LOGINฟ้ายามราตรีดำขลับราวน้ำหมึกภายในกำแพงวังสูงตระหง่าน ทหารรักษาพระองค์คุ้มกันแน่นหนาสายลมพัดเฉียดชายคาเป็นครั้งคราว เปล่งเสียงครวญเบาๆ ออกมาฉู่จืออี้แอบอยู่ในเงากำแพงวัง ชุดพรางยามราตรีบนร่างแทบกลมกลืนไปกับความมืดรอบกาย มีเพียงดวงตาคมดั่งนกอินทรีเท่านั้นที่ฉายแววระแวดระวังอยู่ในความมืดเขาเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าตอนนี้เป็นยามไห้ อีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็จะถึงช่วงที่ทหารรักษาพระองค์เปลี่ยนเวรฉู่จืออี้ขมวดคิ้วตั้งสมาธิ นิ่งรอจังหวะอยู่เงียบๆหนึ่งชั่วยามให้หลัง เสียงฝีเท้าที่ก้าวเรียงกันเป็นระเบียบก็ดังขึ้นจากที่ไกล ทหารรักษาพระองค์เริ่มผลัดเปลี่ยนเวรแววตาฉู่จืออี้แข็งกร้าวขึ้น เขาอาศัยความมืดกำบังตัว เคลื่อนไปตามแนวกำแพงวังอย่างเงียบงันราวภูตผีไม่รู้เดินอยู่นานเพียงใด ที่มุมหนึ่ง ฉู่จืออี้ก็เห็นเสี่ยวชวนจื่อเสี่ยวชวนจื่อก็จำฉู่จืออี้ได้ รีบค้อมตัวเข้ามา ทำเสียงเบาเอ่ยทำความเคารพ “บ่าวขอคารวะท่านอ๋อง”“ไม่ต้องมากพิธี” เสียงของฉู่จืออี้ทุ้มต่ำ “เสด็จพี่เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงของเสี่ยวชวนจื่อสั่นเครือเล็กน้อย “ฮ่องเต้ทรงอาการแย่ลงมาก ท่านพ่อบุญธรรมบอกว่า... เกรงว่าจะไม่อาจอ
ฉู่จืออี้แค่นเสียงหัวเราะเยาะ “พระพี่สะใภ้คงคิดว่าตนเองมีอำนาจล้นฟ้าจริงๆ”“ท่านอ๋องทรงได้ข่าวอะไรมาบ้างหรือขอรับ?” หลินเย่ว์ถามขึ้นฉู่จืออี้เดินไปยังโต๊ะ คลี่แผนที่เมืองหลวงที่วาดอย่างคร่าวๆ ออกมา “ฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทถูกกักตัวไว้ในตำหนักจื่อเฉิน มีคนของฮองเฮาเฝ้าอยู่ ขุนนางในราชสำนักครึ่งหนึ่งถูกควบคุม อีกครึ่งก็ถูกปิดหูปิดตา”หลินเย่ว์จ้องมองแผนที่ ครุ่นคิดหาหนทาง “พวกเราต้องหาวิธีช่วยฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทออกมา เปิดโปงแผนร้ายของฮองเฮา แต่ด้วยกำลังของพวกเราตอนนี้…”“ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังคน” น้ำเสียงทุ้มต่ำของฉู่จืออี้ดังขึ้น ทำให้หัวใจของหลินเย่ว์สะดุ้งวาบ“ท่านอ๋องทรงคิดจะลอบเข้าไปในวังเพียงลำพังหรือขอรับ?”ฉู่จืออี้พยักหน้า “ข้าได้ส่งคนไปสืบมาแล้วว่าทหารรักษาพระองค์จะเปลี่ยนเวรเมื่อใด สามารถอาศัยช่วงนั้นลอบเข้าไปได้ ซูกงกงก็ส่งคนไว้คอยติดต่อภายในวังแล้ว ข้าไปคนเดียวจะสะดวกกว่า ทั้งยังได้รับยาถอนพิษจากสำนักราชาโอสถมา เพียงให้เสด็จพี่เสวย เสด็จพี่ก็จะสามารถตรัสความจริงต่อหน้าขุนนางทั้งหลายได้ด้วยพระองค์เอง”“แต่ทหารรักษาพระองค์ก็อยู่ในกำมือของฮองเฮา หากถึงเวลานั้นฮองเฮาโมโ
ในขณะเดียวกัน ณ เมืองหลวงหลินเย่ว์ปะปนอยู่ในขบวนพ่อค้าคาราวาน เคลื่อนตัวช้าๆ เข้าสู่ประตูเมืองหลังของเขาโค้งงอเล็กน้อย จงใจเลียนท่าทางอิดโรยของพ่อค้าที่เดินทางมายาวนาน พลางกดหมวกสานให้ต่ำลงอีกนิดโดยไม่รู้ตัว แต่สายตากลับสอดส่องไปรอบด้านผ่านช่องเล็กๆ ใต้ขอบหมวกอย่างระแวดระวังยามรักษาการณ์ที่ประตูเมืองมีจำนวนมากกว่าปกติเกินสามเท่าทุกคนที่ผ่านประตูเมืองถูกตรวจสอบอย่างละเอียด แม้แต่สินค้าในเกวียนก็ถูกเปิดค้นแม้ก่อนมาจะคาดไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุนี้เอง ฉู่จืออี้จึงจงใจแยกกับเขา เดินทางเข้าประตูเมืองตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าในเวลานี้ หลินเย่ว์ก็ยังอดเครียดไม่ได้“มาจากที่ไหน? ทำมาหากินอันใด?” ยามรักษาการณ์หน้าตาเหี้ยมเกรียมผู้หนึ่งขวางไว้ ดวงตาเฉียบคมกวาดตามองขึ้นลง“ท่านทหาร ข้าน้อยมาจากทางใต้ ทำการค้าผ้าไหมกับใบชา” หลินเย่ว์ยิ้มอย่างประจบ เสียงจงใจบีบให้ต่ำลงและแต้มสำเนียงทางใต้ไว้เล็กน้อยพูดจบ เขาก็ควักเหรียญทองแดงสองสามจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เงียบๆ “ท่านทหารทำงานลำบากมาก โปรดรับไว้เถิด”ยามรักษาการณ์ชั่งน้ำหนักเหรียญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วโบกมือให้ผ่าน
เฉียวเนี่ยนคิดว่าเสิ่นม่อคงจะพานางไปยังหอคัมภีร์ จึงรับคำแล้วรีบเดินออกไปเสิ่นม่อยืนรออยู่ไม่ไกลเห็นนางเดินเข้ามาใกล้ จึงนำทางนางมุ่งหน้าไปยังหุบเขาสำนักราชาโอสถนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาที่เชื่อมต่อกันอย่างสลับซับซ้อน สูงชัน และอันตรายและหอคัมภีร์ก็อยู่ระหว่างภูเขาทางทิศตะวันตก ไม่แปลกเลยที่เฉียวเนี่ยนจะอยู่ในสำนักราชาโอสถมาสิบกว่าวันโดยไม่รู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้อยู่เฉียวเนี่ยนเองก็ไม่คาดคิดว่าหอคัมภีร์จะยิ่งใหญ่อลังการถึงเพียงนี้เงยหน้ามอง เห็นหน้าผาสูงชันราวพันจั้งเหมือนถูกผ่ากลางออกเป็นรอยแผลลึกอันน่าหวาดหวั่นหลังคาซ้อนเก้าชั้นดุจกรงเล็บเหล็กนิลทะลุออกมาจากโครงกระดูกแห่งภูผาหน้าผาด้านซ้ายเป็นบันไดตะขาบสำหรับไต่เขาที่เจาะขึ้นด้วยแรงคน กว้างเพียงสามฉื่อ เชื่อมตรงถึงประตูหอคัมภีร์เฉียวเนี่ยนเดินตามหลังเสิ่นม่ออย่างระมัดระวัง กลัวเพียงก้าวพลาดจะตกลงไปแหลกเป็นผุยผง“ถึงแล้ว”ทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูหอคัมภีร์สูงหลายจั้ง เสิ่นม่อลูบเคราแล้วรวบรวมลมหายใจ ใช้สองมือดันประตูหอคัมภีร์อันหนักอึ้งนั้นเปิดออกช้าๆสิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตา คือชั้นหนังสือที่ทอดตัวยาวตั้งแต่พื้นจร
เฉียวเนี่ยนเลิกคิ้ว “ในหอคัมภีร์มีวิธีถอนพิษหรือ?”“แน่นอน”“จะไม่หลอกข้าหรือ?” เฉียวเนี่ยนถามอีกเสิ่นม่อขมวดคิ้ว “ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม?”อย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยพูดชัดๆ ว่าภายในห้องหนังสือของเขาจะมีวิธีถอนพิษอยู่เฉียวเนี่ยนได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ถามต่อ “หากในหอคัมภีร์ไม่มีวิธีถอนพิษเล่า ท่านจะทำอย่างไร?”“หัวของข้า ตัดให้เจ้าทำเป็นเก้าอี้นั่ง!”“...” เฉียวเนี่ยนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ฉีกขนมแห้งๆ ชิ้นหนึ่งยัดเข้าปาก พลางพึมพำ “ให้แต่ของที่ไม่มีประโยชน์”เสิ่นม่อได้ยินแทบจะลุกพรวดด้วยความโมโห “หน็อย แม่หนูนี่ พูดว่าอะไรนะ?”เฉียวเนี่ยนหัวเราะหึหึ “ไม่ได้พูดอะไรนี่เจ้าคะ”เสิ่นม่อกลอกตา “ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ากล้าเสี่ยงตายมาช่วยข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักเจ้าค่ะ” เฉียวเนี่ยนเอ่ยเสียงดัง จากนั้นก็กินขนมของตนพลางมองดูหมู่ดาวบนท้องฟ้าต่อไปแต่เสิ่นม่อนั้นกลับจ้องมองนางอยู่ตลอดมองใบหน้านั้นที่เหมือนกับในความทรงจำไม่มีผิด ริมฝีปากเขาแย้มรอยยิ้มอบอุ่นอย่างอดไม่ได้วั่งซู เจ้าดูสิผู้สืบทอดของเจ้า ช่างมีจิตใจอ่อนโยนและกล้าหาญเหมือนเจ้าไม่
แสงจันทร์ลอดผ่านกิ่งใบหนาทึบโปรยแสงพร่างพรายลงมาเฉียวเนี่ยนชี้ไปทางม่านหมอกพิษที่อยู่ไม่ไกล กล่าวว่า “หมอกนั้นมีพิษ วิญญาณราชสีห์กลับอาศัยอยู่ใต้หมอกพิษนั้นมานานหลายปี ข้าจึงคาดว่ามันมิใช่ชอบหมอกพิษนั้น หากแต่ไม่มีที่อื่นให้ไป ข้าเห็นว่าภายในภูเขาฉีซานนี้มีลูกพลับทั่วทุกหนแห่ง เว้นเพียงบริเวณที่ถูกหมอกพิษชห้อมล้อม จึงคิดว่าบางทีลูกพลับอาจมีประโยชน์ จึงเก็บมาลองดู”“ลอง?”เสิ่นม่อเบิกตากว้าง “ถ้าไม่สำเร็จล่ะ?”หากวิญญาณราชสีห์มิได้กลัวเล่า?เฉียวเนี่ยนยิ้มบาง “ตอนนี้สำเร็จแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”“...” เสิ่นม่อจนใจ ไม่รู้จะพูดสิ่งใดได้แต่ส่ายหน้า ในใจกลับรู้สึกว่านิสัยของเฉียวเนี่ยนนั้นช่างเหมือนกับวั่งซูไม่มีผิดคิดได้ดังนั้นก็ได้ยินเฉียวเนี่ยนถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าสำนัก ร่างกายมีภูมิต้านทานพิษหรือเจ้าคะ?”ได้ยินดังนั้น เสิ่นม่อก็ชะงักไป ก่อนก้มมองบาดแผลบนร่างกายตนเองแม้เขาถูกวิญญาณราชสีห์ทำร้าย แต่แผลกลับไม่มีร่องรอยติดพิษ อีกทั้งเมื่อครู่นี้เขาอยู่ในม่านหมอกพิษนานก็ยังไม่เห็นอาการติดพิษใดๆดังนั้นเฉียวเนี่ยนจึงเกิดข้อสันนิษฐานนี้ขึ้นเสิ่นม่อยิ้ม “อิจฉาหรือ? วันใดที่เจ้ากลา







