ตัดมาที่อนาคินเขาพึ่งจะคุยงานกับลูกค้าเสร็จสองรายก็กินเวลาไปเกือบทั้งวัน ชายหนุ่มมองดูนาฬิกาข้อมือตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามกว่า ระหว่างนี้เขาก็กำลังรอคุณผู้ช่วยเลขาที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
“มัวไปทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าไปล้างเมคอัพแต่งหน้าใหม่อยู่หรอกนะ” เขาบ่นให้เธอที่หายไปนานสองนานแล้วแต่กระนั้นก็ไม่ได้คิดที่จะไปตาม เขาหยิบมือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา “น้ำตาล” ชายหนุ่มอุทานที่เห็นว่าเบอร์คู่นอนของเขาโทรเข้ามา ทีแรกเขาก็ปล่อยให้เธอวางสายไปเองเพราะไม่อยากจะรับ แต่สาวเจ้าก็ดันโทรจิกจนต้องรีบรับให้มันจบๆ ไป “มีอะไร” [“ทำไมพี่คินต้องพูดกับน้ำตาลห่างเหินแบบนั้นด้วยล่ะคะ เราไม่ได้เจอกันหลายวันแล้วนะ วันนี้น้ำตาลอยากไปกินหมาล่านะคะ”] ปลายสายพูดบอกเขาอย่างออดอ้อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงยอมแต่โดยดีพร้อมเตรียมไปเก็บค่าอาหารกันต่อบนห้องแล้ว แต่ตอนนี้เขายังมีบางอย่างที่สำคัญกว่าน่ะสิ แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่การทำงานด้วย “ไปไม่ได้หรอกน้ำตาลช่วงนี้ฉันไม่มีเงินต้องประหยัดนะ” เขาตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจนักสายตาคอยมองเข้าไปยังมุมห้องน้ำเพื่อดูว่าหญิงสาวที่เขารอจะออกมาตอนไหน [“อะไรกันคะ ไหนบอกว่าพี่ไปทำงานให้คุณพ่อแล้วนิ นี่ท่านยังไม่ให้เงินพี่ใช้อีกเหรอ”] น้ำเสียงของสาวปลายสายดูจะไม่พอใจนิดๆ แต่อนาคินก็ไม่ได้ใส่ใจ “ฉันบอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ แค่นี้นะ แล้วไม่ต้องโทรมากวนอีกล่ะ ฉันทำงานอยู่” เขารีบกดตัดสายทันทีเวลานั้นเจย่าก็เดินมาถึงตัวเขา อนาคินเอาแต่มองที่เธอพร้อมกับยิ้มๆ จนหญิงสาวนึกหมั่นไส้ “เราไปกันต่อเถอะค่ะ ท่านรองบอกว่าจะไปหาดูร้านที่จะมาลงห้างไม่ใช่เหรอ” เธอรีบเอ่ยถึงเรื่องงานที่คุยกันไว้ก่อนหน้า ทั้งยังทำเป็นจับไอแพดขึ้นมาดูตารางงานเพื่อหลบสายตาเขา “อยู่กันแค่สองคนแทนตัวเองว่าเจแล้วเรียกพี่คินเหมือนเดิมก็ได้นะ” เขาที่เริ่มรู้สึกว่าเธอเอาแต่ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว จึงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเรียกร้อง เจย่าเงยหน้ามองเขาก่อนจะหลบในทันทีเพราะรู้สึกถึงความหวั่นไหวบางอย่าง “แต่ตอนนี้มันเป็นเวลางานค่ะ ไปได้แล้วมั้งคะท่านรอง” เธอจ้องเขาอีกครั้งด้วยแววตามาดมั่นแล้วเดินออกไปรอเขาที่รถ อนาคินเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตาม รถของทั้งสองวิ่งเข้ามาจอด ณ ตลาดนัดของกินแห่งหนึ่ง เสียงพูดโห่ร้องขายของของเหล่าแม่ค้าพ่อค้า พร้อมกับกลิ่นหอมอบอวลของอาหารบนเตาลอยมาแตะจมูกเมื่อรถจอดสนิท เจย่ามองดูจุดหมายแล้วก็ขมวดคิ้ว “เดี๋ยวนะคะ! ท่านรองพาฉันมาที่นี่ทำไม” เธอหันไปจ้องหน้าของเขาที่ทำหน้าเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ “ร้านที่เราอยากได้เข้าห้างก็ต้องมีร้านอาหารด้วยไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวขมวดคิ้วยุ่งราวกำลังเรียบเรียงสิ่งที่เขาพูดอยู่ “หาร้านในตลาดนัดนี่นะคะเข้าห้าง! พ่อค้าแม่ค้าที่ไหนเขาจะไปรับความเสี่ยงเสียค่าเช่าตั้งแพง เพื่อเข้าไปตั้งร้านในห้างงั้นเหรอ?” อนาคินหรี่ตามองพลางยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน เขาเปิดประตูลงจากรถไปก่อนโดยมีเธอเดินตามลงมาติดๆ ด้วยความสงสัย “แล้วเธอเห็นไหมล่ะว่าคนที่ตลาดนัดเยอะขนาดไหน” เขาหันไปมองรอบตัวที่เต็มไปด้วยคนเดินสวนกันพลุกพล่าน “ฉันก็แค่อยากให้เธอดูไว้… ว่าเขาจัดร้านยังไง จัดโซนยังไง เอาไปปรับใช้กับโซนอาหารในห้างเราบ้าง”เขาหันมาจ้องหน้าหญิงสาวด้วยแววตามีเลศนัย “หรือเธอจะบอกว่ามันไม่คุ้มค่าให้เราเดินดูเลย?” เจย่าเบ้ปากใช่เขานิดๆ “แล้วก็จะให้ฉันเชื่อว่าท่านรองบังเอิญหิวข้าวพอดีตอนมาเดินดูงานสินะคะ” อนาคินยิ้มมุมปากที่เห็นว่าเธอรู้ทันเขาด้วย “หิวข้าวกับดูร้านมันทำพร้อมกันได้ไหมล่ะ คนฉลาดเขาก็ต้องทำงานควบกินข้าวได้สิ ไปได้แล้ว”เขาคว้าแขนของเธอจับไว้แล้วเดินนำผ่าฝูงชนเข้าไป เจย่าที่กำลังสับสนกับสถานการณ์เธอได้แต่มองมือตัวเองที่ตอนนี้เขากำลังกุมมันไว้อยู่ พร้อมความรู้สึกแปลกๆ โผล่เข้ามาในใจอีกแล้ว ‘นี่มันอะไรทำไมหัวใจเราถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ล่ะ เขาคือพี่คินน่ะเจ เขาไม่ใช่พี่คีรินของแก หยุดรู้สึกแบบนี้สักทีเลิกสับสนได้แล้ว’ คิดจบหญิงสาวก็สะบัดมือเธอจนหลุดจากเขา ชายหนุ่มหันมาจ้องหน้า “ฉันเดินเองได้ ไม่เห็นท่านรองต้องมาจับเลย” เธอว่าแล้วก็รีบหลบหน้ามองไปทางอื่น “งั้นเธออยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมเลือกได้เลยนะ” อนาคินพูดเหมือนจะไม่ใส่ใจทั้งยังทำเป็นเดินไปทางอื่น เพื่ออยากให้เธอออกไปเดินดูของที่อยากได้เอง เจย่าเห็นว่าเขาเดินไปที่อื่นแล้ว เธอจึงดูของกินน่าอร่อยทั้งหลายตรงหน้า “แย่จังเราพึ่งจะปฏิญาณกับตัวเองไปว่าจะต้องใช้เงินอย่างประหยัดจนกว่าเงินเดือนๆ แรกจะออก ไม่งั้นจะซื้อทุกอย่างที่อยากกินเลย” เธอบ่นอยู่ต่อหน้าร้านขายยำแมงกะพรุน โดยไม่ทันได้สังเกตเขาคนนั้นแอบมาย่องๆ อยู่ด้านหลังของเธอ “อุ้ยอันนั้นก็น่ากิน” เจย่าเหลือบไปเห็นลูกชิ้นปลาทอดก็ชอบใจรีบเดินเข้าไปดู “รับอะไรไหมคะ” อนาคินเดินมายังร้านขายยำแมงกะพรุนแล้วจัดสอยมาหนึ่งถ้วย “เอาลูกชิ้นปลา 2 เส้นครับ” เขาเดินมาอีกร้านทันทีเมื่อเห็นว่าเธอเดินหลีกไปทางอื่นแล้ว “เฮ้อ เดินมาตั้งนานได้น้ำลำไยแก้วเดียว ไม่เป็นไรน่า กลับไปทานข้าวฝีมือคุณแม่ดีกว่า” เจย่าบ่นให้กับแก้วน้ำในมือเบาๆ “เสร็จหรือยังเราไปหาที่นั่งกินกันเถอะ” เสียงทุ้มด้านหลังทำให้หญิงสาวหันไปมองอย่างท้อใจเขาคงจะแกล้งให้เธอนั่งมองเขาทานแน่ๆ “เฮ้ย!” หญิงสาวอุทานเสียงดังเมื่อเห็นของกินเต็มมือเขาไปหมด แถมมองดูดีๆ มีแต่ของที่เธออยากจะกินทั้งนั้น “มานี่” ไม่รอช้าหาคำตอบอนาคินรีบจูงมือเจย่ามานั่งที่ม้านั่งริมน้ำใกล้ๆ บรรยากาศกำลังดี ท้องฟ้าเป็นสีส้มดูแล้วอบอุ่นเหมือนใจของเจย่าในตอนนี้ที่กำลังทำให้เธอร้อนรุ่ม เขาไม่ใช่พี่คีรินท่องไว้สิเจย่า “นั่งลงแล้วมากินสิ มองอะไรไม่หิวเหรอ” ชายหนุ่มบอกเมื่อเขานั่งลงเรียบร้อยพร้อมกับวางของกินทั้งหลายลงตรงกลางม้านั่ง และไม่ลืมเหลือที่ให้หญิงสาวได้หย่อนก้น “ไหนท่านรองบอกว่ามาดูการจัดโซนของตลาดไง ไหนพาฉันมาแอบนั่งหลบตรงนี้ล่ะ” เธอถามพลางมองหน้าเขาที่กำลังหม่ำพิซซ่าทอดเข้าปากไปคำใหญ่ “นี่เธอเชื่อฉันเหรอเจย่า” เขาพูดทั้งที่อาหารยังเต็มปาก “หมายความว่า?” อนาคินยกยิ้มมุมปากก่อนกลืนอาหารลงท้องและเฉลยความจริงให้เธอได้รู้ “พวกจัดโซนห้างเลือกร้านมันใช่หน้าที่รองประธานบริษัทซะที่ไหน ฉันก็แค่หิวข้าว” หญิงสาวกำหมัดแน่นทำงานวันแรกเธอก็กลับบ้านช้าเพราะต้องมาเดินตามท่านรองขี้เก๊กที่หิวข้าวเนี่ยนะ เจย่าสะบัดตัวจะเดินหนี แต่ถูกเขาคว้าตัวไว้ “เฮ้ยๆ จะไปไหนมานั่งกินข้าวกับพี่ก่อนเถอะน่าไหนๆ ก็มาแล้ว เธอจะเรียกรถกลับบริษัทเองให้เปลืองเงินทำไม” เจย่าไม่สนใจที่เขาพูดแต่ว่าท้องของเธอดันร้องเสียงดัง แถมกลิ่นอาหารที่เขาซื้อมามันก็ยั่วน้ำลายเหลือเกิน “ถือว่าเป็นการเลี้ยงข้าวสำหรับวันแรกของการทำงานไง แค่นี้รับน้ำใจกันหน่อยไม่ได้เหรอ เธอจะจงเกลียดจงชังพี่ไปจนตายเลยหรือไง” คำพูดของเขาทำให้เธอหันมอง ไม่ใช่ว่าเธอจะ ไม่ชอบขี้หน้าเขาน้อยลงหรอกนะ แต่หากว่าวันหนึ่งเธอได้ใจพี่คีรินขึ้นมา ก็คงจะได้เห็นเขาในชีวิตบ่อยขึ้นอยู่ดี เพราะฉะนั้นทำตัวให้ชินไว้ดีกว่า “อะ” อนาคินหยิบถ้วยลูกชิ้นปลาให้กับเธอ หญิงสาวรับเอาแล้วรีบใช้ไม้จิ้มใส่ปากแต่เพราะมันยังร้อนเธอจึงเคี้ยวไม่ได้ เจย่าอ้าปากกว้างเอามือปัดขึ้นลงเพื่อหวังว่ามันจะลดความร้อนลงได้บ้าง อนาคินแอบขำเบาๆ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามันร้อน แต่พอเห็นหน้าของเธอแดงเหมือนจะร้อนมากมือใหญ่ก็จับที่ปลายคางมนให้หันมาหา ใบหน้าของเขาขยับเข้าไปใกล้ๆ ค่อยๆ เป่าลมแผ่วเบาบริเวณปากอิ่มสีชมพูอ่อนของเธอ แววตาของเขาแวววาวไปกับแสงอาทิตย์น้อยๆ ที่ส่องผ่านมา สะกดให้หญิงสาวนั่งแน่นิ่งด้วยหัวใจเต้นราวจะระเบิดออกจากอก “เฮ้ย!!” เมื่อตระหนักในใจได้ว่าเขาไม่ใช่คีริน!! ไม่ใช่พี่คีริน! เธอเลยผลักอกเขาให้ห่างออก “พี่คินแกล้งเจเหรอ!!” เจย่ากอดอกมองแรง ส่วนคนถูกต่อว่ากลับหัวเราะลั่นอย่างห้ามไม่อยู่ “ก็ใครบอกให้เธอตามพี่ไม่ทันเอง!!” เจย่ามองค้อนเขาด้วยปรายตา ไม่ว่าเธอจะพยายามทำตัวให้มั่นแค่ไหน ก็ยังเป็นยัยบื้อในสายตาของเขาสินะ “ไม่เอาไม่ทำหน้าแบบนั้นสิ เอาๆ เอาน้ำไปดื่มก่อน” เขาแกะขวดน้ำส่งให้เธอ เจย่าโกรธอยู่แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็คงทำอะไรไม่ได้จึงยอมรับน้ำของเขา พลางมองค้อนเขาและแย่งกินอาหารที่เขาซื้อมาเพื่อหวังว่ามันจะเป็นการแก้แค้นได้ ส่วนอนาคินเอาแต่แอบมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มพอใจที่เขาแอบๆ ไว้ไม่ให้เธอเห็น“เบอร์พี่คิน…” เธอนั่งเงียบจ้องไปที่จอมือถือ เขาโทรมาทำไม? จะโทรมาพูดเรื่องเมื่อคืนเหรอ? หรืออะไร หญิงสาวหน้าแดงแจ๋เมื่อแอบคิดไปไกล จนสายจากเขาถูกตัดไปเอง ก่อนจะเด้งขึ้นเป็นข้อความเข้ามาแทน หลังเธออ่านข้อความบนจอจบเขาก็โทรเข้ามาอีกรอบจนเธอเผลอกดรับอย่างไม่ได้ตั้งตัว เจย่าหน้าเจื่อนไปในทันทีแต่ก็จำต้องยกมือถือขึ้นแนบหู แต่เขากลับไม่พูดอะไรมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ดังแทรกเข้ามา “มีอะไรคะ โทรมาแล้วทำไมไม่พูด” เธอจึงตัดความเงียบด้วยการถามเขาก่อน [“พี่นึกว่าเธอเองก็จะไม่พูดกับพี่ด้วยเหมือนกันแหะ เป็นยังไงบ้าง”] เจย่าขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไรเป็นยังไงบ้าง” เธอสวนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับคืนนั้นหรือเปล่า ปลายสายจึงเงียบไปอีกรอบ [“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงอยากได้ยินเสียง”] เขาว่าเจย่าเผลออมยิ้ม ตาบ้านี้จะมาหยอดอะไรอีกล่ะ [“เตรียมของหรือยัง วันจันทร์นี้อย่าลืมว่าต้องไปชุมพรกับพี่นะ”] “จำได้แล้วน่า เจไม่ใช่ปลาทองนะไม่ลืมหรอก” เธอตอบกลับเขาเชิงประชด [“ก็ดี งั้นวันจันทร์หกโมงเช้าพี่จะไปรับที่บ้านนะ เราจะเอารถไปเอง”] “ห๊า!!!” เจย่าตาเบิกกว้างนี้เธอจะต้
ณ บ้านพักที่ลอนดอนในช่วงเย็น หลังจากที่นาตาเลียผ่าตัดเสร็จ โซเฟียก็ขอให้คีรินพากลับบ้าน “คุณโอเคไหม อยู่คนเดียวได้แน่นะ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะยังเห็นว่าเธอน้ำตาคลอและซึมอยู่เลย “ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีไหม” หญิงสาวรีบหันมาส่ายหน้าให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะคิดอะไรเงียบๆ สักพักนะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบแต่ก็ไม่มองหน้าเขา คีรินเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่เป็นสุขใจเลย “ถ้างั้น เย็นนี้ผมจะทำอาหารมาทานที่บ้านคุณนะครับ ได้ไหม? ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทานข้าว” เขาเอ่ยอย่างห่วงใย หญิงสาวจึงพยักหน้า “ถ้าจะมาอย่าลืมโทรบอกก่อนนะคะ เผื่อว่าฉันจะเผลอหลับนะ” “ครับ” เขาทำได้เพียงมองดูเธอเดินเข้าบ้านไป เธอโทรหาใครตอนที่อยู่โรงพยาบาล ใช่ที่บอกว่าคุยกับพ่อไหม? ทำไมสายตาเธอถึงดูมีความลังเลบางอย่างแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด คีรินก็จำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเองไปก่อน ร่างของโซเฟียเข้ามานั่งลงที่มุมโต๊ะตัวเตี้ย เอาหลังพิงกับตัวของโซฟาแววตาของเธอเหม่อลอยเพราะยังคิดไม่ตกกับเรื่องที่จะต้องทำ เธอนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานโข “คุณจะโกรธจะเกลียดฉันไหมคะ” เธอบ่นพลางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มขอ
โรงพยาบาล “ฮัลโหลทำไมคุณพึ่งมารับสายคะ หนูโทรหาคุณทั้งคืนทำไมคุณถึงไม่รับ” โซเฟียเอ่ยกับปลายสายทั้งน้ำตา [“ฉันคงมีเวลาว่างมารอรับโทรศัพท์จากแกยี่สิบสี่ชั่วโมงมั้งโซเฟีย”] แต่เขากลับตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เมื่อคืนแม่ของหนูช็อก หมอทำ CT เพิ่มแล้วบอกว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน... แต่หมอที่ดูแลบอกว่าถ้าจะให้ผ่าเลย ต้องเคลียร์ค่ารักษาของสองเดือนที่แล้วก่อน เพราะเราพาแม่มาอยู่ใน Private Ward ตั้งแต่แรก และคุณก็ยังค้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ เขาบอกว่าจะผ่าให้ทันที ถ้าเราจ่ายเงินที่ติดอยู่ก่อน” เธอพูดไปร้องไห้ไป “ทำไมคุณทำแบบนี้ ไหนคุณบอกหนูว่าจ่ายให้ทุกเดือนไง คุณโกหกหลอกใช้หนูมาตลอดเลยเหรอ” เธอต่อว่าปลายสายอย่างเรียกร้อง เธอทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำพร้อมข้อตกลงเสียดิบดีแต่เขากลับไม่ปฏิบัติตามที่เขาเคยพูด [“แล้วจะทำไม ถ้าแกอยากให้ฉันจ่ายก็รีบรวบหัวรวบหางไอ้อนาวินนั่นให้ฉันสักทีสิ”] โซเฟียปล่อยโฮ ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้มาบีบเธอ “ฮื้อ~ ก็ได้ หนูจะทำให้สาแก่ใจคุณไปเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องทำการจ่ายเงินค่ารักษาให้แม่หนูเดี๋ยวนี้! แล้วหนูจะรีบทำให้” เธอยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นเชิงขู่
เช้าวันรุ่งขึ้น เจย่าตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยความรู้สึกมึนๆ อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังอยู่ “เรามานอนตรงนี้ได้ไง” เธอชะงักมองร่างกายของตัวเอง ที่ตอนนี้ก็ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวาน ไม่ทันจะคิดให้มากความหญิงสาวก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเองสั่นอยู่ในกระเป๋าสะพาย ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง เธอรีบเปิดดู ปรากฏเห็นเป็นสายค้างของพ่อกับแม่และพี่ชายที่โทรตามตั้งแต่เมื่อคืน เจย่าตาเหลือกลุกพรวดและวิ่งออกไปจากห้องอย่างไม่ได้หันกลับมาสนใจ ว่าห้องที่ตนนอนอยู่ทั้งคืนเป็นห้องของใครเสียด้วยซ้ำ ร่างเล็กวิ่งจู๊ดออกมานอกตึกแล้วเรียกแท็กซี่ไปเอารถที่บริษัทขับกลับบ้านทันที บ้านฤทธา “เจย่า!!” คนเป็นพ่อและพี่ชายที่รออยู่รีบลุกขึ้นมาสำรวจดูยัยตัวดีที่เดินเข้าบ้านมา “เมื่อคืนไปไหนต่อ ทำไมหายไปทั้งคืนโทรหาก็ไม่รับ” จิรกิตติ์เอ่ยถามกับลูกสาวเสียงดุ เจย่ายิ้มเจื่อนมองหน้าพ่อ “ก็ไปดื่มกับเพื่อนไงค่ะ พอดีเมามากกลับไม่ได้เลยค้างห้องเพื่อนนะคะ” เธอตอบแม้จะยังไม่มั่นใจว่าใช่ห้องเพื่อนจริงหรือเปล่า “แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกกันก่อน” จอนนี่บ่นสายตาเขายังคงสำรวจน้องอย่างจับสังเกต “ก็เมาจะไปส่งมาได้ไ
“ได้ งั้นฉันจะทำให้เธอจำฉันเอง” แผนร้ายผุดขึ้นมาในหัวของเขาพร้อมรอยยิ้มแต้มมุมปาก อนาคินก้มหน้าลงจูบเธออีกครั้งรอบนี้หญิงสาวยอมเปิดปากให้แต่โดยดี เขาจึงว่าจะลองลิ้มรสจูบหยอกกับลิ้นเล็กของเธอสักครู่ ก่อนจะหยุดและทำตามแผนที่คิดไว้ แต่มันดันไม่เป็นดั่งหวังเมื่อเธอพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือเขา หญิงสาวนั่งลงบนตักของคนใต้ล่างพลางรูดซิปเสื้อของเธอออกพร้อมถอดมันทิ้งไป “เจย่า?” เขาเรียกชื่อของเธอเสียงสั่น พลางมองหน้าสวยที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตรงหน้า อนาคินกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากลำบากเมื่อ เธอโชว์ความมหึมาเด้งดึงชูชันต่อหน้าเขา ชายหนุ่มหันหน้าหนีใบหน้าแดงก่ำ ที่เขาคิดไว้ไม่ใช่แบบนี้นะ ในระหว่างที่คิดหน้าของเขาก็ถูกเธอดึงกลับไปพร้อมโอบหัวเขาไว้จนใบหน้าคมเข้าไปซุกอยู่ที่อกอวบ “ไม่ไหวแล้วเว้ย” แล้วเช่นนี้เสือแบบเขาเหตุใดจะทนได้ อนาคินรวบเอวเล็กกอดไว้ในทันทีพลางใช้ปากดูดยอดอกเสียงดังจ๊วบ บวกกับเจ้าของร่างน้อยที่กำลังครางเสียงสั่น “อะ อ่า อือ” เจย่ากัดที่ริมฝีปากตัวเองด้วยความหวาดเสียวแววตาหลับพริ้มราวคนกำลังฝันหวาน กระโปรงตัวยาวของเธอถูกเขาถอดออกอย่างง่าย “ไม่กงไม่แกล้งมันแล้ว เอาจริงกันเล
ณ ผับ× ทุกคนในโต๊ะลุกขึ้นชนแก้วกันพวกเขามีรอยยิ้มและสนุกไปกับเสียงเพลง เจย่าเองก็เช่นกันแม้เธอจะแค่จิบๆ แต่พอดูเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เมากันแล้วลุกดีดเต้นให้ดูก็หัวเราะชอบใจ “เบาๆ ด้วยนะพี่ซูชิอย่าไปเหยียบตีนคนอื่นเข้าล่ะ ยิ่งตัวโตๆ อยู่” วาเนียที่นั่งข้างเจย่าร้องบอกกับพี่ซูชิที่ลุกออกจากโต๊ะไปเต้นกับหนุ่ม “ว่าแต่เจย่าไม่อยากลุกเต้นหน่อยเหรอครับ เพลงกำลังมันเลยนะ” โทนี่ที่ดูจะเป็นคนรักสนุกไม่น้อยเขาถามเธอพลางโยกตัวไปตามเสียงเพลง “ไม่เป็นหรอกค่า ไม่ค่อยชอบนะ” ระหว่างที่คุยอยู่วาเนียก็จับแก้วเหล้าใส่มือให้เพื่อน “ยกๆ หมดแก้วดิวะ มานั่งตั้งนานแกยังไม่หมดแก้วเดียวเลยนะ” วาเนียจับแก้วของเธอขึ้นมาชนด้วย “แกฉันไม่ชอบดื่ม ถ้ากลับบ้านเมาทั้งพ่อทั้งพี่ชายบ่นหูชาแน่” “โอ้ย โตๆ กันแล้วนะน้องเจย่า ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกไหมคะ ชีวิตเราจะได้ใช้คุ้มค่าขึ้นนะ” พี่อ้อมบอก หญิงสาวก็ยิ้มอ่อนให้ เพราะเธอก็แอบคิดจะหาเช่าคอนโดอยู่เหมือนกัน ก็ระยะทางจากบ้านมาที่บริษัทมันก็ไกลกันสมควร “นี่ที่เขาว่ากันว่าท่านรองคนใหม่รักสนุกนี่เป็นเรื่องจริงสินะครับ” โทนี่เอ่ยเป็นเชิงบ่นแต่ทำเอาเพื่อนทั้งโต๊ะเลิ่กลั่กหันมองตาม