หุบเขาแม่น้ำหวง
“สวีห้าวท่านจะทำยังไงต่อ คุณหนูไม่หายใจแล้ว...ฮือ... พวกเราไม่รอดแน่ หากเรื่องนี้ไปถึงหูนายท่านผู้เฒ่า” เสียงหญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างกังวน “ความผิดที่หลบหนีก็มากพอแล้ว...”
“แล้วจะให้ข้าทำยังไง พวกเราทุกคนที่อยู่บนเรือนี้! ยังไงก็ไม่มีทางหนีรอด ยิ่งเจ้ากับข้าที่รับใช้คุณหนูยิ่งไม่มีทางหนีรอดได้ เจ้าทำใจเถอะ
ถิงถิง”ถิงถิง สาวรับใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่ตระกูลหาน นางและคุณหนูของนางติดตามเรือสินค้าของตระกูลมาที่เมืองซวนชีเพื่อที่จะหลบหนีการแต่งงานที่ทางตระกูลจัดขึ้น แต่พอเดินทางมาได้เพียงครึ่งทางคุณหนูของนางกลับเกิดอาการเป็นไข้พิษ บนเรือก็ไม่มีหมอ แม้สวีห้าวจะพยายามเดินเรือให้เร็วขึ้นสักแค่ไหน คุณหนูของพวกเค้าก็ไม่อาจต้านทานไหว อาการไข้พิษเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนร่างบางค่อยๆหมดลมหายใจไป...
“คุณหนู...”
หญิงสาวร่างบางสวมชุดผ้าฝ้ายสีสันสดใส แต่กลับมีสีผิวที่ขาวซีด นางนอนอยู่บนฟูกหนา ร่างที่ไร่วิญญาณนอนแน่นิ่งอย่างสงบ
ถิงถิงกุมมือของเจ้านายไว้ไม่ห่าง ด้วยความเสียใจ
“คุณหนูหากข้าไม่มีท่านแล้วข้าจะอยู่ยังไง...ท่านต้องเหงาแน่ ฮื่อ...หากเป็นเช่นนี้งั้นข้าก็ควรจะตายเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่เจ้าคะ...” ถิงถิงเบนสายตาที่จ้องมองคุณหนูของนางไปมองที่เหลี่ยมเสาภายในตัวเรือแทน
“เจ้าคิดจะทำอะไร หากเจ้าตายข้าจะทำยังไง เจ้าบ้าหรือถิงถิง หากเจ้าตายข้าจะโยนร่างคุณหนูของเจ้าทิ้งลงแม่น้ำนี้ซะ!” สวีห้าวเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
สวีห้าวคือพี่ชายของถิงถิง คนทั้งคู่ถูกคุณหนูใหญ่ตระกูลหานรับมาเลี้ยงเมื่อวัยเยาว์ เมื่อสิบปีที่แล้วคนทั้งสองเกือบต้องอดตายที่ข้างทางแต่แล้วก็มีบุญได้เจอกับคุณหนูของพวกเค้า ถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็เถอะ
“ท่านกล้าหรือ”
“กล้า!”
“นี้ท่าน!”
ถิงถิงที่กำลังถกเถียงกับที่ชายอยู่นั้น จู่ๆนางก็สัมผัสได้ถึงแรงบีบบนมือเล็กของตน
ใบหน้าที่มีแต่หยาดน้ำตาอยู่นั้นก็รีบหันกลับมามองที่มือของตนเองทันที
มือเล็กขยับไปมาอย่างเบาแรง เปลือกตาของคนบนฟูกก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ทำเอาสองที่น้องที่กำลังถกเถียงกันอยู่นั้นรีบวิ่งหนีไปที่มุมห้องทันที
สองพี่น้องยืนกอดกันแน่นด้วยความกลัว
“สวีห้าว...ท่าน ท่าน เกิด...เกิดอะไรขึ้น ผีคุณหนูเหรอ”
“ข้าจะรู้เหรอ...”
ทั้งสองมองไปยังที่คุณหนูของตน
ร่างบางค่อยๆขยับตัวไปมาอย่างเบาแรง ด้วยความปวดตัวเหมือนโดนสูบแรงไปอย่างมหาศาล ความเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้เธอมึนงงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ลักษณะ การตกแต่ง สิ่งของต่างๆ ทำเอาเธอรู้สึกแปลกประหลาดไปหมด
นี้ฉันตายหรือยังวะ? ที่นี้ที่ไหน? สวรรค์เหรอ? ไม่น่าใช่... สวรรค์คงไม่มีสภาพแบบนี้แน่ ที่นี้ที่ไหนทำไม่รู้สึกโครงเครงเหมือนอยู่บนเรือ?
เรือเหรอ?ถิงถิงและสวีห้าวต่างก็จ้องมองดูคุณหนูของพวกเค้าที่ ทำท่าทีแปลกประหลาด
“คุณหนู...คุณหนูเป็นผะ...ผี หรือเจ้าคะ” ถิงถิงเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
จื่อเวยหันไปจ้องมองที่ถิงถิงอย่างสงสัยเช่นกัน
คุยกับฉันเหรอ? “ฉันเหรอ?” จื่อเวยชี้มาที่ตัวเอง
“ฉันเหรอ? อะไรหรือเจ้าคะคุณหนู?”
คุณหนู?
“คุณหนูจำตัวเองไม่ได้หรือ?” สวีห้าวเอ่ยย้ำ
“ที่นี้ที่ไหนคะ ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” จื่อเวยเอ่ยถามอย่างมึนงง พลางลูบคลำดูที่ใบหน้าและการแต่งตัวของตัวเอง
แปลก! ฉันตายแล้วเกิดใหม่เหรอเนี้ย เกิดใหม่แล้วเหรอ ทำไมโตเลยวะ ไม่เป็นเด็กก่อนเหรอ?ค่อยโต อะไรเนี้ย!
“คุณหนูหมายถึงเราถึงไหนแล้วเหรอเจ้าคะ”
“หือ...อยู่ไหน” จื่อเวยเองก็ยังมึนงง ทุกอย่าง การแต่งตัวล้วนแปลกไปหมด เหมือนเธอย้อนกลับมาอยู่ในยุคโบราณ
โบราณ! ใช่! การแต่งตัวแบบนี้ อย่าบอกนะว่า...เหอะ! ไม่หรอกมั้ง เรื่องแบบนี้ควรมีแค่ในละคร ต้องไม่ใช่!
ถิงถิงยังคงไม่กล้าเข้ามาใกล้คุณหนูของตน แต่ก็ยังตอบคำถามของนาง แม้จะมีคำพูดและการกระทำที่แปลกประหลาดไปก็เถอะ
คงเพราะพิษไข้ถึงทำให้คุณหนูแปลกไป
“ตอนนี้เราเดินเรือถึงหุบเขาแม่น้ำหวงแล้วเจ้าคะ”
“ใช่แล้วขอรับ ตอนนี้พวกเราใกล้เข้าเขตซวนชีแล้ว”
หุบเขาแม่น้ำหวง? เขตซวนชี? เจ้าคะ...ขอรับอย่างงั้นเหรอ? ตลกไปกันใหญ่แล้ว!
“ชื่ออะไร” จื่อเวยชี้นิ้วไปที่ถิงถิง
“ข้า” ถิงถิงชี้นิ้วมาที่ตัวเองเช่นกัน ด้วยท่าทีมึนงง “ถิงถิงไงเจ้าคะ คุณหนู...ท่านอย่าทำให้ข้ากลัวอย่างนี้สิ นี้ท่านจำไม่ได้แม้แต่ข้าเลยหรือ”
ถิงถิงทำท่าทีเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที“เจ้า...” จื่อเวยชี้มาทางสวีห้าวที่อยู่ข้างถิงถิง
“ข้าน้อยสวีห้าวขอรับคุณหนู”
“เป็นคู่รักกันเหรอ” จื่อเวยเห็นคนทั้งคู่ยืนอยู่ข้างกันไม่ห่างจึงถามออกมาด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ฮือ...คุณหนูจำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ ฮือ...ข้ากับเค้าเราเป็นพี่น้องกัน ตอนนั้นคุณหนูเป็นคนรับพวกเรามาอยู่ด้วยตัวเองนะเจ้าคะ ท่านจำไม่ได้แล้วจริงๆหรือเจ้าคะ ฮือ...” ถิงถิงร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าคุณหนูของตนจำตัวเองไม่ได้แล้ว
“อย่าร้องสิ ฉันก็แค่ถาม จะร้องไห้ทำไม” จื่อเวยเดินเข้ามาใกล้
ถิงถิง“ฉันขอคุยกับเจ้าสองคนได้ไหม?”
“งั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับคุณหนู ถิงถิงข้าจะรออยู่ด้านนอกมีอะไรให้รีบเรียกเข้าใจไหม” สวีห้าวหันไปพูดกำชับกับถิงถิงก่อนที่จะเดินออกไป
ถิงถิงพยักหน้ารับ แต่ก็ยังคงยืนร้องไห้อยู่เช่นเดิม
เจ้าน้ำตาจริงๆ
“นี้ถิงถิง เลิกร้องไห้ได้แล้ว มีอะไรเราค่อยๆคุยกันนะ เลิกร้อง” จื่อเวยจับที่ข้อแขนของถิงถิงแล้วพานางเดินมาที่ฟูกนั่ง
“อึก! คุณหนู...อึก คุณหนูจำอะไรไม่ได้แล้วจริงหรือเจ้าคะ”
ท่าทางร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนี้
ดูท่าจะรักเจ้านายมากสินะ“ฉันมีเรื่องจะถาม ส่วนถิงถิงมีหน้าที่ตอบโอเคไหม”
ใช่!เรื่องข้องใจทั้งหมดคงต้องถามคนตรงหน้านี้แล้ว
“โอเค...คืออะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” ดวงตาระรื่นด้วยน้ำตาหันมาถามจื่อเวยด้วยท่าทีสงสัย
“เอ่อ...ตกลงไหม ฉันถาม...ส่วนเธอตอบ” จื่อเวยพยายามใช่ภาษากายเข้าช่วยโดยการชี้นิ้วมาที่ตัวเองและถิงถิง
“เจ้าคะ” แม้ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่แต่ถิงถิงก็ตอบตกลง
“ดีมาก อย่างแรก ฉันชื่ออะไร” ถิงถิงยังคงทำท่าทีสงสัยกับคำถามของจื่อเวย “เอาใหม่ ตัวข้าชื่ออะไร” จื่อเวยพยายามชี้มาที่ตัวเอง
“ท่านชื่อหานลี่อิน จำได้ไหมเจ้าคะ”
“หานลี่อิน...” อื่ม...ชื่อเพราะดี “เมื่อกี่...อะไรนะ...เจ้าบอกว่าข้าจะไปที่ซวนชีไช่ไหม”
“เจ้าคะ”
“ข้าจะไปทำไม”
“ท่านจะหนีไปทำการค้าที่นั้นแล้วก็เอ่อ...หนีการแต่งงานด้วย”
“ห๊ะ!”
“มีอะไรหรือเปล่าขอรับ” สวีห้าวที่ได้ยินเสียงร้องเสียงดังจึงรีบเปิดประตูเข้ามาถาม
“ไม่...ไม่มีอะไร ออกไปก่อนเถอะ” เมื่อตั้งสติได้จื่อเวยจึงรีบตอบทันที
“ขอรับ”
“ถิงถิงก่อนหน้านี้ข้าเป็นอะไรไป เมื่อกี้ดูท่าทางเจ้าดูกลัวข้า”
“ก็ท่าน...ท่านเป็นไข้พิษมาหลายวัน ก่อนหน้านี้สักครึ่งกานธูปท่านก็ไม่หายใจแล้ว ตอนนั้นข้ายังคิดที่จะโดดน้ำตายตามท่าน แต่จู่ๆท่านก็ฟื้น...”
เข้าใจแล้ว...ที่แท้ฉันอาจจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนแล้วบังเอิญเจ้าของร่างนี้ก็ตายด้วยเหมือนกัน เลยทำให้ฉันมาเข้าร่างนี้แทนสินะ หึ! มาเข้าร่างยุคไหนกันนะ...โบราณซะขนาดนี้ แล้วฉันจะใช้ชีวิตยังไงวะเนี้ย! โอ๊ย! ตายอีกรอบได้ไหมนะ...เลือกที่ที่มันดีกว่านี้จะได้ไหม! พระเจ้า!!ท่านแกล้งกันหรือยังไง...
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านเป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนจะป่วยอีก”
“ใครป่วย...” จื่อเวยเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสีย “หานลี่อินเธอไปอยู่ไหนนะ” จื่อเวยเอ่ยออกมาเสียงเบา
“อะไรนะเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร เจ้าพาฉัน...เฮ้ย ข้าออกไปข้างนอกนั้นได้ไหม” จื่อ
เวยชี้ออกไปทางประตู เธอจึงอยากรู้ว่าข้างนอกนั้นเป็นยังไง“จะดีเหรอเจ้าคะ คุณหนูพึ่งจะ...”
“ดีสิ ข้าอยากเห็น”
“เอ่อ...ก็ได้เจ้าคะ รอสักครู่นะเจ้าคะ”
ถิงถิงลุกขึ้นเดินไปหาสวีห้าว ทั้งคู่คุยกันอยู่ก่อนสักพัก ถิงถิงก็เดินกลับมาหาจื่อเวยก่อนที่จะพาเธอออกไปด้านนอกอย่างที่เธอขอ...
ตอนที่4กอด“ตามเร็วดีนี้ ไม่เสียทีที่ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้” หลินเจี้ยวกั๋วเอ่ยชมออกมาอย่างพอใจในผลงานของสหายตน“เจ้าก็ว่าไป ว่าแต่แผลเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วนี้ ทำไมไม่กลับค่าย ต้องรอให้ข้ามาตามกลับหรือไง” ชายหนุ่มท่าทางเจ้าสำราญ แต่กลับมีฐานะเป็นถึงรองแม่ทัพของค่าย“พอดีมีเรื่องให้ทำ ข้าไม่รีบ ยังไงที่นั้นก็ยังมีเจ้า”“แต่พวกเราต้องเดินทางกันต่อแล้ว เสียเวลาให้เจ้าเล่นละครมามากแล้ว”“เอาน่า เสียเวลานิดหน่อยแต่จับหนอนบ่อนไส้ได้ก็ดีมากแล้ว”“แต่มันก็เสี่ยงเกินไป หากมีดนั้นโดนจุดสำคัญเจ้าจะทำยังไง และนี้ยังดีที่มีคนช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำได้ทัน หากช้าอีกนิดเจ้าคงได้เป็นผีเฝ้าทะเลจริงๆแล้ว หากเจ้าตายเป็นผีจริงๆมีหวังท่านลุงได้ตามฆ่าข้าเป็นคนแรกแน่ๆ”“เอาน่าคุณชายไป๋ซูท่านเจอข้าแล้วก็ควรกลับค่าย แล้วออกเดินทางได้แล้ว ส่วนข้าเจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวถึงเวลาข้าก็กลับเอง” หลินเจี้ยนกั๋วยิ้มกริ่มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองจะทำ“เจ้าคิดจะทำอะไร ทำไมยิ้มอย่างนั้น” ไป๋ซูนึกหวั่น เพราะน้อยนักที่เพื่อนของตนจะมีท่าทีเช่นนี้“ไม่ต้องคิดมาก นี้! ข้าฝากจดหมายถึงท่านพ่อด้วย บอกให้รีบจัดการให้ข้าก่อนที่ข้
ตอนที่3ไล่ก็ไม่ไปในที่สุดวันเวลาที่ต้องทนอยู่บนเรือก็ได้สิ้นสุดลงสักที จื่อเวยรู้สึกค่อนข้างอึดอัดอยู่แทบจะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอมักจะรู้สึกได้ว่าเธอถูกจับตามองดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมักจะจ้องมองมาที่เธอแทบจะทุกเวลาที่มีโอกาส“คุณหนูจะทำยังไงต่อกับเสี่ยวเจี้ยนเจ้าคะ” ถิงถิงเอ่ยออกมาเมื่อมาถึงจวนเล็ก ที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองซวนชีจวนแห่งนี้คือจวนของท่านตาของหานลี่อิน ก่อนที่จะทำการค้าจนรุ่งเรืองกลายเป็นตระกูลที่มั่งคั่งอย่างเช่นทุกวันนี้“ไล่เค้าไป” จื่อเวยเดิมไม่ใช่คนใจดำ แต่เพราะเธอไม่ถูกชะตากับคนผู้นี้ เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกจับตามองจากคนคนนี้อยู่ตลอดเวลา“แน่ใจเหรอขอรับ ท่านเป็นคนเก็บมาเองกับมือเลยนะ” สวีห้าวย้ำในการกระทำของเธอ“แล้วจะทำไม ช่วยคนจากความตายไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลี้ยงนี้! ไปบอกเสี่ยวเจี้ยนไป” จื่อเวยย้ำกับสวีห้าว“ขอรับคุณหนู” ท่าทีและการกระทำของสวีห้าวแสดงให้รู้สึกถึงการล้อเลียนเธอ“ฮ่า ฮ่า” ถิงถิงเองก็หัวเราะออกมาอย่างโจ่งแจ้งสองวันที่ผ่านมาจื่อเวยได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพวกเค้าสองพี่น้องแม้ว่าสวีห้าวและถิงถิงจะรู้สึกว่าคุณหนูของพวกเค้านิสัยเปลี่ยน
ตอนที่2เมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่เพียงเปิดประตูจื่อเวยก็ได้ยินเสียงคลื่นน้ำทะเลที่กระทบกับตัวเรือเป็นจังหวะ สายลมพัดโชยเย็นผ่านใบหน้ารูปไข่ ผิวที่ขาวเนียนระเอียด ดวงตากลมโตสีดำแวววาวขึ้นมาทันที เมื่อทอดมองภาพตรงหน้าท้องฟ้าสีครามสดใสตัดกับสีฟ้าครามของผืนน้ำกว้างใหญ่จนสุดสายตา ดวงอาทิตย์สีทองค่อยๆลับขอบฟ้า ภาพที่ปรากฏตรงหน้าช่างงดงามราวกับภาพวาดความจริงสินะ! นี้ฉันย้อนเวลามาที่นี้ได้ยังไงกัน“คุณหนูอย่าเดินไปใกล้ขอบเรือนักสิเจ้าคะ ลมยิ่งแรงเดี๋ยวพัดตกลงไปนะเจ้าคะ” ถิงถิงจับที่ชายเสื้อของจื่อเวยไม่ปล่อย“ไม่ตกหรอก ลมแค่นี้”“กันไว้ก่อนดีกว่านะเจ้าคะ” ดวงหน้าที่แสดงออกมาว่าเป็นห่วงอย่างชัดเจนของถิงถิง ทำให้จื่อเวยยอมถอยออกมาเล็กน้อย“พอใจหรือยัง”“ออกมาอีกนิดจะดีกว่านี้เจ้าคะ”“พอแล้ว คนทั้งคนนะ จะปลิวง่ายๆเลยหรือไงกัน”“คุณหนูตัวเล็กนิดเดียวเองนะเจ้าคะ แค่ลมพัดก็ล้มได้แล้ว”“บ้าน่า!”“อะไรนะเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร” จริงด้วย ยัยหานลี่อินนี้มีหน้าตาเป็นยังไงกันนะ? “ถิงถิงมีกระจกไหม?”“มีสิเจ้าคะ อยู่ในห้อง ทำไมหรือเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร” เดี๋ยวค่อยเข้าไปดูละกัน “นั้นเค้าทำอะไรกัน”จื่อเวยชี้นิ้วไปท
ตอนที่1หานลี่อินหุบเขาแม่น้ำหวง“สวีห้าวท่านจะทำยังไงต่อ คุณหนูไม่หายใจแล้ว...ฮือ... พวกเราไม่รอดแน่ หากเรื่องนี้ไปถึงหูนายท่านผู้เฒ่า” เสียงหญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างกังวน “ความผิดที่หลบหนีก็มากพอแล้ว...”“แล้วจะให้ข้าทำยังไง พวกเราทุกคนที่อยู่บนเรือนี้! ยังไงก็ไม่มีทางหนีรอด ยิ่งเจ้ากับข้าที่รับใช้คุณหนูยิ่งไม่มีทางหนีรอดได้ เจ้าทำใจเถอะถิงถิง”ถิงถิง สาวรับใช้คนสนิทของคุณหนูใหญ่ตระกูลหาน นางและคุณหนูของนางติดตามเรือสินค้าของตระกูลมาที่เมืองซวนชีเพื่อที่จะหลบหนีการแต่งงานที่ทางตระกูลจัดขึ้น แต่พอเดินทางมาได้เพียงครึ่งทางคุณหนูของนางกลับเกิดอาการเป็นไข้พิษ บนเรือก็ไม่มีหมอ แม้สวีห้าวจะพยายามเดินเรือให้เร็วขึ้นสักแค่ไหน คุณหนูของพวกเค้าก็ไม่อาจต้านทานไหว อาการไข้พิษเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนร่างบางค่อยๆหมดลมหายใจไป...“คุณหนู...”หญิงสาวร่างบางสวมชุดผ้าฝ้ายสีสันสดใส แต่กลับมีสีผิวที่ขาวซีด นางนอนอยู่บนฟูกหนา ร่างที่ไร่วิญญาณนอนแน่นิ่งอย่างสงบถิงถิงกุมมือของเจ้านายไว้ไม่ห่าง ด้วยความเสียใจ“คุณหนูหากข้าไม่มีท่านแล้วข้าจะอยู่ยังไง...ท่านต้องเหงาแน่ ฮื่อ...หากเป็นเช่นนี้งั้นข้าก็ควรจะตายเป
อารัมภบท“ตลอดเวลาที่อยู่กับเธอชีวิตฉันมันไม่ได้ต่างอะไรกับขอทานเลยสักนิด! จื่อเวย เธอต้องหัดยอมรับความจริงแล้วปล่อยฉันไปได้แล้ว!”ท่าทีเกรี้ยวกราด พร้อมเสียงที่ตะคอกออกมาอย่างสุดทนของฝ่ายตรงข้ามทำเอาหญิงสาวอย่างจื่อเวย สาวแว่นที่มีชีวิตเชยๆไปวันๆถึงกับทำตัวไม่ถูกนี้เธอผิดอะไรกัน ก่อนหน้านี้เค้าคือคนที่มาบอกรักกับเธอเอง ไม่ใช่เหรอ“ซิงเยียนทำไมนายพูดอย่างนี้ ก่อนหน้านี้นายเป็นคนมาบอกรักฉันเองไม่ใช่เหรอ” ความเสียใจเริ่มถาโถม น้ำตาที่ไม่อาจกลั้นเริ่มไหลรินออกมาไม่ขาดสาย “นาย...ก่อนหน้านี่ทำไมไม่พูดออกมาอย่างนี้ นายมาบอกรักฉันทำไม! แล้วทำไมไม่เลิกกับฉันก่อนหน้านี้! ทำไมต้องรอจนถึงวันนี้! นายใจร้ายมาก มากเกินไปแล้วจริงๆ ฮือ...”เสียงฟ้าร้องคำรามออกมาราวกับโกรธแค้น สายลมที่พัดโหมกระหน่ำ ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำจนแทบมองไม่เห็นแม้แต่ดวงจันทร์ที่คอยสาดแสงยามค่ำคืนตอนนี้ ณ ที่ดาดฟ้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในเมืองใหญ่ มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนทะเลาะกันอยู่นาน ฝ่ายหญิงสวมชุดแต่งงานสีขาวสะอาดยืนร้องไห้แทบขาดใจ ช่างแตกต่างกับอีกคนที่ยืนมองอย่างเรียบเฉย มือทั้งสองข้างสอดเข้าที่กางเกง มองดูเธอด้วยสายตาที่