“ตามเร็วดีนี้ ไม่เสียทีที่ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้” หลินเจี้ยวกั๋วเอ่ยชมออกมาอย่างพอใจในผลงานของสหายตน
“เจ้าก็ว่าไป ว่าแต่แผลเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนี้ ทำไมไม่กลับค่าย ต้องรอให้ข้ามาตามกลับหรือไง” ชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ แต่กลับมีฐานะเป็นถึงรองแม่ทัพของค่าย
“พอดีมีเรื่องให้ทำ ข้าไม่รีบ ยังไงที่นั้นก็ยังมีเจ้า”
“แต่พวกเราต้องเดินทางกันต่อแล้ว เสียเวลาให้เจ้าเล่นละครมามากแล้ว”
“เอาน่า เสียเวลานิดหน่อยแต่จับหนอนบ่อนไส้ได้ก็ดีมากแล้ว”
“แต่มันก็เสี่ยงเกินไป หากมีดนั้นโดนจุดสำคัญเจ้าจะทำยังไง และนี้ยังดีที่มีคนช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำได้ทัน หากช้าอีกนิดเจ้าคงได้เป็นผีเฝ้าทะเลจริงๆแล้ว หากเจ้าตายเป็นผีจริงๆมีหวังท่านลุงได้ตามฆ่าข้าเป็นคนแรกแน่ๆ”
“เอาน่าคุณชายไป๋ซูท่านเจอข้าแล้วก็ควรกลับค่าย แล้วออกเดินทางได้แล้ว ส่วนข้าเจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวถึงเวลาข้าก็กลับเอง” หลินเจี้ยนกั๋วยิ้มกริ่มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำ
“เจ้าคิดจะทำอะไร ทำไมยิ้มอย่างนั้น” ไป๋ซูนึกหวั่น เพราะน้อยนักที่เพื่อนของตนจะมีท่าทีเช่นนี้
“ไม่ต้องคิดมาก นี้! ข้าฝากจดหมายถึงท่านพ่อด้วย บอกให้รีบจัดการให้ข้าก่อนที่ข้าจะกลับไปเมืองหลวง” หลินเจี้ยนกั๋วยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับไป๋ซู
“อะไร ทำไมท่าทางลับๆล่อๆอย่างนี้”
“เดี๋ยวก็รู้ ไปละ”
หลินเจี้ยนกั๋วกระโดดขึ้นบนหลังม้าก่อนที่จะควบกลับไปยังจวนเล็กแห่งนั้นทันที ปล่อยให้ไป๋ซูมองตามหลังอย่างสงสัย
เช้าวันต่อมา
จื่อเวยตื่นนอนแต่เช้าเพื่อที่จะออกสำรวจตลาดของซวนชีจากประสบการณ์ก่อนตกตึก จื่อเวยเคยเป็นนักการตลาดของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ชีวิตที่สุขสบายกำลังจะเริ่มต้นแต่กลับโดนหักหลังซะก่อน
“คุณหนูทำไม่เราต้องออกมาเดินตลาดแต่เช้าอย่างนี้ ข้าง่วง...”
ถิงถิงเดินบ่นพึมพำตามหลังจื่อเวย“อย่าบ่นนักเลย อยากอดตายรึไงกัน เราต้องทำมาหากินนะ หากนอนรอ ใช้เงินเก่ามีหวังได้อดตายกันพอดี”
“โถ่วคุณหนู เงินเหลือใช้ตั้งมากมาย ไม่อดตายหรอกเจ้าคะ”
“ยัยขี้เกียจ เราต้องทำมาหากินนะ เข้าใจไหม” จื่อเวยจับเข้าที่แก้มตุ๋ยของถิงถิงก่อนจะออกแรงบีบเล็กน้อยให้เธอตื่นตัว “ได้ยินที่พูดไหม”
“ได้ยินเจ้าคะ”
“ดี เดินต่อได้แล้ว เร็วๆด้วย”
จื่อเวยเดินนำหน้า โดยมีถิงถิงและหลินเจี้ยนกั๋วตามปิดหลัง
ตามจริงหากวันนี้หลินเจี้ยนกั๋วไม่ตามติดมาที่ตลาดด้วย จื่อเวยคงไม่บังคับถิงถิงให้มาด้วย
จื่อเวยเดินเข้าออกร้านค้าต่างๆ เธอถามไถ่เรื่องการค้าขายของที่ตลาดแห่งนี้ สำรวจการขาย ผู้คน และความต้องการของลูกค้าของเมืองแห่งนี้อยู่แทบทั้งวัน
ท่าทางจริงจังกับการสร้างกิจการของจื่อเวย ยิ่งทำให้หลินเจี้ยนกั๋วรู้สึกสนใจในตัวเธอมากขึ้นไปอีก นานมากแล้วที่เค้าไม่เคยมีความรู้สึกดีดีต่อใครสักคน แล้วยิ่งเป็นผู้หญิงเค้ายิ่ง แทบจะไม่เคยให้ความสำคัญอะไรเลย นอกจากเรื่องค่ายทหาร
เรื่องการเจอหานลี่อินสำหรับหลินเจี้ยนกั๋วคือเรื่องบังเอิญ ก่อนหน้านี้เค้าเพียงออกมาล่าพวกโจรที่อยู่ละแวกหุบเขาแม่น้ำหวงเพียงเท่านั้น
ตกเย็นทุกคนก็กลับจวนและก็เป็นเช่นนี้ตลอดห้าวันที่ผ่านมา จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น วันที่หก ถิงถิงไม่สบาย ดังนั้นจื่อเวยต้องไปกับหลินเจี้ยนกั๋วเพียงสองต่อสอง เพราะสวีห้าวต้องดูแลถิงถิงและจวนที่ยังคงปรับปรุงไม่เสร็จ
“เจ้าไม่ต้องเดินมาใกล้ข้า เดินตามหลังห่างๆก็พอ เข้าใจไหม”
“อืม” อืม...อย่างงั่นเหรอ มีทาสคนไหนกล้าพูดอย่างนี้บ้างถ้าไม่ใช่เค้า
“ไปเถอะสายละ”
จื่อเวยและหลินเจี้ยนกั๋วเดินมาจนถึงโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งดื่มน้ำชา และคอยสังเกตเป้าหมายลูกค้าที่เข้ามา
“เสี่ยวเจี้ยนข้าว่าข้าเปิดร้านผ้าไหมกับเครื่องประดับที่นี้เจ้าว่าจะเป็นยังไง” ในเมื่อไม่มีใครให้ปรึกษาดังนั้นเธอปรึกษากับคนตรงหน้านี้แล้วกัน ดีกว่าคิดอยู่คนเดียว
“ท่านแน่ใจ”
“อื่ม...ทำไม”
“เดินมาตั้งหลายวันท่านคิดได้แค่นี้”
หมายความว่าไง
“เจ้าคิดอะไรได้ละ!” จื่อเวยแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาจนหลินเจี้ยนกั๋วอมยิ้มกับท่าทางของเธอ
“เคยสังเกตไหม แม้ว่าที่นี้จะมีแต่คนแต่งตัวฟุ่มเฟือย แต่ทุกคนจะมีคนคอยติดตามตลอดเวลา นั้นหมายความว่าไง แล้วส่วนคนที่ไม่แต่งตัวด้วยผ้าไหมที่ดีก็แต่งตัวด้วยผ้าฝ้ายเกรดต่ำไปเลย หลังตะวันลับฟ้าผู้คนที่นี้ก็จะปิดร้านทันที ไม่มีตลาดดึก หรือถ้ามีก็จะมีเพียงบ่อน”
“แล้วยังไง?” วิเคราะห์เก่งซะด้วย
“ท่านเดาดูสิ”
“โจรเหรอ” จื่อเวยนึกถึงคำพูดที่สวีห้าวเคยพูดตอนที่อยู่บนเรือ ก่อนที่เธอจะกระโดดลงน้ำไปช่วยคนตรงหน้า
“อื่ม...หัวไวดี”
ชมเหรอวะ “แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น เราเดินกันอยู่ตั้งหลายวัน”
“คิดว่ายังไงละ”
“กลัวพวกเราเหรอ ไม่น่าใช่ สตรีสองคนกับบุรุษหนึ่ง ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย หรือว่า...”
จื่อเวยเพ่งมองคนตรงหน้าเธออย่างพินิจ พิจารณาว่าเพราะอะไร หรือคนตรงหน้าเธอคือหัวหน้าโจรเลยทำให้พวกโจรด้วยกันไม่กล้าเข้าใกล้
“กำลังคิดว่าข้าคือพวกเดียวกันกับพวกนั้นหรือ” หลินเจี้ยนกั๋วเอ่ยออกมา
“ไม่นี้! ยังไม่ได้พูดเลย”
ใครจะกล้า รังสีอำมหิตออกมาซะขนาดนี้“ก็ดี”
“แล้วเจ้าคิดว่าพวกโจรกลัวอะไร ถึงไม่กล้าเข้ามาใกล้พวกเรา ข้าว่าตัวข้าก็น่าจะเป็นที่ต้องตาของพวกมันอยู่นะ” จื่อเวยเหลือบมองดูการแต่งกายของตัวเองที่ถิงถิงมักจะแต่งให้เธอแบบจัดเต็ม
ล่อเสือล่อจระเข้มากพอตัว
“พูดอย่างนี้อยากโดนจับไปเป็นเมียโจรเหรอ” น้ำเสียงเริ่มแผ่ถึงความไม่พอใจ
“เจ้าบ้าหรือไง ใครจะอยากโดนจับ”
“ก็นึกว่าอยากเป็นเมียโจร ข้าช่วยได้นะถ้าคุณหนูต้องการ”
“เจ้า! นี้! ชักจะเกินไปแล้ว” จื่อเวยเอ่ยออกมาอย่างโมโหแต่ไม่รู้ว่าจะต่อว่าอะไรคนตรงหน้า
“เกินไปยังไง ก็ท่านเป็นคนพูดเองว่าตัวเองน่าจะต้องตาโจรบ้างไม่ใช่เหรอ” หลินเจี้ยนกั๋วยังคงตีหน้าตายพูดออกไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว!” จื่อเวยลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอกร้านทันที โดยมีหลินเจี้ยนกั๋วที่รีบเดินตามออกมา
“นี้! โกรธเหรอ”
“ไม่ได้โกรธ! ไปเดินห่างๆหน่อยจะได้ไหม เห็นหน้าเจ้าแล้วอารมณ์ไม่ดี”
“เอาแต่ใจ” หลินเจี้ยนกั๋วเอ่ยพึมพำแต่กลับเสียงดังฟังชัด
“บ่นอะไรลับหลังข้า รีบๆหน่อย ข้าจะกลับจวนแล้ว”
จื่อเวยเร่งฝีเท้าอย่างอารมณ์เสียแม้จะได้ยินแต่เธอก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อคำกับเค้า
แต่แล้วจู่ๆเสียงฟ้าก็ร้องขึ้นมา เหมือนต้องการสื่อว่าอีกไม่นานฝนจะตก
“ไม่นะ อย่าตกนะไอ้ฝนบ้า” จื่อเวยเอ่ยออกมาเหมือนคนจะร้องให้
คนยิ่งอารมณ์ไม่ดี จะด่าก็ไม่กล้าด่า บ้าที่สุด!
“นี้คุณหนู ฝนจะตกแล้วหาที่หลบฝนก่อนไหม” เสียงเข้มเอ่ยออกมาจากทางด้านหลังของจื่อเวย
“จะตกก็ให้มันตกมาเถอะ ข้าไม่กลัว”
เปรี้ยง!!
เสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้นจนจื่อเวยที่เร่งความเร็วในการเดินเมื่อสักครู่ รีบหันหน้ากลับมาหาหลินเจี้ยนกั๋วที่เดินอยู่ด้านหลัง เธอกระโดดกอดหลินเจี้ยนกั๋วแน่น จนเค้าเองก็ตั้งตัวไม่ทันจนเกือบจะตั้งท่าต่อสู้ให้เธอเห็น
แขนเล็กกอดรัดร่างหนาซะจนเค้าเกือบจะกระดิกตัวไม่ได้ ดวงตาทั้งสองข้างของเธอปิดแน่นด้วยความกลัว
เมื่อสบโอกาสหลินเจี้ยนกั๋วก็ยกมือทั้งสองข้างของเค้าขึ้นแล้วค่อยๆโอบรัดร่างบางไว้ในวงแขน เหมือนปลอบประโลมเธอ
“กลัวเหรอ...” หลินเจี้ยนกั๋วก้มลงกระซิบที่ข้างใบหูเล็ก
จื่อเวยที่ใจกลัวเมื่อสักครู่ก็กระโดดเด้งออกจากอกแกร่งทันที เมื่อรู้ตัวว่าตนเองกอดใครอยู่
“ไม่นี้! ไม่ได้กลัว” จื่อเวยหันหน้าซ้ายขวาไปมา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเห็นเธอเมื่อสักครู่ เธอจึงรีบเดินหนีไปที่โรงเตี้ยมด้านหน้าที่ใกล้ที่สุดทันที โดยทำทีเป็นไม่สนใจคนที่เธอกอดเมื่อสักครู่
“นี้! คุณหนู เดินรอหน่อยก็ได้ จะรีบอะไรขนาดนั้น”
จื่อเวยแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ทำทีเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่เค้าพูด
จื่อเวยเอ๋ยจื่อเวยเธอไปกอดเค้าทำไม อร๊าย! บ้าที่สุด เมื่อกี้ยังโกรธแล้วจู่ๆไปกระโดดกอดแบบนั้น นายนั้นจะคิดยังไงกันนะ
หัวใจที่เต้นถี่แรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อหลินเจี้ยนกั๋วเดินเข้ามาใกล้เธอ มือเล็กยกขึ้นกุมที่หน้าอกอย่างเบามือ คล้ายปลอบประโลม
นี้ฉันใจเต้นแรงเพราะนายเสี่ยวเจี้ยนเนี้ยนะ ไม่หรอกมั่ง แต่จะว่าไปนายนี้ก็หล่อใช่เล่นนะยัยจื่อเวย หากเทียบกับสวีห้าวแล้ว หึ! ราวฟ้ากับเหวเชียว ไม่! ไม่!
“นี้! คุณหนู ส่ายหัวแรงแบบนั้นทำไม เป็นอะไร”
“เปล่า!” จื่อเวยปฏิเสธเสียงแข็ง “เข้าไปหลบด้านในก่อนแล้วกัน”
จื่อเวยชี้ไปที่โรงเตี้ยมด้านข้างก่อนที่จะรีบเดินหนีเข้าไปทันที...
ตอนที่4กอด“ตามเร็วดีนี้ ไม่เสียทีที่ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้” หลินเจี้ยวกั๋วเอ่ยชมออกมาอย่างพอใจในผลงานของสหายตน“เจ้าก็ว่าไป ว่าแต่แผลเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนี้ ทำไมไม่กลับค่าย ต้องรอให้ข้ามาตามกลับหรือไง” ชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ แต่กลับมีฐานะเป็นถึงรองแม่ทัพของค่าย“พอดีมีเรื่องให้ทำ ข้าไม่รีบ ยังไงที่นั้นก็ยังมีเจ้า”“แต่พวกเราต้องเดินทางกันต่อแล้ว เสียเวลาให้เจ้าเล่นละครมามากแล้ว”“เอาน่า เสียเวลานิดหน่อยแต่จับหนอนบ่อนไส้ได้ก็ดีมากแล้ว”“แต่มันก็เสี่ยงเกินไป หากมีดนั้นโดนจุดสำคัญเจ้าจะทำยังไง และนี้ยังดีที่มีคนช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำได้ทัน หากช้าอีกนิดเจ้าคงได้เป็นผีเฝ้าทะเลจริงๆแล้ว หากเจ้าตายเป็นผีจริงๆมีหวังท่านลุงได้ตามฆ่าข้าเป็นคนแรกแน่ๆ”“เอาน่าคุณชายไป๋ซูท่านเจอข้าแล้วก็ควรกลับค่าย แล้วออกเดินทางได้แล้ว ส่วนข้าเจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวถึงเวลาข้าก็กลับเอง” หลินเจี้ยนกั๋วยิ้มกริ่มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำ“เจ้าคิดจะทำอะไร ทำไมยิ้มอย่างนั้น” ไป๋ซูนึกหวั่น เพราะน้อยนักที่เพื่อนของตนจะมีท่าทีเช่นนี้“ไม่ต้องคิดมาก นี้! ข้าฝากจดหมายถึงท่านพ่อด้วย บอกให้รีบจัดการให้ข้าก่อนที่ข้
ตอนที่3ไล่ก็ไม่ไปในที่สุดวันเวลาที่ต้องทนอยู่บนเรือก็ได้สิ้นสุดลงสักที จื่อเวยรู้สึกค่อนข้างอึดอัดอยู่แทบจะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอมักจะรู้สึกได้ว่าเธอถูกจับตามองดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมักจะจ้องมองมาที่เธอแทบจะทุกเวลาที่มีโอกาส“คุณหนูจะทำยังไงต่อกับเสี่ยวเจี้ยนเจ้าคะ” ถิงถิงเอ่ยออกมาเมื่อมาถึงจวนเล็ก ที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองซวนชีจวนแห่งนี้คือจวนของท่านตาของหานลี่อิน ก่อนที่จะทำการค้าจนรุ่งเรืองกลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งอย่างเช่นทุกวันนี้“ไล่เค้าไป” จื่อเวยเดิมไม่ใช่คนใจดำ แต่เพราะเธอไม่ถูกชะตากับคนผู้นี้ เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกจับตามองจากคนคนนี้อยู่ตลอดเวลา“แน่ใจเหรอขอรับ ท่านเป็นคนเก็บมาเองกับมือเลยนะ” สวีห้าวย้ำในการกระทำของเธอ“แล้วจะทำไม ช่วยคนจากความตายไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลี้ยงนี้! ไปบอกเสี่ยวเจี้ยนไป” จื่อเวยย้ำกับสวีห้าว“ขอรับคุณหนู” ท่าทีและการกระทำของสวีห้าวแสดงให้รู้สึกถึงการล้อเลียนเธอ“ฮ่า ฮ่า” ถิงถิงเองก็หัวเราะออกมาอย่างโจ่งแจ้งสองวันที่ผ่านมาจื่อเวยได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพวกเค้าสองพี่น้องแม้ว่าสวีห้าวและถิงถิงจะรู้สึกว่าคุณหนูของพวกเค้านิสัยเปลี่ยน
ตอนที่2เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่เพียงเปิดประตูจื่อเวยก็ได้ยินเสียงคลื่นน้ำทะเลที่กระทบกับตัวเรือเป็นจังหวะ สายลมพัดโชยเย็นผ่านใบหน้ารูปไข่ ผิวที่ขาวเนียนระเอียด ดวงตากลมโตสีดำแวววาวขึ้นมาทันที เมื่อทอดมองภาพตรงหน้าท้องฟ้าสีครามสดใสตัดกับสีฟ้าครามของผืนน้ำกว้างใหญ่จนสุดสายตา ดวงอาทิตย์สีทองค่อยๆลับขอบฟ้า ภาพที่ปรากฏตรงหน้าช่างงดงามราวกับภาพวาดความจริงสินะ! นี้ฉันย้อนเวลามาที่นี้ได้ยังไงกัน“คุณหนูอย่าเดินไปใกล้ขอบเรือนักสิเจ้าคะ ลมยิ่งแรงเดี๋ยวพัดตกลงไปนะเจ้าคะ” ถิงถิงจับที่ชายเสื้อของจื่อเวยไม่ปล่อย“ไม่ตกหรอก ลมแค่นี้”“กันไว้ก่อนดีกว่านะเจ้าคะ” ดวงหน้าที่แสดงออกมาว่าเป็นห่วงอย่างชัดเจนของถิงถิง ทำให้จื่อเวยยอมถอยออกมาเล็กน้อย“พอใจหรือยัง”“ออกมาอีกนิดจะดีกว่านี้เจ้าคะ”“พอแล้ว คนทั้งคนนะ จะปลิวง่ายๆเลยหรือไงกัน”“คุณหนูตัวเล็กนิดเดียวเองนะเจ้าคะ แค่ลมพัดก็ล้มได้แล้ว”“บ้าน่า!”“อะไรนะเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร” จริงด้วย ยัยหานลี่อินนี้มีหน้าตาเป็นยังไงกันนะ? “ถิงถิงมีกระจกไหม?”“มีสิเจ้าคะ อยู่ในห้อง ทำไมหรือเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร” เดี๋ยวค่อยเข้าไปดูละกัน “นั้นเค้าทำอะไรกัน”จื่อเวยชี้นิ้วไปท
ตอนที่1หานลี่อินหุบเขาแม่น้ำหวง“สวีห้าวท่านจะทำยังไงต่อ คุณหนูไม่หายใจแล้ว...ฮือ... พวกเราไม่รอดแน่ หากเรื่องนี้ไปถึงหูนายท่านผู้เฒ่า” เสียงหญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างกังวน “ความผิดที่หลบหนีก็มากพอแล้ว...”“แล้วจะให้ข้าทำยังไง พวกเราทุกคนที่อยู่บนเรือนี้! ยังไงก็ไม่มีทางหนีรอด ยิ่งเจ้ากับข้าที่รับใช้คุณหนูยิ่งไม่มีทางหนีรอดได้ เจ้าทำใจเถอะถิงถิง”ถิงถิง สาวรับใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่ตระกูลหาน นางและคุณหนูของนางติดตามเรือสินค้าของตระกูลมาที่เมืองซวนชีเพื่อที่จะหลบหนีการแต่งงานที่ทางตระกูลจัดขึ้น แต่พอเดินทางมาได้เพียงครึ่งทางคุณหนูของนางกลับเกิดอาการเป็นไข้พิษ บนเรือก็ไม่มีหมอ แม้สวีห้าวจะพยายามเดินเรือให้เร็วขึ้นสักแค่ไหน คุณหนูของพวกเค้าก็ไม่อาจต้านทานไหว อาการไข้พิษเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนร่างบางค่อยๆหมดลมหายใจไป...“คุณหนู...”หญิงสาวร่างบางสวมชุดผ้าฝ้ายสีสันสดใส แต่กลับมีสีผิวที่ขาวซีด นางนอนอยู่บนฟูกหนา ร่างที่ไร่วิญญาณนอนแน่นิ่งอย่างสงบถิงถิงกุมมือของเจ้านายไว้ไม่ห่าง ด้วยความเสียใจ“คุณหนูหากข้าไม่มีท่านแล้วข้าจะอยู่ยังไง...ท่านต้องเหงาแน่ ฮื่อ...หากเป็นเช่นนี้งั้นข้าก็ควรจะตายเป
อารัมภบท“ตลอดเวลาที่อยู่กับเธอชีวิตฉันมันไม่ได้ต่างอะไรกับขอทานเลยสักนิด! จื่อเวย เธอต้องหัดยอมรับความจริงแล้วปล่อยฉันไปได้แล้ว!”ท่าทีเกรี้ยวกราด พร้อมเสียงที่ตะคอกออกมาอย่างสุดทนของฝ่ายตรงข้ามทำเอาหญิงสาวอย่างจื่อเวย สาวแว่นที่มีชีวิตเชยๆไปวันๆถึงกับทำตัวไม่ถูกนี้เธอผิดอะไรกัน ก่อนหน้านี้เค้าคือคนที่มาบอกรักกับเธอเอง ไม่ใช่เหรอ“ซิงเยียนทำไมนายพูดอย่างนี้ ก่อนหน้านี้นายเป็นคนมาบอกรักฉันเองไม่ใช่เหรอ” ความเสียใจเริ่มถาโถม น้ำตาที่ไม่อาจกลั้นเริ่มไหลรินออกมาไม่ขาดสาย “นาย...ก่อนหน้านี่ทำไมไม่พูดออกมาอย่างนี้ นายมาบอกรักฉันทำไม! แล้วทำไมไม่เลิกกับฉันก่อนหน้านี้! ทำไมต้องรอจนถึงวันนี้! นายใจร้ายมาก มากเกินไปแล้วจริงๆ ฮือ...”เสียงฟ้าร้องคำรามออกมาราวกับโกรธแค้น สายลมที่พัดโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำจนแทบมองไม่เห็นแม้แต่ดวงจันทร์ที่คอยสาดแสงยามค่ำคืนตอนนี้ ณ ที่ดาดฟ้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่ มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนทะเลาะกันอยู่นาน ฝ่ายหญิงสวมชุดแต่งงานสีขาวสะอาดยืนร้องไห้แทบขาดใจ ช่างแตกต่างกับอีกคนที่ยืนมองอย่างเรียบเฉย มือทั้งสองข้างสอดเข้าที่กางเกง มองดูเธอด้วยสายตาที่