นอยู่เลยนะ ไหงเป็นงี้อะ” มานิตาหน้าเหวอเมื่อเพื่อนทำเหมือนแอปฯ หาเพื่อนอะไรนั่นไม่ดี ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนโหลดมาให้แท้ๆ “ก็ฉันเจอแต่ละคนไม่ดีทั้งนั้น นัดเยบ้าง หม้อไปเรื่อยบ้าง หนักสุดคือมีแฟนอยู่แล้วยังมาชวนฉันไปเดต ดีนะฉันเอาประวัติไปสืบมาก่อน ไม่งั้นนะฉันกลายเป็นมือที่สามอย่างแน่นอน ฉันถึงบอกไงให้แกดูดีๆ ระวังเจอคนไม่ดี ถามว่ามีคนดีไหมมันก็มีนะแต่อาจจะเป็นส่วนน้อย แต่มันมีแหละคนดีๆ อะ” ญาณินสอนเพื่อนเพราะเธอเข้าใจโลกโซเซียลดีว่ามันมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป พวกงานดีๆ รูปหล่อบ้านรวยแต่ยังโสดมันแทบหาไม่ได้เลยในสังคมปัจจุบัน “รู้แล้ว...ฉันไม่ได้เชื่อใครง่ายขนาดนั้นสักหน่อย” “เหรอ...แกทำเป็นแข็งกระด้างแต่รู้อะไรไหม แกอะอ่อนแอกว่าฉันอีก ที่ฉันบอกเพราะอยากให้แกได้สติระวังพวกผู้ชาย บางคนทำดีกับเราแต่ในใจนะหวังเคลมเราจะแย่ แต่พอมันได้เรานะมันก็ทิ้งเราอย่างกับของเก่าที่มันไม่ใช้” ญาณินสอนเพื่อนรักเพราะกลัวมานิตาโดนหลอก ซึ่งคำพูดของญาณินทำให้หญิงสาวฉุกคิดเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเพทายทั้งเมื่อวานและวันนี้ หรือชายหนุ่มหวั
บทที่ 5หลีกหนีกันไม่พ้น ตั้งแต่วันที่ญาณินมานอนที่หอมันทำให้เธอได้ฉุกคิดอะไรหลายๆ อย่างว่าไม่ควรเอาตัวเองไปยุ่งกับเพทายอีก หลังจากวันนั้นเธอก็ไม่ได้ตอบกลับหรือคุยอะไรกับเพทายอีกเลย ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มก็ส่งข้อความมาหาเธอช่วงสองสามวันแรกที่เธอขาดการติดต่อไป “สรุปแกคุยกับเพให้ไปช่วยพูดกับวาโยให้ฉันหรือยังมิลค์กี้” ญาณินเปิดประเด็นถามเพื่อนเพราะมันผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้ว ช่วงหลังมานี้มานิตาดูแปลกๆ ไป เพื่อนดูซึมอย่างผิดปกติ “ยังเลย แต่เดี๋ยวฉันว่าฉันไปคุยกับวาโยให้เองดีกว่า คุยกันหลายทอดเดี๋ยวจะไม่เข้าใจกันอยู่ดี” มานิตาคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดที่จะเลี่ยงในการเจอเพทายได้ แม้จะต้องเรียนด้วยกันแต่เธอเลือกที่จะนั่งข้างหน้าเพื่อไม่ให้เผชิญกับสายตาที่มองมาและเมื่อเลิกคลาสก็รีบกลับห้องให้เร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงกับเจอหน้า ช่วงสองสามวันก่อนเธอเห็นเพทายมาดักรอ แต่สุดท้ายเธอก็หลบเขาจนพ้นแต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะหนีแบบนี้ไปได้ถึงเมื่อไหร่ ขณะที่หญิงสาวกำลังเดินผ่านซอกตึกเพื่อออกจากบริเวณคณะ โดยจุดนี้เป็นทางลัดเพื่อให้ไปถึงหน้ามหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด แต่ในจังหวะนั้นสิ่งที่
ติ๊ด!! เสียงข้อความเด้งแจ้งเตือนทำเอาเธอสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่ข้อความที่เพทายส่งมา แต่เป็นแชตจากแอปฯ หาเพื่อนที่เธอดองเอาไว้นานเป็นอาทิตย์และมีผู้ชายทักมาเต็มไปหมด แต่เธอก็เลือกตอบแค่สองคนคือ ผู้ชายที่ชื่อ ‘เซอร์’ และผู้ชายอีกคนที่ชื่อ ‘ซัน’ ที่ทักข้อความทิ้งเอาไว้เมื่อสองสามวันก่อนและเธอเพิ่งได้เปิดอ่าน แต่ไม่รู้จะตอบใครดีเลยเลือกตอบชายหนุ่มหน้าหวานอย่างตะวันฉายก่อน (ขอโทษนะคะพี่ซัน...พอดีมิลค์กี้ยุ่งๆ เรื่องเรียนเลยไม่ค่อยได้ตอบเลย) มือเล็กพิมพ์ข้อความตอบกลับไป และไม่นานข้อความก็ถูกส่งกลับมา (ไม่เป็นไรเลยครับ พี่เข้าใจ งานพี่ช่วงนี้ก็ยุ่งเหมือนกันเลยครับ) (ว่าแต่พี่ซันทำงานอะไรเหรอคะ ไม่รู้จะละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่าที่ถามออกไปแบบนี้) เพราะอยากจะให้ลืมเรื่องฟุ้งซ่านทำให้มานิตาเลือกที่จะคุยกับคนในโซเชียลเพื่อตัดความคิดถึงที่มีต่อเพทายไป (พี่เป็นหมอครับ) (จริงๆ เหรอคะ) (ครับ...แต่เป็นหมอผิวครับ พี่เปิดคลินิกแถวเอกมัย ถ้ามิลค์กี้อยากทำอะไรมาที่นี่ได้เลยนะ) (ขายคอร์สมิลค์กี้หรือเปล่าคะเนี่ย
(อืม...ก็หล่อดี แต่ไม่เท่าฉันหรอก แต่ไว้ใจแล้วเหรอถึงได้นัดเจอกัน) (แหวะ คนอะไรชมตัวเองก็ได้ด้วยเหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก นายเล่นไม่ตั้งเป็นรูปตัวเองใครจะไปเชื่อล่ะ ส่วนที่นัดกับพี่คนนั้นก็ไปกินข้าวที่ห้างฯ แถวๆ นี้แหละ ไม่ได้ไว้ใจอะไรแค่ไม่ได้มีอะไรให้ต้องคิดเยอะ) (มาลองเจอไหมล่ะ รับรองฉันหล่อจริงๆ ใครๆ ก็บอก เธอเจอหมอนั่นได้ แล้วมาเจอฉันด้วยได้ไหม) (ต่อรองเหรอ) (เปล่า...ก็เห็นเธอเจอกับหมอคนนั้นได้ ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์บ้างล่ะ หรือเธอชอบหมอนั่นไปแล้วเลยไม่อยากเดตกับใครอีก) ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดว่าเซอร์ทำเหมือนหึงเธอด้วย (เปล่าสักหน่อย ก็บอกแล้วไงว่าลองคุยๆ เฉยๆ) (งั้นมาเจอกันไหม เอาวันที่เธอว่างก็ได้ ฉันไม่ชอบคุยกับใครในแชต อยากเจอตัวจริงมากกว่า) (เอ่อ...) มานิตากำลังชั่งใจเพราะไม่รู้ว่าควรไปเจอผู้ชายสองคนในเวลาติดๆ กันแบบนี้ดีไหม คนหนึ่งสบายใจที่ได้คุย ส่วนอีกคนก็ดูลึกลับน่าค้นหาดี (ว่ายังไงล่ะ ผับXXX ก็ได้นะเคยไปไหม) (เคย แต่ไม่ค่อยได้ไปแล้วช่วงหลังๆ) (งั้นคืนพรุ่งนี้ไปเจอก
“ไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิดล่ะ” “นี่นายยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ นายปล้ำฉันนะ นายยังมีหน้ามาบอกตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะไม่เข้าใจคนตัวโตที่ไม่ยอมสำนึกอะไรเลย “ก็บอกจะรับผิดชอบเธอก็เล่นหนีหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เนี่ย ตอนงานแต่งเพทายกับมิลค์กี้เธอก็เอาแต่หลบหน้าฉัน” วาโยไม่รู้ใจของผู้หญิงคนหนึ่ง การที่หญิงสาวหลบหน้าเขามันทำให้เขากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายแค่อยากรับผิดชอบก็ลืมๆ เรื่องคืนนั้นไปเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว” หญิงสาวหันไปทางอื่นพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บลึก เธอไม่ต้องการแค่นั้น มันอาจจะดูโลภเกินไปแต่ใครจะทนอยู่กับผู้ชายที่แค่ต้องการรับผิดชอบเราแค่นั้นล่ะ “แล้วต้องการอะไรอีกหือ” เสียงเข้มบอกอย่างออดอ้อนเมื่อคนตัวเล็กกำลังทำเหมือนงอนเขาเสียนี่ “เปล่า” “ถ้างั้นบอกรักก่อนสิ ละเดี๋ยวจะให้อย่างอื่นด้วย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งบางอย่างออกมา ญาณินเลยเงยหน้ามองคนตัวโตอย่างสงสัยกับคำพูดของเขา “อะไรของนาย” “รักฉันไม่ใช่ไง ไม่คิดจะบอกรักผัวตัวเองหน่อยเหรอ” คำพูดของวาโยสร้างคว
“ถ้านายต้องการแค่รับผิดชอบฉันไม่เอาหรอก เพราะฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักฉัน ปล่อยนะ ฉันโทร.ให้ที่บ้านมารับแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคนอย่างนายอีกต่อไป!” ก่อนจากวาโยเห็นว่าญาณินมีน้ำตาที่ขอบตาจนอยากจะเอามือหนาไปปาดคราบน้ำตาของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องชะงักมือกลับเพราะถ้าทำอะไรมากกว่านี้เธออาจจะโกรธ วาโยมองญาณินที่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่หดหู่ ไม่รู้ทำไมคำพูดของเธอมันฉายเข้ามาในความคิดซ้ำๆ ถ้าเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบแล้วต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นญาณินก็แทบไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเพิ่งผ่านพ้นงานแต่งของเพื่อนรักอย่างมานิตายิ่งได้เห็นว่าเพื่อนมีความสุขเธอก็ยินดี แต่สักพักก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อหันมามองความรักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ความบริสุทธิ์ก็ถูกวาโยช่วงชิงไปจนไม่เหลือชิ้นดี ถามว่ารู้สึกดีไหมคงตอบว่าใช่ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกายแต่มันมากกว่านั้น เธอชอบวาโยมาตั้งนานแล้ว นานจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบตอนไหน ตลอดระยะเวลาการเป็นเพื่อนกันเธอพยายามไม่สนิทกับชายหนุ่มมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มเพราะกลัวว่าสักวันความรู้ส
ลำกายหนากระเสือกกระสนเข้ามาในโพรงสาวอย่างรุนแรงจนเขารับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องเป็นทางยาวที่บ่งบอกถึงความสุข “กรี๊ด” มือน้อยที่จับที่ต้นแขนแกร่งที่เอื้อมมาบีบเคล้นอกอิ่ม “เสร็จแล้วเหรอ ตอดแรงขนาดนี้” วาโยกระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กสุขสมแล้ว ต่อไปถึงตาของเขาบ้าง และคืนนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน วาโยเปลี่ยนท่าให้คนตัวเล็กนอนคว่ำ จากนั้นเขาก็จัดการยกสะโพกสวยขึ้นเพื่อรับกับเอ็นร้อนที่เยิ้มไปด้วยคราบน้ำรักของเธอ จากนั้นก็สวนมันเข้าไปในโพรงสาวที่ยังคงแน่นหนึบอย่างแรง “อ๊า...เจ็บ” “ทั้งเจ็บทั้งเสียวเลย” วาโยคุกเข่าแล้วเสยตัวตนร้องเข้าไปอย่างแรงจนใบหน้าหวานลู่แนบกับที่นอนหนานุ่มเพราะหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป “อ๊ะ...จะทำอะไรโย” “ท่าหมาไง คราวก่อนเธอบอกฉันปากหมา วันนี้ฉันเลยจะเอาท่าหมาให้เธอดู” วาโยมองเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออกมาโพรงสาวจากทางด้านหลัง มันยิ่งทำให้เขาซาบซ่านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน การที่ได้กระแทกเข้าไปในกายสาวที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็เพิ่มความดุ
“หึหึ...ทำตัวน่ายั่วขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะทนได้” “แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายต้องทนได้สิ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้” “ไอ้เพมันยังทำกับมิลค์กี้ ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้วะ เลิกเอาคำว่าเพื่อนมาพูดได้แล้วไหม เข้าไปอยู่ในตัวแบบนี้คำว่าเพื่อนมันขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว” วาโยตะโกนบอกที่คนตัวเล็กชอบย้ำคำว่าเพื่อนกับเขายิ่งนัก อยากเป็นอะไรหนักหนาเพื่อนเนี่ย “อยากเป็นอะไรหนักหนากับคำว่าเพื่อน ให้เป็นผัวเหอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงอย่างดีเลย” “ไอ้วาโย” “เปลี่ยนจากเรียกไอ้ไปเรียกผัวแทนได้ไหม นับตั้งแต่นี้เธอเป็นเมียฉันละ ถ้ายังพูดเพื่อนๆ อะไรอีก เดี๋ยวจับปล้ำไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” วาโยร้องขู่เพราะจะจัดการคนตัวเล็กที่ชอบเอาคำว่าเพื่อนมาอ้างตลอด ตอนนี้หญิงสาวได้สติแล้ว แต่ร่างกายเบื้องล่างตอดขนาดนี้ คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ต้องจำเป็นแล้วไหม ญาณินรีบหุบปากของตัวเองทันทีเมื่อเจอคำขู่ของวาโย แถมชายหนุ่มยังกระหน่ำสะโพกสอบเข้ามาอย่างรุนแรง มือบางทั้งสองข้างจิกลงบนที่นอนหนานุ่ม ส่วนใบหน้าหวานหลับพริ้มเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทั่วเรือนร่าง
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นจากนั้นปากหยักก็ทำรอยที่ต้นคอหญิงสาวอยู่หลายจุด ก่อนจะมาหยุดที่อกอิ่มชูชันท้าทายปากของเขาเหลือเกิน จ๊วบ!! มือหนาของวาโยรวบอกอิ่มเอาไว้ในมือแล้วใช้ปากหยักเข้าครอบครองป้านสีหวานที่ล่อตาล่อใจของเขาเหลือเกิน เม็ดเล็กแต่ชูชันรับกับปากหนาได้เป็นอย่างดี “อ๊า...อย่ากัดนะ” ญาณินร้องเสียงลงเมื่อวาโยใช้ฟันคมๆ งับลงไปด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยเกินจนคนตัวเล็กที่รับรู้ถึงสัมผัสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ “แม่งโคตรชอบเลยรู้ไหม เด้งรับปากฉิบหายเลย” ตอนนี้วาโยสลัดความคิดว่าที่เพื่อนไม่ควรเล่นเพื่อน แต่วันนี้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อญาณินสวยสดเหลือเกิน “อ๊า...อ๊ะ...โย” “หือ อะไรจ๊ะ” วาโยเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังร้องครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ “เสียว” “เดี๋ยวได้เสียวกว่านี้แน่ๆ เลยคนสวย” ว่าจบวาโยก็ชันร่างกายสูงของตัวเองขึ้นเพื่อจัดการเผด็จศึกคนตัวเล็กสักที เสียเพื่อนเขาก็เอาถ้ามันทำให้ได้ตัวของหญิงสาวมาไว้ในครอบครอง ถ้ารู้ว่าเธอสวยขนาดนี้ไม่ให้เป็นเพื่อนหรอก
“ไว้ญาณินตื่นขึ้นมากูจะบอกความเลวของพวกมึงให้หมดเลย ให้เลิกคบพวกมึงซะ” ว่าจบวาโยก็พาคนตัวเล็กออกมาจากโต๊ะ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักรับรองที่เวลล์สร้างเอาไว้ มีอยู่สามสี่ห้องเพื่อเอาไว้รองรับเพื่อนๆ ที่อาจจะเมาแล้วกลับไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นวะวาโย” เวลล์ที่เพิ่งไปรับลูกค้ามาเดินมาเจอวาโยกำลังโอบญาณินเข้ามาข้างในด้วยสภาพราวกับกำลังละเมอ “ไม่รู้ว่าเพื่อนของญาณินเอาอะไรให้เธอกิน เธอเลยมีสภาพนี้ ผมขอยืมห้องก่อนได้ไหมจะให้ไอ้ตัวเล็กมันเข้าไปพักก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” “เออได้ดิ จัดการเองได้ไหม เฮียมีรับลูกค้าเยอะวันนี้” “ครับไม่เป็นไร แค่ให้ยืมห้องผมก็ซึ้งน้ำใจละ” วาโยกล่าวขอบคุณเวลล์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง วาโยลากคนตัวเล็กเข้าไปพักผ่อนในห้องเพราะหวังให้หญิงสาวคืนสติโดยไว ไม่รู้พวกนั้นมันเอาอะไรให้ญาณินกินกันแน่ทำไมอาการของหญิงสาวถึงแปลกๆ อย่างนี้ “นอนก่อนนะญาณิน เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดให้” ร่างกายของหญิงสาวเริ่มร้อนขึ้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนมือน้อยๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือทันที “วาโ
ทั้งสองเดินทางมายังคลับของเวลล์ที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ไม่แปลกใจว่าช่วงหลังๆ กิจการของคลับเป็นไปได้อย่างดี “ไหนเพื่อนเธอเหรอ” วาโยมองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนของญาณินและก็พบกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คน และมีผู้ชายอยู่ประมาณสองคน ส่วนที่เหลือเป็นผู้หญิง “ไหนนายบอกจะไปหาพี่เวลล์ จะไปกับฉันทำไม” ญาณินหันมาแว้ดใส่เพื่อนสนิทที่เหมือนจะเดินตามไป “เฮียคงกำลังยุ่งๆ รับลูกค้า ขอไปนั่งด้วยได้ไหม” เวลล์บอกคนตัวเล็กเพราะจากสายตาที่เขาประเมินกลุ่มเพื่อนของญาณินดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าปล่อยให้หญิงสาวไปคนเดียวมันคงไม่ดีแน่ “โหย...อะไรของนาย” “ถ้าให้ไปเดี๋ยวเลี้ยงเหล้าด้วย โอเคไหม” ข้อเสนอของวาโยน่าสนใจ จนญาณินคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ มีคนเลี้ยงเหล้าใครบ้างจะไม่สนใจ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เฮ้...ญาณิน” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นเรียกเพื่อนสาว “ดีใจจังได้เจอพวกแก” ญาณินยิ้มให้กับเพื่อนที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์กรึ่มๆ เพราะดื่มกันก่อนท
ตอนพิเศษYanin X Wayoขอเป็นมากกว่าเพื่อน ชีวิตที่แสนเรียบง่ายของญาณินเป็นอันต้องพังทลายลงเมื่อบิดาประกาศกร้าวให้เธอไปดูตัวคู่หมั้นของตัวเอง คู่หมั้นที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร วันนั้นเธอร้องห่มร้องไห้ไปหามานิตาเพื่อให้เพื่อนช่วยคิดแผนการล้มเลิกการดูตัวในครั้งนี้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากวาโย เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกให้วาโยมาแกล้งเป็นแฟน “เฮ้อ...” “เป็นอะไรไปญาณิน” วาโยที่นั่งกินข้าวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนของตัวเองที่เอาแต่นั่งหน้าเศร้าตีหน้ามึนทำเอาคนที่กำลังกินอาหารอยู่รู้สึกกร่อยขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไร” “เอ้า!! ไม่มีอะไรได้ไง แกเอาแต่ทำหน้าซึมแบบนี้” วาโยมองเพื่อนอย่างสงสัย เพราะช่วงหลังๆ มานี่ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นเพราะเพทายกับมานิตาตัวติดกันราวกับปลาท่องโก๋ พวกเขาเลยกลายเป็นส่วนเกินที่ต้องมากอดคอร้องไห้เมื่อโดนเพื่อนทิ้งไปจู๋จี๋กัน “คิดๆ อะไรนิดหน่อย” “คิดอะไรวะ” วาโยที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากมองคนตัวเล็กซึ่งกำลังสะบัดผมไปข้างหลัง จนทำให้เขามองเห็นร่องหน้าอกขอ
“รีบเปลี่ยนนะครับ ไว้ถ้ากลับมาจากทะเล เพขอจัดหนักสักน้ำนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างมีเลศนัย จนมานิตาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ค่ะ” เมื่อทั้งสี่เปลี่ยนชุดแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังทะเลที่อยู่หน้ารีสอร์ต เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยทำเอาพวกเขาต่างมีความสุข “คุณแม่ขา...มาช่วยหนูก่อกองทรายหน่อยค่ะ” เสียงหวานๆ ของลูกสาวบอก จากนั้นมานิตาที่เพิ่งเป็นแบบถ่ายรูปให้กับเพทายต้องละความสนใจแล้วเดินไปหาลูกสาวลูกชายทันที “ไปช่วยลูกก่อกองทรายกันค่ะเพ...” เพทายเดินมากุมมือของมานิตาแล้วพาเดินตรงไปหาลูกสาวที่นั่งที่ทรายทันที “คุณแม่ครับ อันนี้เป็นเครื่องบินน้องมิกซ์วาดเอง” เสียงของลูกชายบอกอย่างเจี๊ยวจ๊าว ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมอง ก็พบกับภาพเครื่องบินในจินตนาการของลูกชาย “วาดเองเหรอครับ” “ครับ” เพทายและมิลค์กี้มองหน้ากันเมื่อเห็นภาพที่ลูกชายวาด มันสวยเกินกว่าที่เด็ก 5 ขวบจะวาดด้วยซ้ำ แสดงว่าลูกชายของพวกเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ “สวยจังเลย คนเก่งของแม่”มานิตาทำการหอมหัวของลูกชายหนึ่งที พร้อมที่จะมองเพทายแล้วยิ้มอ