Share

บทที่ 3

last update Last Updated: 2025-12-16 22:37:02

ห้องแถลงข่าวของหน่วยปราบปรามอาชญากรรมเต็มไปด้วยนักข่าวจากแทบทุกสำนัก เก้าอี้ทุกตัวถูกจับจองแน่น เสียงพูดคุยเบา ๆ ดังเป็นระยะ ขณะที่ทุกคนรอคอยการแถลงเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมเมื่อสองวันก่อน ซึ่งเชื่อมโยงกับฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน

ไม่นาน ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ชายในเครื่องแบบก้าวเข้ามา เพียงการปรากฏตัวก็ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบลง เหลือเพียงเสียงชัตเตอร์ที่ดังถี่รัวและแสงแฟลชที่สะท้อนอยู่ทั่วห้อง

ด้านหลังสุด จันอับยกกล้องขึ้นแนบตา เลนส์จับไปยังชายผู้ขึ้นสู่โพเดียม เขาดูอายุไม่น่าเกินสามสิบห้า ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา ผิวแทนเข้มสุขภาพดี ท่วงท่ามั่นคงและแววตาสงบนิ่ง

“สวัสดีนักข่าวทุกท่าน ผม พ.ต.อ. ไกรวิทย์ ชาญเดชา รองผู้กำกับหน่วยปราบปรามอาชญากรรม รับหน้าที่แถลงข่าวเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนี้” เขากวาดสายตามองกลุ่มผู้สื่อข่าวที่นั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า

“จากการตรวจสอบเบื้องต้น แม้เหยื่อแต่ละครั้งจะมีพื้นเพและลักษณะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกัน คือรูปแบบการลงมือที่เหมือนกันทุกครั้ง ผู้ก่อเหตุจะมัดตรึงเหยื่อ จากนั้นทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่อง ร่องรอยการทารุณปรากฏเกือบเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบาดแผล การกดทับ หรือสัญญาณการถูกควบคุมตัวก่อนเสียชีวิต

ที่สำคัญฆาตกรใช้มีดแทงตรงบริเวณหัวใจเสมอ การกระทำเช่นนี้สะท้อนถึงความตั้งใจและความชำนาญ”

จันอับเฝ้าสังเกตพลางวิเคราะห์บุคลิกของไกรวิทย์ ชายตรงหน้ามีออร่าแห่งความมั่นใจที่แผ่ออกมาอย่างสงบ ไม่มีร่องรอยของความประหม่าหรือกังวล ทั้งที่เพิ่งรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวาน และข้อมูลที่กำลังแถลงอยู่น่าจะเพิ่งได้รับในเช้าวันนี้ ท่าทางและน้ำเสียงของเขากลับหนักแน่น น่าเชื่อถือ

จันอับเอนตัวเข้าหาแอนนี่ กระซิบเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความชื่นชม “ดูเขาสิ นิ่งมาก เหมือนไม่ใช่คนที่เพิ่งมารับตำแหน่งเมื่อวานเลยนะ”

แอนนี่พยักหน้าเห็นด้วย “จริง”

ดวงตาของจันอับยังคงจับจ้องไกรวิทย์ ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา

“น่าติดตามจริง ๆ ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง” เขากระซิบอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจฟังการแถลง

บนโพเดียม รองผู้กำกับยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ในส่วนของเบาะแสเกี่ยวกับคนร้าย จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ เรายังไม่พบหลักฐานที่สามารถระบุตัวผู้ก่อเหตุได้”

เมื่อจันอับได้ยินประโยคนี้ก็อดไม่ได้ชูแขนขึ้นสูง พรึบ! แววตาคมกริบตอกย้ำชัดเจนว่า ‘คุณต้องให้ผมถาม’

ไกรวิทย์เหลือบมองเพียงครู่ ก่อนพยักหน้าอนุญาต เอ่ยสั้น ๆ ด้วยท่าทีเรียบสงบ “เชิญคุณถามคำถามครับ”

จันอับยืดตัวขึ้น แนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนยิงคำถามตรงประเด็น

“สวัสดีครับ ท่านรองฯ ผมจันอับ จากซี.ไอ.นิวส์ อยากทราบว่า ท่านมั่นใจแค่ไหนครับว่าคนร้ายไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลย? ท่านคิดว่าฆาตกรรายนี้ละเอียดรอบคอบถึงขั้นกำจัดหลักฐานทุกอย่างที่อาจมัดตัวเองได้หมดจริงหรือครับ?”

คำถามนี้ทำให้บรรยากาศในห้องแถลงข่าวเงียบลง นักข่าวทุกคนหยุดมือในสิ่งที่ทำ เงยหน้าขึ้นมองไปยังคนเพียงคนเดียวที่กลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตาในตอนนี้

ไกรวิทย์ยังคงยืนสงบนิ่ง ท่าทางไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย หากแต่ในดวงตากลับมี เงาของความเคลือบแคลงเล็ดลอดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แม้เพียงเสี้ยววินาที หากไม่ใช่คนที่เฝ้าจับตามองอย่างจันอับ คงไม่มีใครทันเห็น

เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ “เท่าที่ผมได้รับรายงานตอนนี้ยัง…”

“ท่านรองฯ อ่านรายงานแล้วไม่พบจุดน่าสงสัยเลยหรือครับ? ทั้งที่สถานที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม แต่กลับไม่มีแม้แต่ร่องรอยของฆาตกร แบบนี้ไม่แปลกไปหน่อยหรือครับ?” จันอับยิงคำถามแทรกทันที ไม่ปล่อยให้ประโยคหลุดรอดจนจบ คำถามนี้เหมือนเชื้อไฟเติมเข้าไปในห้องที่กำลังร้อนระอุ บรรยากาศตึงเครียดยิ่งทวีคูณ ทุกคู่สายตาหันมาที่ทั้งสองโดยพร้อมเพรียง

รอบนี้จันอับสังเกตเห็นไกรวิทย์ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีสงบไว้ได้ เขาเริ่มต้นตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมกว่าเดิม

“คำว่า ‘ไม่พบหลักฐาน’ ในรายงาน หมายถึง ขณะนี้เรายังไม่สามารถเก็บข้อมูลที่ชี้ตรงไปยังตัวผู้ต้องสงสัยได้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย”

จันอับยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย แววตาแฝงเลศนัย “ท่านรองฯ เคยเรียกทีมพิสูจน์หลักฐานมาคุยแล้วหรือยังครับ ท่านรองแน่ใจหรือไม่ว่ารายงานที่ท่านรองได้ ได้รับความเห็นชอบจากทีมพิสูจน์หลักฐานแล้ว?”

รอบนี้ทำเอานักข่าวในห้องถึงกับมองตาอย่างรู้กัน ทว่ารองผู้กำกับยังคงนิ่งเฉย ไม่รีบตอบ เขาตั้งใจปล่อยให้จันอับขยายความจนหมดเสียก่อน

จันอับพูดต่อ “ท่านเพิ่งย้ายมาใหม่ คงยังไม่ทราบว่า ‘รองผู้กำกับคนเก่า’ ไม่ค่อยยอมรับการทำงานของหน่วยพิสูจน์หลักฐานเท่าไรนัก เท่าที่ผมทราบ พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุทันทีที่ไปถึง แต่ต้องรอจนกว่าทีมที่หนึ่งของแผนกอาชญากรรมร้ายแรงจะเข้าพื้นที่เสร็จแล้ว และบางครั้งยังต้องรอคำสั่งพิเศษถึงจะเริ่มเก็บหลักฐานได้”

เขาเน้นคำว่า ‘รองผู้กำกับคนเก่า’ อย่างชัดเจน พร้อมกับเหลือบตาไปยังหัวหน้าทีมหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังไกรวิทย์ ราวกับจะสื่อสารอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูด ก่อนจะเบี่ยงสายตากลับมาประสานเข้ากับชายตรงหน้าอีกครั้ง

นัยน์ตาของไกรวิทย์เหมือนมีบางความคิดแล่นผ่านชั่ววูบ หลังได้สบตาจันอับและฟังประโยคจบสิ้น เขาเพียงโค้งศีรษะเล็กน้อย พร้อมส่งรอยยิ้มเรียบสงบกลับไป ก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

“ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะและข้อมูลสำคัญนะครับ เรื่องนี้ผมยอมรับตรง ๆ ว่ายังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดทุกมุม ซึ่งถือเป็นความบกพร่องของผมเอง หลังการแถลงวันนี้ ผมจะตรวจสอบเอกสารทั้งหมดอย่างละเอียด และจะเร่งประสานกับหน่วยพิสูจน์หลักฐานโดยตรง เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่พลาดหลักฐานใด ๆ อีกครับ ผมมาที่นี่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ผมเชื่อว่าการทำงานอย่างโปร่งใสและเต็มที่คือสิ่งสำคัญที่สุด ขอให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่าคดีนี้จะถูกสืบสวนอย่างละเอียดและยุติธรรม ขอบคุณครับ”

ไกรวิทย์โค้งศีรษะให้นักข่าว ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องแถลงข่าว โดยไม่เปิดโอกาสให้ซักถามต่อ บรรดานักข่าวหันไปซุบซิบแลกเปลี่ยนกันเสียงระงม ปากกาขีดเขียนลงสมุดบันทึกอย่างเร่งรีบ ขณะตากล้องทั้งหลายยังคงจับภาพจนกระทั่งประตูปิดลง

“ไอ้จัน แกคิดว่าท่านรองฯ โดนรับน้องใช่มั้ย” แอนนี่ถามพลางเก็บของลงกระเป๋า

“อืม ฉันเห็นหัวหน้าทีมหนึ่งแอบยิ้มเยาะตอนเขาพูด”

“แกเลยตั้งใจถามจุดประเด็น?” แอนนี่เหมือนจะรู้ทัน

จันอับหัวเราะในลำคอ ยกยิ้ม “แสนรู้ เพื่อนกูนี่ไม่ธรรมดา”

“เอ้า ไอ้นี่!” แอนนี่ค้อนใส่ ก่อนส่ายหัว “แต่คำถามแกก็ฮาร์ดคอร์ไปนะ”

“ฉันว่ายิ่งตรงยิ่งดี ใครฟังต้องคิดหนักกันไปข้าง กูอยากเห็นเหมือนกันว่าท่านรองฯ คนใหม่จะแก้เกมยังไง”

ต่อมา จันอับถึงได้รู้จากรณพักตร์ เพื่อนที่อยู่ทีมสามของแผนกอาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้ช่วยและเลขาส่วนตัวของรองฯไกรวิทย์ ว่าหัวหน้าทีมหนึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้วโยกไปอยู่แผนกจราจร ส่วนตำแหน่งนั้นรองผู้กำกับไกรวิทย์ลงมาดูแลเองโดยตรง

รวมถึงตำแหน่งเลขาที่เขาได้มาด้วยเช่นกัน ได้ข่าวว่ารองผู้กำกับเรียกเลขามาสอบถามเรื่องรายงานที่ส่งขึ้นไป ถึงได้รู้ความจริงว่าหัวหน้าทีมหนึ่งจงใจละเว้นข้อมูลจากหน่วยชันสูตร การกระทำครั้งนั้นกลายเป็นชนวนให้ไกรวิทย์ลงมือจัดการอย่างเด็ดขาด

เพียงการเคลื่อนไหวครั้งเดียว กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในแผนก อำนาจเก่าถูกทลาย ลูกน้องที่เล่นไม่ซื่อร่วมมือกับหัวหน้าทีมถูกโยกย้ายถ้วนหน้า เหมือนมีมือใหม่เข้ามาปัดกวาดล้างตั้งแต่รากฐาน และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จันอับเพิ่งได้รู้ในเวลาต่อมา

จันอับรู้สึกหิวจนท้องร้อง ตั้งแต่ออกจากบ้านตอนเช้าจนถึงตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย

“มึงไปหาข้าวกินกันเถอะ หิวฉิบหาย” เขาบอกเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าทรมานจากความหิว

“เออไปดิ ๆ หิวเหมือนกัน” แอนนี่ตอบรับ พร้อมยื่นกระเป๋าให้จันอับสะพายเหมือนเคย

“งั้นไปร้านประจำกัน” จันอับรับกระเป๋ามาด้วยความเคยชิน พลางเอ่ยบอกจุดหมายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังถึงอาหารจานโปรด

“เจ้าค่ะ คุณหนูจันอับ” เธอเอ่ยเย้า

“คุณหนูอะไร ต้องคุณชายสิวะ กูเป็นผู้ชายนะ” จันอับตอบกลับแสร้งทำหน้าจริงจัง

“เป็นผู้ชายประสาอะไรหน้าสวยกว่ากูอีกค่ะ! มึงมาเป็นแฟนกูจริงๆเอามะ ถ้าเป็นมึงกูจะรีบเซย์เยสเลย” แอนนี่ยิ้มกวน ๆ

จันอับทำท่าขนลุก “อิ้ววว อย่าเลย ให้กูหลับสบายแบบนี้ทุกคืนน่ะดีแล้ว”

“หมายความว่าไง?” แอนนี่ย่นคิ้ว

“นี่มึงไม่รู้ตัวเลยเหรอ ทั้งกรน ทั้งนอนดิ้น กินเสร็จก็เรอ”

“พอ ๆ พูดซะหมดสวยแล้วเนี่ย” แอนนี่รีบห้าม หน้าแดงวูบ คิดในใจ ‘ไอ้เพื่อนเหี้ย’

จันอับหัวเราะเสียงบ่น ก่อนจะเร่งเพื่อน “เดินเร็ว ๆ เข้าร้อนนะเนี่ย”

ร้านประจำของพวกเขาเวลามาทำข่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นไม่ได้ไกลมาก เดินออกมาเพียงห้าร้อยเมตรก็ถึง ร้านจะตั้งอยู่ติดริมถนนใหญ่ แต่เพราะที่จอดรถแถวนั้นหายาก ทั้งคู่จึงเลือกจอดรถทิ้งไว้ที่เดิมแล้วเดินมาแทน

โชคดีที่ร้านเป็นห้องแอร์ พอเปิดประตูเข้าไปก็ได้คลายร้อนจากแดดระอุระหว่างทางได้ดี จันอับถึงกับถอนหายใจยาวเหมือนจะสลายไปกับลมเย็น ส่วนแอนนี่โบกมือไปมาให้เหงื่อแห้งก่อนจะมองหาโต๊ะว่าง ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเข้ากับคนคุ้นเคยนั่งอยู่มุมหนึ่งของร้าน ทั้งคู่หันมองหน้าอย่างรู้กันก่อนจะเดินเข้าไปหาพร้อมทักทายอย่างสนิทสนม “สวัสดีครับ/ค่ะพี่จิน”

“อ้าว ไอ้จัน ไอ้แอน มากินข้าวหรือ?” จินดาเงยหน้าจากเมนูอาหารตามเสียง

“เปล่าครับ มานั่งตากแอร์“

“เอ๊ะ! แกนี่นะ”

“ฮะ ฮา ๆ ๆ ผมหยอกครับ ตอนนี้ผมหิวมาก ๆ เลย” จันอับส่งเสียงออดอ้อนเล็ก ๆ ให้ผู้ใหญ่ใจดีอย่างจินดา ที่มักใจอ่อนเลี้ยงข้าวพวกเขาเสมอ

“มันหิวจนจะกินหนูเข้าไปแล้ว พี่จิน” แอนนี่รีบฟ้อง “เดินบ่นมาตลอดทางเลย”

จินดาหัวเราะพลางส่ายหน้าอย่างเอ็นดู “พวกแกอ้อนขนาดนี้ ถ้าพี่ไม่เลี้ยงก็คงไม่ได้แล้วล่ะสิ เอ้านั่ง ๆ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง วันนี้พี่จะเลี้ยงต้อนรับหัวหน้าคนใหม่ของทีมออบส์ด้วย จะได้รู้จักกันไว้”

จันอับกับแอนนี่รีบแทรกตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จินดา ความจริงทั้งคู่คุ้นเคยกับทีมออบส์อยู่แล้ว เพราะหนึ่งในสมาชิกทีมออบส์ คือ โรส อีกหนึ่งเพื่อนสนิทของจันอับและแอนนี่ ฉะนั้นเวลาทั้งสองมาทำข่าวก็มักจะแวะไปหา จนกลายเป็นสนิทกับทั้งทีม

“ออบส์ได้หัวหน้าคนใหม่แล้วเหรอคะเนี่ย?” แอนนี่ถามด้วยความสนใจ

“ใช่ เพิ่งมาวันนี้เอง” จินดายิ้มเล็กน้อย “จริง ๆ เขาเคยทำงานกับทีมพี่มาก่อน แต่ลาไปเรียนต่อ ตอนเขาไปพวกเธอสองคนถึงได้เริ่มมาทำข่าวที่นี่”

ถ้าจะพูดถึงการเริ่มต้นเส้นทางนักข่าวของจันอับ ก็คงต้องย้อนกลับไปยังความฝันในวัยเด็ก เขาเติบโตมากับภาพของมารดาผู้เป็นตำรวจหญิงที่ทุ่มเททำงานจนกลายเป็นแรงบันดาลใจอยากเดินตามรอย แต่เมื่อถึงวันที่ต้องเลือก เขากลับรู้ตัวว่าไม่อยากเป็นข้าราชการอย่างท่าน จึงเลือกใช้ความรู้ด้านอาชญาวิทยาที่ร่ำเรียนมา ต่อยอดในอีกแวดวงหนึ่ง ‘วงการสื่อมวลชน’

จันอับสมัครเป็นนักข่าวสายอาชญากรรม พร้อมแอนนี่ เพื่อนสนิทที่จบนิเทศโดยตรง วันสัมภาษณ์ บรรณาธิการใหญ่หรือเรียกสั้น ๆ ว่า บก. ไม่ได้ให้ทั้งคู่ตอบเพียงคำถามธรรมดา แต่ยื่นโจทย์ให้ลองเขียนบทความเจาะลึกคดีใหญ่ที่เป็นข่าวร้อนในเวลานั้น จันอับใช้ความรู้ด้านอาชญาวิทยามาเชื่อมโยงข้อเท็จจริง ขณะที่แอนนี่ดึงทักษะการเล่าเรื่องและมุมมองจากการสังเกต ผลลัพธ์ออกมาเฉียบคมจนบก.เอ่ยปากชม

“เขียนดีมาก แต่แผนกอาชญากรรมตอนนี้ยังไม่เปิดรับเพิ่ม” บก.พูดตรง ๆ ก่อนจะเสนอ “งั้นไปเริ่มที่บันเทิงก่อน รอจังหวะเหมาะ ๆ ฉันจะดึงเข้ามาเอง”

ทั้งคู่จึงได้เริ่มต้นการเป็นนักข่าวสายบันเทิงวิ่งตามดารา รอสัมภาษณ์ข่าวที่กำลังเป็นประเด็น ซึ่งสำหรับจันอับแล้ว มันไม่ต่างจากการจับนักสืบไปนั่งเขียนบทละคร

หลายครั้งที่จันอับเผลอถามคำถามตรงเกินไปจนทำเอาดาราเหวอ เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเขาต้องไปสัมภาษณ์ดาราที่โดนข่าวมีโลกสามสี่ใบ ขณะสัมภาษณ์ จันอับก็โพล่งขึ้นกลางวง

“ผมว่าคุณกำลังโกหกนะครับ ท่าทางของคุณมันฟ้อง ที่จริงแล้วคุณมีโลกอีกสามใบ เอ๊ะ! หรือมากกว่านั้น” จันอับนิ่งมองปฏิกิริยา ก่อนจะพูดออกมาว่า “มีมากกว่าสามใบจริง ๆ สินะครับ?”

วงสัมภาษณ์เงียบกริบ ดาราแทบสำลักน้ำลายอยู่ตรงหน้า ส่วนแอนนี่รีบยิ้มหวานแทรกทันที “อุ๊ย ขอโทษค่ะ เพื่อนฉันพูดแรงไปหน่อย จริง ๆ หมายถึงว่าจากข้อมูลที่ได้มามันจริงไหมอยากให้คุณชี้แจงให้แฟน ๆ ได้เข้าใจชัดขึ้นมากกว่านี้หน่อย” แม้จะเป็นการแถจนเลือดซิบ แต่เธอก็ต้องทำ เพื่อดึงสถานการณ์กลับมาให้นิ่มที่สุด

การกระทำของจันอับมักจะถูกเพื่อนสาวดุใส่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน นักข่าวหนุ่มได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่า “ก็เห็นอยู่ว่าดาราคนนั้นโกหก เราอยากได้ความจริงนี่หว่า” ทำเอาแอนนี่ปวดหัวไปหลายวัน ถึงภายหลังดาราจะออกมายอมรับที่หลังว่าเขามีโลกสี่ใบจริงก็ตาม

เสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับวิธีการทำข่าวของทั้งคู่เริ่มเข้าหูบก. จนวันหนึ่ง สำนักข่าวต้องการคนลงคดีใหญ่ แต่ทีมอาชญากรรมไม่พอ หัวหน้ากองเลยลองส่งพวกเขาไปแทน ผลกลับเกินคาด ข่าวที่ออกมาได้รับคำชมว่าเจาะลึกและได้มุมมองใหม่ จากนั้นทั้งคู่ก็ถูกดึงเข้ามาอยู่แผนกอาชญากรรมเต็มตัว และชื่อของ “จันอับ–แอนนี่” ก็เริ่มถูกจับตาในวงการ

เสียงช้อนกระทบจานจากโต๊ะข้าง ๆ ดึงจันอับให้หลุดจากห้วงความคิด เขากะพริบตาเล็กน้อย ก่อนเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่โต๊ะตรงหน้า

“ใช่พี่ที่ชื่อกันต์ธีร์หรือเปล่าคะ ไอ้โรสเล่าถึงบ่อย ๆ เห็นบอกว่าเก่ง”

“ใช่ คนนั้นแหละ”

จันอับหันซ้ายหันขวา “พวกไอ้โรสยังไม่มาเหรอพี่?”

“เห็นใครหรือยังล่ะ” จินดาถามกลับด้วยท่าทางกวน ๆ ตามนิสัย

จันอับยิ้มแหย ๆ ก่อนจะยอมแพ้ “ครับ ๆ ผมผิดไปแล้วครับ พี่จินดาสุดสวย” พร้อมกับส่งวิ้งทำหน้าทะเล้นให้เธอ

จินดากับแอนนี่หลุดหัวเราะไปกับท่าทางขี้เล่นของเขา แต่ก่อนเสียงหัวเราะจะจาง เสียงทุ้มเจือความมั่นใจดังมาแต่ไกล

“ผอ. พวกเรามาแล้ววว” โรสเดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาสวยเฉี่ยวที่สะดุดตา แต่ผมสีม่วงอมเทาสะท้อนกับแสงไฟยิ่งขับให้เธอดูโดดเด่น เสื้อยืดขาวเข้ารูปคู่กับกางเกงสกินนี่ยีนส์สีเข้ม รองเท้าบูทสั้นเสริมส้นเล็กน้อย บวกกับแจ็กเกตหนังพาดบ่า ทุกอย่างบอกชัดว่าเธอไม่ใช่ข้าราชการ หากแต่ดูเหมือนนางแบบเสียมากกว่า จนใครหลายคนในร้านเผลอหันมอง

แต่ทันทีที่โรสเห็นอีกสองคนนั่งอยู่ เธอก็เปลี่ยนโหมดทันตา สายตามั่นใจพลันกลายเป็นประกายขี้เล่น

“อ้าว ไอ้จัน ไอ้แอน! โผล่มาได้ไง?”

“เดินมา” จันอับตอบกวน ๆ พลางหันไปยักคิ้วให้โรส

“ไอ้นี่ กวนตีน กูหมายถึง มึงมาทำไมกันคะ” โรสค้อนขวับก่อนจะทรุดนั่งข้างแอนนี่

“อ๋อ ก็ถามไม่เคลียร์ พวกกูมางานแถลงข่าวไง มึงไม่รู้เหรอ มึงนี่ไม่สนใจเรื่องรอบตัวเลยนะ” จันอับยักคิ้วกวน ๆ ใส

“แอน~~ ดูมันสิ ดูมันทำกับกูสิ” โรสแกล้งอ้อนเพื่อน

“โอ๋ ๆ นะไอ้หมาน้อยของแม่” แอนนี่หัวเราะ ทำทีเป็นเอ็นดู พลางลูบหัวเพื่อนเหมือนปลอบเด็ก

จินไตยเดินมาหยุดข้างโรส ถามขึ้นว่า “แถลงข่าวเรื่องฆาตกรรมต่อเนื่องใช่ปะ?”

“ใช่” จันอับตอบ แต่ก็อดเหลือบตามองบนไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้สนใจคำตอบของเขา เอาแต่หันไปพูดเสียงนุ่มกับเพื่อนของตัวเอง

“แอนครับ ขอนั่งด้วยได้ไหม ไอ้โรสเขยิบไปอีกตัวดิ”

แอนนี่หัวเราะ ขณะที่โรสหันขวับไปหาเพื่อนร่วมทีม “ที่มีเป็นสิบ มึงไปนั่งที่อื่นค่ะ ตรงนี้กูจอง”

“โห ไอ้ขี้งก”จินไตยบ่นอุบ แต่ก็ยอมไปนั่งถัดจากโรส

“สมน้ำหน้า” อัยกรแซว ขณะทิ้งตัวลงข้าง ๆ จินไตยติดกับจินดา ส่วนพิร์วรัลเลือกนั่อีกฝั่งของจินดา โดยเว้นเก้าอี้ที่ติดกับจันอับเอาไว้

พอทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย จินดาจึงส่งเมนูให้เด็ก ๆ เลือก “สั่งอาหารกันตามสบาย”

หลังสั่งอาหาร บทสนทนายังดำเนินไปอย่างสนุกสนาม ไม่นาน ดาวเด่นของการเลี้ยงอาหารมื้อนี้ก็ปรากฏตัว คนมาใหม่กวาดตามองรอบโต๊ะขณะเดินมา ก่อนจะเห็นเก้าอี้ว่างเพียงหนึ่งเดียว แล้วนั่งลงโดยไม่ลังเล

จินดาคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะแนะนำหัวหน้าทีมคนใหม่ให้นักข่าวทั้งสองได้รู้จัก “จัน แอน นี่หัวหน้าทีมคนใหม่ของออบส์… กันต์ นี่จันอับกับแอนนี่ นักข่าวสายอาชญากรรม ต่อไปพวกแกจะได้ทำงานร่วมกันบ่อย ๆ”

จันอับหัวเราะคุยเล่นกับโรสอยู่เพลิน ๆ เมื่อได้ยินจินดาแนะนำจึงเอี้ยวตัวกลับมาเพื่อจะกล่าวคำทักทายกับคนมาใหม่ แต่ทันทีที่สายตาปะทะเข้ากับคนข้างตัว เขาและกันต์ธีร์ต่างเบิกตากว้าง ความตกใจแล่นวูบเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว มือของทั้งสองยกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายแทบจะในจังหวะเดียว

“นี่นาย/นี่คุณ!!”

แอนนี่ได้แต่กุมขมับที่ปวดตุบ ๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้า ส่วนคนอื่น ๆ มองกันไปมาอย่างงง ๆ โรสชะโงกตัวเข้ามาใกล้ กระซิบถามเสียงเบา “นี่พวกมึง…เคยเจอกันมาก่อนเหรอ? ทำไมบรรยากาศมันดูตึง ๆ แปลก ๆ วะ”

หญิงสาวถอนหายใจน้อย ๆ กระซิบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างจันอับกับกันต์ธีร์ ให้คนที่อยู่ใกล้ได้ยิน โรสกับจินไตยถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เช่นเดียวกับจินดาที่รู้อยู่แล้วก็แอบหัวเราะคิกคัก ดูท่าเธอจะเพลิดเพลินกับปฏิกิริยาของทั้งสองไม่น้อย

เสียง “ชิ” หลุดจากริมฝีปากก่อนที่จันอับจะสะบัดหน้าไปอีกทาง แต่ไม่ถึงอึดใจ หางตาก็เผลอเหลือบกลับมามองคนข้างตัวอย่างลืมตัว

กันต์ธีร์สังเกตเห็น เขายกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างไม่รีบร้อน มุมปากยกยิ้มน้อย ๆ เจือความกวนราวกับตั้งใจยั่วโมโห ทำเอาจันอับยิ่งหงุดหงิดจนแทบจะอยากสะบัดหน้าแรงกว่าเดิม

สถานการณ์รอบโต๊ะกลับมาเป็นปกติทุกคนพูดคุยกันเหมือนเดิม ยกเว้นพื้นที่เล็กๆ ระหว่างคนสองคนที่เหมือนมีประกายไฟวิ่งชนกันไปมาอยู่ตลอดเวลา ไม่นานอาหารที่สั่งก็ทยอยมาเสิร์ฟ จินดานึกถึงเรื่องแถลงข่าวเช้านี้ แล้วจึงถามขึ้นว่า “จัน เมื่อเช้ารองผู้กำกับ คนใหม่แถลงเป็นอย่างไรบ้าง?”

จันอับหันกลับมาตอบจินดา “ออ ผมว่ารองฯ คนใหม่ถูกลูบคมแล้วล่ะพี่” เขาพูดตรงไปตรงมา

จินดาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “คงเป็นหัวหน้าทีมหนึ่งล่ะสินะ มันทำอะไรอีกล่ะ?”

จันอับพยักหน้า “ผมยิงคำถามไปหลายข้อ เห็นชัดเลยว่าท่านรองฯ ไม่ได้รับรายงานจากทีมพิสูจน์หลักฐานเลย ข้อมูลก็ไม่ครบ ต้องแถลงทั้งที่ไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมด ผมว่าพวกนั้นตั้งใจจะให้ท่านรองฯ เสียหน้าในการแถลงครั้งแรกแน่ ๆ”

จินดาฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “พี่ก็สงสัยว่าทำไมทีมหนึ่งไม่ขอรายงานผลการชันสูตรหรือหลักฐานของคดี ทั้ง ๆ ที่ต้องใช้แถลงข่าววันนี้ เหมือนจงใจขุดหลุมให้รองฯ คนใหม่เลยนี่หว่า”

แอนนี่แทรกขึ้น “คนที่ทำให้เขาเสียหน้าก็มึงนั่นแหละค่ะ ถามแต่ละอย่าง…”

จันอับมองค้อน “แต่ก็เพราะงั้นแหละ เขาถึงรู้ตัวว่ากำลังถูกหมายหัวอยู่”

จินดาหัวเราะ ก่อนถามต่อ“แล้วท่านรองฯ ทำยังไงล่ะหลังเจอแบบนั้น?”

“เขาแมนดีนะพี่ รับตรง ๆ ว่าไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียดก่อน แล้วก็บอกว่าจะขอความร่วมมือกับทางทีมพิสูจน์หลักฐานเพิ่มเติม ผมว่าท่านรองฯ ตั้งใจจะตรวจสอบใหม่ทั้งหมดเลยล่ะครับ” จันอับตอบ

จินดายิ้มบาง ๆ เมื่อได้ยิน “ถ้าเป็นอย่างที่จันว่าได้จริงก็ดี ฆาตกรจะได้ถูกจับสักที” เธอหันไปหากันต์ธีร์ “นี่ แกไปพบท่านรองฯ หน่อยนะ ถือเป็นการรายงานตัว และจะได้ดูลาดเลาเรื่องนี้ด้วย”

“ได้ครับ” กันต์ธีร์ตอบสั้นๆ

อาหารมื้อนี้จบลงในที่สุด แอนนี่ลูบท้องที่เริ่มตึง พร้อมกล่าวขอบคุณเสียงใส “โอ๊ย อิ่มจังเลย ขอบคุณนะคะพี่จิน”

จันอับยิ้มแป้น “วันหลังพวกเรามาให้พี่จินเป็นเจ้ามืออีกนะครับ”

จินดายิ้มกว้าง พยักหน้าตอบรับเต็มเสียง “ได้เลย”

“งั้นพวกเราต้องขอตัวก่อนนะคะพี่จิน ไปก่อนนะพวกแก”แอนนี่บอกลาทุกคน ก่อนที่เธอจะรวบรวมความกล้า เอ่ยกับกันต์ธีร์ด้วยท่าทีเกร็งเล็กน้อย “เอ่อ...ไปก่อนนะคะ คุณกันต์ธีร์”

กันต์ธีร์ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เอ่ยด้วยเสียงนุ่ม “เรียกผมว่าพี่ก็ได้ แล้วเจอกันครับ”

จันอับแค่นเสียงเบา ๆ “จิ๊! อย่าได้เจอกันอีกดีกว่า” คำพูดเหมือนบ่นลอย ๆ แต่จงใจเอ่ยให้เจ้าตัวได้ยินเต็มสองหู จากนั่นก็สะบัดหน้า เดินออกไปอย่างไม่ไยดี

จินดาหัวเราะขำ “ฉันว่านะ จันมันต้องไม่ชอบแกเอามาก ๆ เลยว่ามั้ย?”

โรสพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่เลยค่ะพี่จิน หนูว่าเฮียต้องไปทำอะไรให้เพื่อนหนูไม่ชอบเอามาก ๆ เลยล่ะ จันไม่ค่อยเป็นแบบนี้กับใครง่าย ๆ นะ”

ทั้งกลุ่มหันมามองกันต์ธีร์เป็นตาเดียว ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเยาะ ๆ “แล้วไง ฉันก็ไม่ได้ชอบเจ้าเด็กนั้นสักหน่อย คนอะไรประชดประชันก็เก่ง ปากก็เสีย เหอะ!”

“ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!” จันอับจามติดต่อกัน ทำให้แอนนี่หันมองด้วยความเป็นห่วง “มึงเป็นหวัดหรือเปล่าเนี่ย จามหลายรอบแล้วนะหลังออกจากร้าน”

จันอับส่ายหน้า “เปล่า แค่คันจมูกเฉย ๆ”

แอนนี่หัวเราะเบา ๆ พลางแซว “หรือไม่ก็มีคนกำลังนินทาแกอยู่แน่ ๆ”

จันอับหัวเราะหึ “ถ้ามีคนจะนินทาฉัน คงไม่พ้นนายขันทีนั้นชัวร์”

“พี่เขาชื่อกันต์ธีร์ มึงก็ไปเรียกเขาขันที ถ้าเขาได้ยินเข้าล่ะก็”

“ได้ยินก็ดี ฮึ!”

แอนนี่เหลือบมองเพื่อนด้วยความสงสัย ก่อนจะถามออกมาตรง ๆ “ถามจริงเหอะไอ้จัน ทำไมดูไม่ชอบพี่กันต์ขนาดนั้นเลยวะ?”

จันอับนิ่งคิด “ก็คงเพราะเรื่องเมื่อเช้ามั้ง เลยรู้สึกไม่ถูกชะตา”

แอนนี่ส่ายหัวอย่างปลง ๆ “แกนี่ก็จริง ๆ เลย”

จันอับรีบสะบัดมือ “ไป ๆ อย่าพูดมาก ร้อนอีกแล้วเนี่ย รีบเดิน ๆ จะได้รีบกลับไปส่งข่าวด้วย”

“จ้า จ้า จ้า” แอนนี่รับคำ ส่ายหน้าอย่างระอา

แต่ใครจะรู้ว่าในหัวของจันอับ กลับยังวนเวียนกับรอยยิ้มกวน ๆ ของคนที่ตนเพิ่งบอกไปว่า “ไม่ถูกชะตา”

ในขณะเดียวกัน กันต์ธีร์ที่ยังนั่งอยู่ในร้าน ก็กำลังนึกถึงแววตาดื้อรั้นของเด็กเมื่อครู่ มุมปากเขาเผลอยกยิ้มบาง ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ “คนอะไรขู่เป็นลูกแมวเลย”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ปริศนาใต้เงาสาป   บทที่ 3

    ห้องแถลงข่าวของหน่วยปราบปรามอาชญากรรมเต็มไปด้วยนักข่าวจากแทบทุกสำนัก เก้าอี้ทุกตัวถูกจับจองแน่น เสียงพูดคุยเบา ๆ ดังเป็นระยะ ขณะที่ทุกคนรอคอยการแถลงเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมเมื่อสองวันก่อน ซึ่งเชื่อมโยงกับฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน ไม่นาน ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ชายในเครื่องแบบก้าวเข้ามา เพียงการปรากฏตัวก็ทำให้ห้องทั้งห้องเงียบลง เหลือเพียงเสียงชัตเตอร์ที่ดังถี่รัวและแสงแฟลชที่สะท้อนอยู่ทั่วห้อง ด้านหลังสุด จันอับยกกล้องขึ้นแนบตา เลนส์จับไปยังชายผู้ขึ้นสู่โพเดียม เขาดูอายุไม่น่าเกินสามสิบห้า ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลา ผิวแทนเข้มสุขภาพดี ท่วงท่ามั่นคงและแววตาสงบนิ่ง “สวัสดีนักข่าวทุกท่าน ผม พ.ต.อ. ไกรวิทย์ ชาญเดชา รองผู้กำกับหน่วยปราบปรามอาชญากรรม รับหน้าที่แถลงข่าวเหตุการณ์ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนี้” เขากวาดสายตามองกลุ่มผู้สื่อข่าวที่นั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า “จากการตรวจสอบเบื้องต้น แม้เหยื่อแต่ละครั้งจะมีพื้นเพและลักษณะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกัน คือรูปแบบการลงมือที่เหมือนกันทุกครั้ง ผู้ก่อเหตุจะมัดตรึงเหยื่อ จากน

  • ปริศนาใต้เงาสาป   บทที่ 2

    บทที่ 2กันต์ธีร์เลี้ยวรถเข้าสู่เขตสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พื้นที่ซึ่งรวมหน่วยสำคัญเอาไว้ครบ ทั้งหน่วยปราบปรามอาชญากรรม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล ไปจนถึงหน่วยพิสูจน์หลักฐานที่เขาสังกัดตึกสูงสลับกับอาคารเก่าเรียงราย เหมือนคอยบอกเล่าประวัติขององค์กรนี้ เสียงไซเรนแว่วมาเป็นระยะ คล้ายเตือนว่าที่นี่…ไม่มีคำว่าเงียบสงบจริง ๆวันนี้ก็เช่นกัน ลานจอดรถแน่นเอี๊ยดไปด้วยรถสำนักข่าวจนแทบไม่มีที่ว่าง เขาวนหาอยู่นานก็ยังไม่มีที่จอด จนกระทั่ง… “เฮ้ย! ที่จอด…ที่จอด!” เขาอุทานเหมือนเจอขุมทรัพย์ เมื่อเห็นช่องว่างระหว่างรถสองคันชายหนุ่มรีบเปิดไฟฉุกเฉิน เตรียมถอยหลังเข้าซองอย่างระมัดระวัง แต่ยังไม่ทันยกเท้าออกจากเบรก กลับมีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาเสียบในช่องนั้นหน้าตาเฉยเขามองภาพนั้นผ่านกระจกมองหลังด้วยความอึ้ง ก่อนอารมณ์หงุดหงิดจะไหลวาบขึ้นมา “อะไรวะ! ไม่เห็นหรือไงว่าคนกำลังจะจอด!” เขาสบถเสียงขุ่น มือผลักประตูรถออกแรงพอสมควรแล้วก้าวลงมาด้วยท่าทีทมึงทึง เดินฉับ ๆ ตรงไปหยุดที่หน้ารถคู่กรณี สายตากวาดมองโลโก้สำนักข่าวชื่อดัง ‘ซี.ไอ.นิวส์’ ที่แปะหราอยู่บนฝากระโปรง“นี่คุณ! ทำแบบนี้ไ

  • ปริศนาใต้เงาสาป   บทที่ 1

    บทที่ 1ภายในห้องนอนอันเงียบสงบ อากาศที่เย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศโอบล้อมไปทั่วห้องนอน ผ้าม่านสีทึบช่วยปิดกั้นแสงรบกวน เตียงหลังใหญ่กลางห้องดูน่านอนจนชวนให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและจมดิ่งสู่การพักผ่อนอันยาวนานแต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มที่กำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงหลังนั้น คิ้วเข้มได้รูปเหมือนถูกเขียนด้วยหมึก ขมวดเข้าหากันจนเป็นร่อง สีหน้าบ่งบอกว่าการนอนมีปัญหา นั่นเพราะในยามนี้ เขากำลังถูกดึงเข้าสู่ห่วงฝันอย่างไม่ทันตั้งตัวในความฝันนั้น ชายหนุ่มพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องว่างเปล่าขนาดใหญ่ไม่คุ้นตา เขากวาดตาไปทั่วด้วยความสงสัย ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ที่ไหนหรือมาได้อย่างไร จนกระทั่งสายตาสะดุดกับเงาร่างหนึ่งในมุมมืด ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงจ้องเขม็ง แหลมคมราวกับมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ความเย็นซึมลึกลงไปถึงกระดูกเสียงกระซิบแผ่วราวสายลม ลอยมากระทบโสต คล้ายพยายามบอกอะไรสักอย่าง ทว่าประโยคนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับใจความได้ ก่อนที่มันจะสลายไปในอากาศ“คุณ... คุณพูดกับผมใช่ไหม? ผมฟังไม่ถนัด ช่วยพูดเสียงดังอีกหน่อยสิครับ”ชายหนุ่มร้องบอก ทว่าเสียงที่ส่งกลับมายังคงเป็นเช่นเดิม เมื่อไร้คำตอ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status