ในที่สุดวันเวลาที่ต้องทนอยู่บนเรือก็ได้สิ้นสุดลงสักที จื่อเวยรู้สึกค่อนข้างอึดอัดอยู่แทบจะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอมักจะรู้สึกได้ว่าเธอถูกจับตามอง
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมักจะจ้องมองมาที่เธอแทบจะทุกเวลาที่มีโอกาส
“คุณหนูจะทำยังไงต่อกับเสี่ยวเจี้ยนเจ้าคะ” ถิงถิงเอ่ยออกมาเมื่อมาถึงจวนเล็ก ที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองซวนชี
จวนแห่งนี้คือจวนของท่านตาของหานลี่อิน ก่อนที่จะทำการค้าจนรุ่งเรืองกลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งอย่างเช่นทุกวันนี้
“ไล่เค้าไป” จื่อเวยเดิมไม่ใช่คนใจดำ แต่เพราะเธอไม่ถูกชะตากับคนผู้นี้ เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกจับตามองจากคนคนนี้อยู่ตลอดเวลา
“แน่ใจเหรอขอรับ ท่านเป็นคนเก็บมาเองกับมือเลยนะ” สวีห้าวย้ำในการกระทำของเธอ
“แล้วจะทำไม ช่วยคนจากความตายไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลี้ยงนี้! ไปบอกเสี่ยวเจี้ยนไป” จื่อเวยย้ำกับสวีห้าว
“ขอรับคุณหนู” ท่าทีและการกระทำของสวีห้าวแสดงให้รู้สึกถึงการล้อเลียนเธอ
“ฮ่า ฮ่า” ถิงถิงเองก็หัวเราะออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
สองวันที่ผ่านมาจื่อเวยได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพวกเค้าสองพี่น้อง
แม้ว่าสวีห้าวและถิงถิงจะรู้สึกว่าคุณหนูของพวกเค้านิสัยเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก แต่พวกเค้าก็รู้สึกได้ถึงความจริงใจที่จื่อเวยแสดงออกมาและอีกอย่างคือพวกเค้าคิดว่าอาจเป็นผลของการเป็นไข้พิษที่เธอเป็นก่อนหน้านี้
“เลิกหัวเราะแล้วไปจัดข้าวของได้แล้ว คืนนี้เราต้องพักที่นี้นะ” จื่อเวยแกล้งเอ็ดเบาๆ
“เจ้าคะคุณหนู”
ทั้งสองสาวเดินเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี จนไม่ทันสังเกตว่าพวกตนนั้นถูกสายตาคมจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
สวีห้าวเดินเข้ามาใกล้ ทำให้ใบหน้าคมหันกลับมามองที่สวีห้าวแทน ผิวขาวเนียนเช่นคุณชาย รูปร่างที่มีแต่กล้ามเนื้อล่ำสันของเสี่ยวเจี้ยนทำให้พวกทาสด้วยกันต่างมองว่าเค้าอาจเป็นคุณชายที่โดนลอบทำร้ายแล้วพลัดตกเรือมาแน่ๆ แต่เพราะเสี่ยวเจี้ยนไม่ยอมพูดหรือแสดงอาการเช่นคุณชายออกมา เค้าทำงานช่วยผู้ชายบนเรือได้อย่างคล่องแคล่วตลอดสองวันที่ผ่านมา ดังนั้นทุกคนจึงไม่เอ่ยอะไรออกมา
“เจ้ามองอะไรเสี่ยวเจี้ยน” สวีห้าวเอ่ยทัก
“ไม่มีอะไร เจ้าหาข้ามีอะไร”
น้ำเสียวห้าวมีพลังของเค้าทำเอาสวีห้าวรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามช่างหน้าเกรงขามนัก
“ไม่มีอะไร คุณหนูแค่ให้ข้ามาบอกเจ้าว่าให้เจ้าไปได้แล้ว”
“ไปได้แล้ว? ไปไหน? ไล่ข้า...”
“ไม่สิ เจ้าเป็นใครมาจากไหนก็กลับไปได้แล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว เจ้าควรกลับไปหาครอบครัว หายมาแบบนี้ทุกคนอาจกำลังตามหาเจ้า” สวีห้าวพยายามหาเหตผลมาอ้าง
สวีห้าวรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้น่ากลัวจนไม่กล้ากล่าวออกมาตรงๆว่าคุณหนูไล่เค้าให้ไปอยู่ที่อื่น
“ข้าไม่มีครอบครัว ไม่มีที่ให้ไป...” เสี่ยวเจี้ยนมองดูรอบๆจวนอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยออกมา “ข้าจะอยู่ที่นี้”
“เอ่อ...เจ้าจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร เจ้าไม่ใช่คนงานของที่นี้ และคุณหนูก็อาจจะไม่รับคนงานเพิ่ม...ก็ได้”
“ขอเพียงข้าว อย่างอื่นไม่เอา ข้าอยู่เป็นคนงานของที่นี้ได้”
“เอ่อ...เดี๋ยวข้าขอไปแจ้งกับคุณหนูก่อน ไม่รู้ว่าคุณหนูจะตกลงไหม” สวีห้าวไม่กล้าปฏิเสธเอง จึงคิดที่จะให้คุณหนูมาพูดเอง
“อื่ม...ข้าจะรอตรงนี้”
สวีห้าวพยักศรีษะเล็กน้อยเป็นเชิงรับรู้ก่อนที่จะเดินจากไป
เสี่ยวเจี้ยน...
คิดจะไล่ข้าหรือหานลี่อิน เจ้าคิดง่ายไปแล้ว...ไม่มีทาง
ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าเจ้าจะทำอะไรกันแน่ หนีงานแต่งแล้วคิดว่าจะมาหลบที่ซวนชีอย่างงั่นเหรอ หึ!คิดว่าจะหลบพ้นหรือไงกัน ฟ้าก็ช่างเป็นใจเสียจริงแม้จะหลบข้ายังไงเจ้าก็ยังได้มาอยู่ตรงหน้าข้าเช่นเดิม..หานลี่อินเอ่ยหานลี่อิน
“เจ้าว่าอะไรนะสวีห้าว...นี้ข้าให้เจ้าไปไล่เจ้านั้นไม่ใช่เหรอ...”
“คุณหนู...ข้าว่าท่านต้องไปพูดเอง...ข้าดูท่าทางแล้วเสี่ยวเจี้ยนไม่ไปไหนแน่ ดูเค้าตั้งท่าจะเป็นคนงานของจวนเราแน่ๆ”
“บ้าไปแล้ว เจ้าของบ้านไล่ไปกลับไม่ไป มันได้เหรอวะ”
“อะไรเจ้าคะคุณหนู ท่านพูดอะไร” ถิงถิงที่กำลังเตรียมเก็บข้าวของอยู่เอ่ยออกมา นางเองก็ยังไม่ค่อยชินกับคำพูดของคุณหนูของนางสักเท่าไหร่
“ไม่มีอะไร เก็บของเจ้าไปเถอะ” จื่อเวยขี้เกียจจะอธิบาย เธอหันไปหาสวีห้าว “ไปบอกเสี่ยวเจี้ยนว่าข้าวก็เลี้ยงไม่ไหว ไปหาอยู่ที่อื่นเถอะ”
“ข้าว่าท่านไปพูดเองเถอะ ข้าขอตัว” สวีห้าวปฏิเสธก่อนที่จะขอตัวแล้วเดินหนีเธอไปเลย
...อะไรวะ ไล่คนสักคนนี้มันยากขนาดนี้เลยเหรอไงกัน
จื่อเวยเองก็ค่อนข้างรู้สึกหวาดๆอยู่เช่นกันเมื่อต้องสบสายตากับเสี่ยวเจี้ยนตรงๆ ไม่รู้เป็นอะไรกันทำไมคนผู้หนึ่งที่เป็นเพียงคนงานในจวนของเธอถึงได้มีความน่าเกรงขามแบบนี้ แม้กระทั้งคุณหนูแบบเธอยังรู้สึกหวาดเกรง
เธอต้องออกมาพูดเองเมื่อไม่มีใครกล้าออกมาพูด
“คุณหนู...ท่าจะจ้องข้าอีกนานไหม ทำไมไม่พูด”
“เอ่อ...เสี่ยวเจี้ยน เจ้า...เจ้าต้องไปอยู่ที่อื่น ข้าไม่สามารถเลี้ยงใครได้อีกแล้ว ต่อไปนี้ข้าเองก็จะไม่ใช่คุณหนูแล้ว ข้าหนีออกมาจากตระกูลหาน มีความผิดติดตัว ขัดราชโองการ หากวันไหนถูกจับได้คนที่นี้อาจโดนจับประหารทั้งหมด หากเจ้าอยู่เจ้าเองก็อาจไม่รอดเหมือนกัน”
“ข้าไม่กลัว ชีวิตข้าท่านเป็นคนเก็บมา ตายไม่เสียดาย และอีกอย่างหากเลี้ยงไม่ไหว ข้าไม่กินก็ได้ ขอเพียงที่อยู่ ท่านว่าไง”
พูดเรื่องนี้แล้วยังไม่กลัวอีก คนบ้าอะไรเนี้ย หากเป็นคนอื่นมีโอกาสหนีได้นี้คงรีบไปให้ไวแน่!
“เจ้าไม่กลัวเลยเหรอ เจ้าดูสิคนงานของข้าที่รู้เรื่องหนีราชโองการมาเก็บของหนีข้าไปจนหมด” จื่อเวยพยายามยกตัวอย่างว่าคนที่เป็นทาสของเธอเองก็ไปแล้วเช่นกัน
“ข้าไม่สน ท่านพูดมาจะให้ข้าอยู่หรือไม่” แม้เป็นคำถาม แต่จื่อ
เวยกลับรู้สึกได้ว่าเป็นคำขู่ของคนตรงหน้า“เอ่อ...ไม่กลัวก็อยู่...ตามใจเจ้า งั้นข้าไปละ”
“อื่ม...”
จื่อเวยรีบเดินหนีออกจากตรงนั้นทันที เธอรู้สึกอึดอัดไปหมด
คนบ้าอะไรหน้าตาก็หล่อแต่กลับมีรังสีอำมหิต ข่มคนเป็นบ้าเลย ยังเห็นฉันเป็นคุณหนูอยู่ไหมวะ อย่างน้อยๆฉันก็เป็นคนช่วยนายมานะเว้ย!
จื่อเวยเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับเข้าจวนไป เธอแสดงอาการไม่พอใจจนถิงถิงที่นั่งรออยู่ด้านในห้องถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับท่าทางของเธอ
“สำเร็จไหมคุณหนู”
“ดูหน้าข้าสิ เจ้าคิดว่าไงละ”
“ทำไมคุณหนูถึงไม่อยากให้เสี่ยวเจี้ยนอยู่ละเจ้าคะ มีคนมาเพิ่มออกจะดี ข้าว่าเราอยู่กันแค่สามคนมันดูน่ากลัวไปหน่อยอยู่นะเจ้าคะ”
“ก็เป็นสี่คนแล้วไง พอใจหรือยัง”
“ไม่กล้าๆเจ้าคะ”
“ข้าว่าเจ้ากล้ามาก ดูสิยิ้มกว้างเชียว”
“ฮ่าๆ อย่างอนสิเจ้าคะ เดี๋ยวข้าไปทำอะไรให้กินนะ รออยู่นี้นะเจ้าคะ”
“ก็ต้องอยู่นี้ละ ไปไหนได้ละ”
ถิงถิงหัวเราะร่าเดินออกไปทางครัวอย่างอารมณ์ดี
ทำยังไงดีนะ ฉันไม่ชอบนายนั้นเลยสักนิด ดูท่าทางที่ดุดันแบบนั้นต้องมีเรื่องไม่ดีตามมาอีกแน่ ไหนจะเรื่องที่ยัยหานลี่อินก่อไว้อีก ตายแน่ๆ ตายซ้ำตายซ้อนแน่ยัยจื่อเวยเอ้ย!
กลางดึก
ยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าราวกับเพชรที่ประดับอยู่บนผืนผ้า แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาราวกับเป็นแสงนำทางให้กับผู้ที่กำลังเดินหลงทางในความมืดมิดของผืนป่าแห่งนี้...
เสียงย่ำเท้าของม้าวิ่งตรงไปเรื่อยๆเหมือนคนที่ควบมันอยู่ต้องการเดินทางให้ถึงเป้าหมายอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...
ในที่สุดม้าก็ชะลอความเร็วแล้วหยุดลงอยู่กับที่เมื่อถึงเป้าหมาย
“หลินเจี้ยนกั๋ว”
...............
ตอนที่4กอด“ตามเร็วดีนี้ ไม่เสียทีที่ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้” หลินเจี้ยวกั๋วเอ่ยชมออกมาอย่างพอใจในผลงานของสหายตน“เจ้าก็ว่าไป ว่าแต่แผลเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนี้ ทำไมไม่กลับค่าย ต้องรอให้ข้ามาตามกลับหรือไง” ชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ แต่กลับมีฐานะเป็นถึงรองแม่ทัพของค่าย“พอดีมีเรื่องให้ทำ ข้าไม่รีบ ยังไงที่นั้นก็ยังมีเจ้า”“แต่พวกเราต้องเดินทางกันต่อแล้ว เสียเวลาให้เจ้าเล่นละครมามากแล้ว”“เอาน่า เสียเวลานิดหน่อยแต่จับหนอนบ่อนไส้ได้ก็ดีมากแล้ว”“แต่มันก็เสี่ยงเกินไป หากมีดนั้นโดนจุดสำคัญเจ้าจะทำยังไง และนี้ยังดีที่มีคนช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำได้ทัน หากช้าอีกนิดเจ้าคงได้เป็นผีเฝ้าทะเลจริงๆแล้ว หากเจ้าตายเป็นผีจริงๆมีหวังท่านลุงได้ตามฆ่าข้าเป็นคนแรกแน่ๆ”“เอาน่าคุณชายไป๋ซูท่านเจอข้าแล้วก็ควรกลับค่าย แล้วออกเดินทางได้แล้ว ส่วนข้าเจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวถึงเวลาข้าก็กลับเอง” หลินเจี้ยนกั๋วยิ้มกริ่มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำ“เจ้าคิดจะทำอะไร ทำไมยิ้มอย่างนั้น” ไป๋ซูนึกหวั่น เพราะน้อยนักที่เพื่อนของตนจะมีท่าทีเช่นนี้“ไม่ต้องคิดมาก นี้! ข้าฝากจดหมายถึงท่านพ่อด้วย บอกให้รีบจัดการให้ข้าก่อนที่ข้
ตอนที่3ไล่ก็ไม่ไปในที่สุดวันเวลาที่ต้องทนอยู่บนเรือก็ได้สิ้นสุดลงสักที จื่อเวยรู้สึกค่อนข้างอึดอัดอยู่แทบจะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอมักจะรู้สึกได้ว่าเธอถูกจับตามองดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมักจะจ้องมองมาที่เธอแทบจะทุกเวลาที่มีโอกาส“คุณหนูจะทำยังไงต่อกับเสี่ยวเจี้ยนเจ้าคะ” ถิงถิงเอ่ยออกมาเมื่อมาถึงจวนเล็ก ที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองซวนชีจวนแห่งนี้คือจวนของท่านตาของหานลี่อิน ก่อนที่จะทำการค้าจนรุ่งเรืองกลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งอย่างเช่นทุกวันนี้“ไล่เค้าไป” จื่อเวยเดิมไม่ใช่คนใจดำ แต่เพราะเธอไม่ถูกชะตากับคนผู้นี้ เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกจับตามองจากคนคนนี้อยู่ตลอดเวลา“แน่ใจเหรอขอรับ ท่านเป็นคนเก็บมาเองกับมือเลยนะ” สวีห้าวย้ำในการกระทำของเธอ“แล้วจะทำไม ช่วยคนจากความตายไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลี้ยงนี้! ไปบอกเสี่ยวเจี้ยนไป” จื่อเวยย้ำกับสวีห้าว“ขอรับคุณหนู” ท่าทีและการกระทำของสวีห้าวแสดงให้รู้สึกถึงการล้อเลียนเธอ“ฮ่า ฮ่า” ถิงถิงเองก็หัวเราะออกมาอย่างโจ่งแจ้งสองวันที่ผ่านมาจื่อเวยได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพวกเค้าสองพี่น้องแม้ว่าสวีห้าวและถิงถิงจะรู้สึกว่าคุณหนูของพวกเค้านิสัยเปลี่ยน
ตอนที่2เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่เพียงเปิดประตูจื่อเวยก็ได้ยินเสียงคลื่นน้ำทะเลที่กระทบกับตัวเรือเป็นจังหวะ สายลมพัดโชยเย็นผ่านใบหน้ารูปไข่ ผิวที่ขาวเนียนระเอียด ดวงตากลมโตสีดำแวววาวขึ้นมาทันที เมื่อทอดมองภาพตรงหน้าท้องฟ้าสีครามสดใสตัดกับสีฟ้าครามของผืนน้ำกว้างใหญ่จนสุดสายตา ดวงอาทิตย์สีทองค่อยๆลับขอบฟ้า ภาพที่ปรากฏตรงหน้าช่างงดงามราวกับภาพวาดความจริงสินะ! นี้ฉันย้อนเวลามาที่นี้ได้ยังไงกัน“คุณหนูอย่าเดินไปใกล้ขอบเรือนักสิเจ้าคะ ลมยิ่งแรงเดี๋ยวพัดตกลงไปนะเจ้าคะ” ถิงถิงจับที่ชายเสื้อของจื่อเวยไม่ปล่อย“ไม่ตกหรอก ลมแค่นี้”“กันไว้ก่อนดีกว่านะเจ้าคะ” ดวงหน้าที่แสดงออกมาว่าเป็นห่วงอย่างชัดเจนของถิงถิง ทำให้จื่อเวยยอมถอยออกมาเล็กน้อย“พอใจหรือยัง”“ออกมาอีกนิดจะดีกว่านี้เจ้าคะ”“พอแล้ว คนทั้งคนนะ จะปลิวง่ายๆเลยหรือไงกัน”“คุณหนูตัวเล็กนิดเดียวเองนะเจ้าคะ แค่ลมพัดก็ล้มได้แล้ว”“บ้าน่า!”“อะไรนะเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร” จริงด้วย ยัยหานลี่อินนี้มีหน้าตาเป็นยังไงกันนะ? “ถิงถิงมีกระจกไหม?”“มีสิเจ้าคะ อยู่ในห้อง ทำไมหรือเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร” เดี๋ยวค่อยเข้าไปดูละกัน “นั้นเค้าทำอะไรกัน”จื่อเวยชี้นิ้วไปท
ตอนที่1หานลี่อินหุบเขาแม่น้ำหวง“สวีห้าวท่านจะทำยังไงต่อ คุณหนูไม่หายใจแล้ว...ฮือ... พวกเราไม่รอดแน่ หากเรื่องนี้ไปถึงหูนายท่านผู้เฒ่า” เสียงหญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างกังวน “ความผิดที่หลบหนีก็มากพอแล้ว...”“แล้วจะให้ข้าทำยังไง พวกเราทุกคนที่อยู่บนเรือนี้! ยังไงก็ไม่มีทางหนีรอด ยิ่งเจ้ากับข้าที่รับใช้คุณหนูยิ่งไม่มีทางหนีรอดได้ เจ้าทำใจเถอะถิงถิง”ถิงถิง สาวรับใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่ตระกูลหาน นางและคุณหนูของนางติดตามเรือสินค้าของตระกูลมาที่เมืองซวนชีเพื่อที่จะหลบหนีการแต่งงานที่ทางตระกูลจัดขึ้น แต่พอเดินทางมาได้เพียงครึ่งทางคุณหนูของนางกลับเกิดอาการเป็นไข้พิษ บนเรือก็ไม่มีหมอ แม้สวีห้าวจะพยายามเดินเรือให้เร็วขึ้นสักแค่ไหน คุณหนูของพวกเค้าก็ไม่อาจต้านทานไหว อาการไข้พิษเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนร่างบางค่อยๆหมดลมหายใจไป...“คุณหนู...”หญิงสาวร่างบางสวมชุดผ้าฝ้ายสีสันสดใส แต่กลับมีสีผิวที่ขาวซีด นางนอนอยู่บนฟูกหนา ร่างที่ไร่วิญญาณนอนแน่นิ่งอย่างสงบถิงถิงกุมมือของเจ้านายไว้ไม่ห่าง ด้วยความเสียใจ“คุณหนูหากข้าไม่มีท่านแล้วข้าจะอยู่ยังไง...ท่านต้องเหงาแน่ ฮื่อ...หากเป็นเช่นนี้งั้นข้าก็ควรจะตายเป
อารัมภบท“ตลอดเวลาที่อยู่กับเธอชีวิตฉันมันไม่ได้ต่างอะไรกับขอทานเลยสักนิด! จื่อเวย เธอต้องหัดยอมรับความจริงแล้วปล่อยฉันไปได้แล้ว!”ท่าทีเกรี้ยวกราด พร้อมเสียงที่ตะคอกออกมาอย่างสุดทนของฝ่ายตรงข้ามทำเอาหญิงสาวอย่างจื่อเวย สาวแว่นที่มีชีวิตเชยๆไปวันๆถึงกับทำตัวไม่ถูกนี้เธอผิดอะไรกัน ก่อนหน้านี้เค้าคือคนที่มาบอกรักกับเธอเอง ไม่ใช่เหรอ“ซิงเยียนทำไมนายพูดอย่างนี้ ก่อนหน้านี้นายเป็นคนมาบอกรักฉันเองไม่ใช่เหรอ” ความเสียใจเริ่มถาโถม น้ำตาที่ไม่อาจกลั้นเริ่มไหลรินออกมาไม่ขาดสาย “นาย...ก่อนหน้านี่ทำไมไม่พูดออกมาอย่างนี้ นายมาบอกรักฉันทำไม! แล้วทำไมไม่เลิกกับฉันก่อนหน้านี้! ทำไมต้องรอจนถึงวันนี้! นายใจร้ายมาก มากเกินไปแล้วจริงๆ ฮือ...”เสียงฟ้าร้องคำรามออกมาราวกับโกรธแค้น สายลมที่พัดโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำจนแทบมองไม่เห็นแม้แต่ดวงจันทร์ที่คอยสาดแสงยามค่ำคืนตอนนี้ ณ ที่ดาดฟ้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่ มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนทะเลาะกันอยู่นาน ฝ่ายหญิงสวมชุดแต่งงานสีขาวสะอาดยืนร้องไห้แทบขาดใจ ช่างแตกต่างกับอีกคนที่ยืนมองอย่างเรียบเฉย มือทั้งสองข้างสอดเข้าที่กางเกง มองดูเธอด้วยสายตาที่