ร่างของพิมพ์พิชชาถูกพาไปที่ห้องพักโดยมีแพรวารินทร์นั่งอยู่ข้างเตียง คุณหญิงพราวกะรัตและคุณสิงหานั่งมองร่างไร้สติของลูกสาวอยู่ที่โซฟา ส่วนรณพีร์นั้นขอตัวไปกลับก่อนเพราะมีนัดกับลูกค้า พงศ์พยัคฆ์ยืนกอดอกมองน้องสาวอยู่ที่ปลายเตียงก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้
“บ่ายโมงกว่าแล้ว แม่ทานข้าวรึยังครับ” ประสาทศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยถามผู้ให้กำเนิดอย่างเป็นห่วง
“เรากำลังจะตั้งโต๊ะแต่แพรโทรมาซะก่อน อะ แล้วแพรทานข้าวรึยังลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยบอกบุตรชายก่อนจะหันไปถามลูกสะใภ้แต่เหมือนหญิงชราจะไม่ได้คำตอบมีแต่ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น
“ให้เวลาหนูแพรสักนิดเถอะคุณหญิง อย่างที่อาพยัคฆ์เคยบอกหนูแพรกลัวการสูญเสียที่สุดสภาพของหนูทรายก่อนหน้านี้มันคงทำให้หนูแพรกลัว” คุณสิงหาเอ่ยบอกแก่คู่ชีวิตพร้อมโอบไหล่ไว้ ตนและภรรยารู้ดีว่าหญิงสาวคงสะเทือนใจไม่น้อยเลย เพราะนอกจากคุณตาแล้วพิมพ์พิชชานี่ล่ะคือคนสำคัญของแพรวารินทร์
“ผมว่าแม่กับพ่อไปทานข้าวดีกว่าครับหนูทรายคงไม่ฟื้นตอนนี้หรอกอีกสองสามชั่วโมงยาสลบถึงจะหมดฤทธิ์”
“ก็ดี ไปเถอะคุณกลับมาลูกคงฟื้นพอดี” คุณสิงหาเอ่ยขึ้นก่อนจะประคองภรรยาลุกขึ้นแต่ร่างของคุณหญิงพราวกะรัตกลับเดินไปหาแพรวารินทร์ก่อนที่นิ้วมือเรียวจะแตะลงที่ไหล่ของลูกสะใภ้เรียกสติของแพรวารินทร์ให้กลับมาก่อนจะเอ่ยบางอย่างแต่กลับได้รับการปฏิเสธ “แพร...ไปทานข้าวกันลูก”
“ไม่ค่ะแพรจะอยู่กับทราย แม่พราว พ่อสิงห์ไปทานกับคุณหมอเถอะค่ะ” นอกจากคำปฏิเสธแล้วสองสามีภรรยายังได้รับรู้ความเหินห่างของบุตรชายและสะใภ้ด้วยก่อนจะถูกบังคับให้แต่งงานกันแพรวารินทร์ที่มาค้างบ้านสัตยบดินทร์ทุกวันหยุดจะเรียกพงศ์พยัคฆ์ว่า “พี่เสือ”แต่คำที่ทั้งคู่ได้ยินเมื่อครู่คือ “คุณหมอ” นับวันความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยิ่งห่างเหินเสียจนน่าเป็นห่วง
“งั้นเดี๋ยวแม่ซื้อมาฝากนะลูก” คุณหญิงพราวกะรัตเอ่ยบอกพร้อมลูบหัวลูกสะใภ้ก่อนจะเดินออกจากไปพร้อมคุณสิงหาและพงศ์พยัคฆ์
3ชั่วโมงต่อมา
หลังจากคุณหญิงพราวกะรัตและคุณสิงหากลับจากรับประทานอาหารทั้งสามก็นั่งรอคนบนเตียงให้ฟื้นส่วนพงศ์พยัคฆ์มีเคสผ่าตัดด่วนจึงขอตัวไปทำงาน ในขณะที่แพรวารินทร์ลุกไปคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นเจ้านายที่โทรศัพท์มาถามอาการของคนที่ชายหนุ่มแอบชอบ เปลือกตาบางเผยขึ้นก่อนจะกระพริบถี่ ๆ เพื่อปรับแสง
“น้ำ...ขอน้ำหน่อย”
“หนูทรายฟื้นแล้วหรือลูก...เป็นไงบ้าง” คุณหญิงพราวกะรัตถลาเข้าไปหาบุตรสาวยื่นน้ำให้บุตรสาวดื่มก่อนจะเอ่ยถามข้างกายมีคุณสิงหาที่ถลามาพร้อมภรรยายืนอยู่ด้านตรงข้ามมีแพรวารินทร์ที่เพิ่งวางสายจากเจ้านายยืนน้ำตาซึมอยู่
“ทุกคนคงรู้แล้วสินะว่าทรายเป็นอะไร ทรายขอโทษนะคะที่ไม่บอกพ่อกับแม่....ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้บอกแก” หลังจากดื่มน้ำเสร็จพิมพ์พิชชาก็เอ่ยขอโทษทั้งสามทันที ทุกคนคงรู้กันแล้วว่าเธอเป็นอะไรถึงได้มีสีหน้าแบบนี้
“ฉันไม่ให้อภัยแก แกมีพี่เป็นหมอนะแต่แกกลับปิดบังแม้แต่คุณหมอ แกรู้ไหมฉันรักแกมากนะทรายถ้าแกเป็นอะไรไปโดยที่ฉันไม่รู้อะไรเลยฉันจะรู้สึกยังไง”
“โอ๋ ๆ ไม่งอนน๊า ฉันขอโทษ” พิมพ์พิชชารู้ดีว่าเพื่อนรักกลัวการสูญเสียแค่ไหนเพราะงั้นตนจึงไม่บอกอาการป่วยให้เพื่อนสาวรู้ “ฉันก็รักแกนะแพร ฉันไม่อยากให้แกต้องทุกข์กับฉันเลย”
ก๊อกๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสายตาจากคนในห้องให้หันไปมองก่อนจะเห็นร่างสูงสมาร์ทของพงศ์พยัคฆ์ก้าวเข้ามา
“พี่เสือ”
“ฟื้นแล้วเหรอ...เป็นไงบ้างยัยตัวแสบเราทำพี่ขายหน้ารู้มั้ย มีอย่างที่ไหนพี่ชายเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งที่เชี่ยวชาญระบบประสาทที่สุดแต่ไม่รู้ว่าน้องสาวมีเนื้องอกในสมองแถมยังไปตรวจกับหมอคนอื่นอีก” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยตัดพ้อน้องอย่างที่เล่นทีจริง ดวงตาของชายหนุ่มเมื่อมองน้องสาวมีแต่ความรักล้นหัวใจที่น้องสาวเพียงคนเดียวรับรู้ได้ดี...คนนี้ก็เสียใจมากไม่ต่างจากแพรวารินทร์ถ้าเธอเป็นอะไรไป ทำไมเธอจะไม่รู้
“หึ...ไงล่ะ ไปตรวจกับหมออื่นจากที่อาการไม่ได้แย่แบบสุด ๆ กลายเป็นกำลังจะตายเฉยเลย มันน่านักเชียว ถ้ายังเด็กพี่จะหวดด้วยไม้เรียว”
“ฮะ อาการไม่ได้แย่?”
“หมอวินิจฉัยผิด ถ้ามาหาพี่แต่แรกก็ไม่ต้องทึกทักว่าตัวเองกำลังจะตายทุกข์อยู่หลายเดือนแบบนี้หรอก”
“ไม่ตายจริงดิ?”
“นอกจากจะมีการผ่าตัดผิดพลาด พี่รับรองเลยว่าไม่ตาย แต่ถ้าพี่ไม่รู้อาจจะตายอย่างเขาว่าก็ได้”
“โธ่เอ้ยพี่เสือ...ทรายเพิ่งง้อเพื่อนไปหยก ๆพี่ชายมาทำงอนอีก แต่จะพูดก็พูดเถอะ ถ้าน้องจะปรึกษาจริง ๆ จะได้ปรึกษาเหรอ หายหัวออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่ทุกวัน แต่ละวันน้องได้เจอมั้ย?” ผู้เป็นน้องเอ่ยแกล้งด้วยน้ำเสียงน้อยใจ พอรู้ว่าไม่ได้ถึงตายสมองที่หนักอึ้งก็ปลอดโปร่งขึ้นมาอย่างประหลาด พอจะมีกะใจบ่นให้พี่ชายหน่อย
“ถ้าเราจะปรึกษาจริง ๆ มาที่โรงพยาบาลก็ได้ แต่เราไม่คิดจะทำ...ไม่ต้องมาทำน้อยใจ พี่ไม่ได้โง่” ผู้เป็นพี่ตอกกลับอย่างรู้ทันจนน้องสาวคนเดียวต้องย่นจมูก
“ชิ เอาเถอะ...แล้วน้องจะเป็นไงต่อ”
“เนื้องอกชิ้นนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากแถมยังอยู่ใกล้เส้นประสาทเพราะงั้นต้องผ่าตัดอย่างเร็วอาทิตย์หน้าอย่างช้าสามอาทิตย์” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยบอกพลางลูบผมน้องสาวอย่างแสนรัก “เข้าผ่าตัดเถอะ พี่จะเป็นคนผ่าให้เอง ตกลงเถอะนะหนูทราย ขอแค่เรายอมจะให้พี่ทำอะไรพี่ก็ยอม”
“จะยอมแน่นะ?” พิมพ์พิชชาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “งั้นหลังจากนี้ช่วยให้เวลากับเมียเยอะ ๆ หน่อยจะได้มั้ย เรื่องที่ทรายห่วงที่สุดมีแค่เรื่องของพี่กับแพรนี่ล่ะพี่เสือ ทำเหมือนสามีภรรยาคู่อื่นเขาทำกันหน่อยนะอย่าเป็นเหมือนที่เป็นตอนนี้เลย กลับไปนอนที่ห้องไม่ต้องแยกห้องแล้วนะคะทรายอยากเลี้ยงหลานแล้วด้วย ขืนไม่ปรับตัวเข้าหากันบ้างมีหวังทรายไม่มีหลานกันพอดี กลับไปนอนที่ห้องนะคะ ทำได้มั้ย ถ้าได้ทรายจะยอมตกลง”
“พี่...”
“พี่เสือไม่ยอมเหรอ?”
“ไม่ใช่ พี่พร้อมทำตามคำขอของหนูทรายทุกอย่างแต่...เพื่อนเราอาจจะลำบากใจได้นะ”
“ลำบากใจอะไรไม่มีหรอก เนาะ...แพรเนาะ” ดวงตาคู่หวานส่งไปออดอ้อนเพื่อนสาวคนสนิทก่อนจะเอ่ย “ถ้าแพรไม่โอ ทรายก็ไม่โอนะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ...เพื่อทรายแพรยังไงก็ได้” แพรวารินทร์เอ่ยก่อนโดยไม่แม้แต่สบตาคนขึ้นชื่อว่าเป็นสามี
“แพรตกลงแล้ว”
“ได้...พี่จะทำตามคำขอของหนูทราย พี่สัญญา”
“งั้นน้องก็ตกลงเข้ารักษาตัวค่ะ น้องสาวของพี่เสือต้องหาย” สองพี่น้องที่เกี่ยวก้อยสัญญากันเอ่ยที่พิมพ์พิชชาจะอมยิ้ม...หวังว่ามันจะดีนะ
“ที่บอกว่าอยากมีหลานน้องจริงจังนะ”
“นี่ก็เย็นมากแล้วพ่อกับแม่กลับเถอะครับ เดี๋ยวผมให้พยาบาลมาดูแลยัยตัวแสบนี่เอง” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยเปลี่ยนเรื่องเมื่อน้องสาวพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมาราวกับไม่ได้ยินที่พิมพ์พิชชาพูด คนเป็นน้องได้แต่ค้อนลมค้อนแล้งเมื่อพี่ชายทำราวกับไม่ได้ยิน
คุณหญิงพราวกะรัตอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พยาบาลจะเอาอยู่เหรอเสือ ดื้อนะคนนี้น่ะ”
“นั่นสิ แล้วน้องจะนอนหลับหรือเปล่า แปลกที่ซะด้วย พวกเราอยู่เฝ้าเองดีกว่า”
“แพรขอเฝ้ายัยทรายเองนะคะพ่อสิงห์แม่พราว พ่อสิงห์กับแม่พราวกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเฝ้า” แพรวารินทร์เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นสีหน้าลำบากใจของพ่อและแม่สามี ความห่วงใยที่แพรวารินทร์มีให้พิมพ์พิชชานั้นเป็นที่ประจักษ์ไร้ข้อกังขาอยู่แล้วสองสามีภรรยาจึงยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะพยักหน้าอนุญาต
“แม่กลับก่อนนะลูกพรุ่งนี้จะมาแต่เช้า แม่ไปนะเสือเดี๋ยวทานข้าวเย็นพร้อมน้องเลยนะเดี๋ยวแม่สั่งขึ้นมาให้แพรด้วย ทรายถ้าพี่เราหรือเพื่อนเราไม่ยอมกินโทรมาบอกแม่ด้วย” คุณหญิงพราวกะรัตเอ่ยกำชับเพราะสิ่งเดียวที่สองสามีภรรยามีเหมือนกันคือการทำงานจนลืมเวลาหรือทานอาหารไม่ตรงเวลานั้นเองก่อนจะพากันออกจากห้องไป
“อีกสองชั่วโมงอาหารเย็นคงมาพักผ่อนก่อนนะหนูทราย...พี่ไปทำงานก่อน” ผู้เป็นพี่เอ่ยบอกก่อนจะเดินออกไปทำงานต่อเพราะเขามีนัดคนไข้อีกสองคน
22.30น.
มือหนาของพงศ์พยัคฆ์ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มสายตาจดจ้องที่แผ่นฟิล์มเอกซเรย์สมองของน้องสาวก่อนจะหันมองนาฬิกาบนข้อมือซ้ายเข็มสั้นชี้อยู่บนตัวเลขที่เขาไม่คิดว่าจะเวลาขนาดนี้แล้วก่อนจะลุกจากห้องไปยังห้องพักของน้องสาว
ร่างสูงสมาร์ทเดินเข้าไปในห้องมองไปที่น้องสาวแล้วเดินไปขยับผ้าห่มให้น้องสาวก่อนจะลูบผมอย่างแสนรักเขาเย็นชาได้กับทุกคนยกเว้นแต่เธอคนนี้
ดวงตาคมละจากน้องสาวก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างบางที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงด้านตรงข้ามของเขาชายหนุ่มหยุดคิดอย่างชั่งใจก่อนจะอ้อมไปอุ้มหญิงสาวมาวางบนโซฟาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้หญิงสาวตื่นก่อนจะหยิบผ้าห่มมาห่มให้สายตาพิจารณาในหน้านวลของภรรยาที่เขาไม่ได้ตั้งใจพิจารณามานานถึงเก้าปีไม่คิดว่าเก้าปีที่ผ่านมาหญิงสาวจะหน้าตาสะสวยน่ารักน่าหลงได้ขนาดนี้และไม่คิดเลยว่าใบหน้านวลจะดูเฉยชาไม่หวั่นไหวกับอะไรง่าย ๆ ได้ขนาดนี้ทั้งที่แต่เล็กหญิงสาวมีใบหน้าที่อ่อนโยนและน่าทะนุถนอมมาโดยตลอด
‘ใบหน้าเฉยชาได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแพรวารินทร์...เป็นเพราะพี่เหรอ?’ ชายหนุ่มคิดในใจก่อนยื่นมือไปหมายจะสัมผัสลงที่ไรผมทว่าเพียงครู่เดียวก็ชักมือกลับและสลัดความคิดของตนแล้วเดินออกไปจากห้องไปราวกับว่าเขาไม่ได้เข้ามาภายในห้องนี้
สายตาคมมองโต๊ะทำงานที่มีร่องรอยของการกรีดอย่างขบคิดว่าใครกันที่ทำแบบนี้ ใครที่เกลียดเธอถึงขนาดนี้ ใครกัน? ฟ้ารดาเฝ้าถามตัวเองโดยไม่รู้สึกถึงการมาของใครบางคน“ทำอะไรอยู่คะพี่ฟ้า ตายแล้วนี่เกิดอะไรขึ้นคะพี่ฟ้า ทำไมโต๊ะถึงได้เป็นแบบนี้” เสียงร้องอย่างตกใจของคนข้างหลังทำให้ฟ้ารดาถึงกับสะดุ้ง คนที่ยืนอยู่หลังเธอคือสุนิสาหรือนิดพยาบาลสาวรุ่นน้องที่ดีกับเธอคนนึงแต่เมื่อเกิดข่าวลือเรื่องเธอกับพงศ์พยัคฆ์เมื่อสามเดือนก่อนทำให้เธอเปลี่ยนความคิดในทันทีเพราะสุนิสาเป็นคนนึงที่เอาข่าวลือไปใส่สีตีไข่จนไม่เหลือเค้าความจริงเธอจึงหลีกเลี่ยงที่จะคบค้ากับคนหน้าซื่อใจคดหน้าไหว้หลังหลอก“มีอะไรเหรอคะคุณนิด” ฟ้ารดาเอ่ยตอบเสียงเรียบราวกับไม่รู้สิ่งที่พยาบาลสาวเคยทำแต่ก็ไม่ได้ยินดีที่จะคุยด้วย“ทำไมพี่ฟ้าทำเสียงแบบนั้นล่ะคะน่ากลัวมากเลย”สุนิสาแกล้งใสซื่อจนถ้าเธอไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าผู้หญิงตรงหน้านั้นใสซื่อจริง ๆ“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่แค่ตกใจไปหน่อยคุณนิดมีอะไรก็พูดมาเถ
ร่างสูงของอัคนีเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยใบหน้านิ่งก่อนจะเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นร่างของคนที่ทาบทามเขามาทำงานที่นี่“สวัสดีครับอาจารย์” อัคนีเอ่ยทักอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม เขานนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลแห่งนี้นั่นเอง เขาได้รู้จักกับแดนสรวงเมื่อ7ปีก่อนสมัยเรียนแพทย์ปี1แดนสรวงเป็นอาจารย์หมอที่เขาสนิทด้วยที่สุดหลังจากเรียนจบอาจารย์หมอหนุ่มทาบทามเขาให้มาทำงานที่นี่หลายครั้งแต่เพราะอยากอยู่ใกล้ครอบครัวทำให้ปฏิเสธไปจนในช่วง2ปีมานี้ที่ฟ้ารดาย้ายมาทำงานที่นี่ทำให้เขาลังเลอยากตามมาอยู่หลายครั้งจนกระทั่งปัญจวัตรโผล่เข้ามาทำให้เขาติดต่ออาจารย์หมอคนสนิทอย่างรวดเร็ว“ไงอัคนี นึกยังไงถึงอยากย้ายมา หวงพี่สาวเหรอ?”แดนสรวงเอ่ยถามลูกศิษย์คนสนิทอย่างขบขัน ไม่คิดว่าที่เคยพูดว่าหวงพี่สาวมากจะหวงขนาดยอมย้ายตามมาขัดขวางเลยทีเดียว สงสารก็เเต่เพื่อนรักของญาติผู้น้องป่านนี้จะรู้รึยังว่าตัวป่วนมาถึงถิ่นแล้ว“หวงมากครับจารย์ ว่าแต่จารย์รู้จักไอ้หน้าจืดปัญญาอ่อนที่มาป้วนเปี้ยนเกาะเกะพี่สาวผมแค่ไหน” อัคนีเอ่ยถามแดนสรวงถึงปัญจวัตร
หลังจากที่พิมพ์พิชชาวางสายจากปลายสายหญิงสาวก็ยืนมองบรรยากาศอย่างมีความสุขกับแผนการทำให้สองสาวขี้อิจฉาหน้าแตกกับใครบางคน“ทำแบบนี้ไม่กลัวแพรโกรธเหรอครับทราย”เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้พิมพ์พิชชาต้องสะดุ้ง คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอคือรณพีร์นั่นเองเขายืนฟังเธอตั้งแต่แรกแล้วแต่ไม่ได้แสดงตัวเท่านั้นพิมพ์พิชชาหันมามองก่อนจะเอ่ยบอก“ความลับนะคุณพีร์อย่าให้ยัยแพรรู้เชียว”“มันก็ต้องมีอะไรมาแลกกันสิ แบบเงินมาผ้าหลุดอะไรประมาณเนี่ย” รณพีร์เอ่ยบอกพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย“ก็ได้คุณอยากได้อะไร”พิมพ์พิชชาเอ่ยถามอย่างเป็นรอง“ดินเนอร์กันสักมื้อ เสาร์นี้” รณพีร์เอ่ยบอกและลุ้นรอคำตอบจากหญิงสาว“ก็ได้เสาร์นี้” หญิงสาวตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะถามต่อ “วันศุกร์คุณว่างมั้ยถ้าว่างมาแจมกับแผนของฉันหน่อยนะ”“ได้สิ ผมก็เบื่อที่จะต้องถูกคนโยงไปทำร้ายคนอื่นแล้ว ถ้าเรื่องไม่จบผมคงต้องไล่พวกเธอออก”รณพีร์เอ่ยบอกตามใจคิดปัญหานี้บานปลายมานานแล้วเขาเองก็ควรทำอะไร
รุ่งเช้าวันจันทร์ที่แสนสดใสพิมพ์พิชชาเดินยิ้มน่าระรื่นเข้ามาในบริษัทพร้อมแพรวารินทร์ด้วยกิริยาอาการที่บ่งบอกว่ามีความสุขมากมายหลังจากพักผ่อนมาหนึ่งอาทิตย์วันนี้เป็นวันที่หญิงสาวจะได้กลับไปทำงานที่รักอีกครั้งหลังจากหยุดไป1เดือนเต็มๆและที่ทำให้ดีใจยิ่งกว่าคือจะได้ไปเจอหน้าใครบางคนที่หายหน้าไปทั้งอาทิตย์แต่ยังส่งดอกไม้มาเยี่ยมทุกวันอย่างเจ้านายสุดหล่อด้วย“นี่เลิกยิ้มได้แล้วแก ฉันนึกว่าเดินกับคนบ้า” แพรวารินทร์ออกเสียงปรามอย่างไม่จริงจัง ตั้งแต่เช้าที่ผ่านมาเพื่อนรักเอาแต่ยิ้มกว้างจนเธอได้แต่งง นางจะดีใจอะไรขนาดนั้นเล่นใหญ่จริง ๆ“ก็คนมันดีใจอ่า เดือนนึงแล้วน๊าที่ฉันไม่ได้มาทำงานคิดถึงงานแล้วก็เพื่อนร่วมงานจะแย่”“หรา ไม่ใช่คิดถึงคนที่หายไปหนึ่งอาทิตย์เหรอจ๊ะ”แพรวารินทร์ถามกลับอย่างรู้ทัน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเพื่อนเธอคิดอย่างไรอยู่“รู้มากไปแล้วยะ ไปเข้าไปทำงานกันได้แล้ว”พิมพ์พิชชาว่าให้ก่อนจะดึงเพื่อนรักเข้าไปทำงาน“อ้าว ยัยทรายดูดมาทำงานแล้วเหรอนึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอหล่อนซะแล้
“สวัสดีครับคุณพิชชา อาการเป็นยังไงบ้างครับ” เสียงทรงเสน่ห์เอ่ยทักทายไถ่ถามอาการทำให้คนไข้วัยทำงานถึงกับใจละลายความจริงเธอไม่ได้ป่วยแต่แค่อยากจะเห็นหน้าหมอหนุ่มเท่านั้นนายแพทย์อัคนี อัครวิทย์ อายุรแพทย์หนุ่มสุดหล่อวัย25ปีขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ในแถบนี้ยิ้มให้คนไข้อย่างเป็นมิตรแม้จะรู้ดีว่าสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายแค่อยากมาเห็นหน้าเขาเท่านั้นบ้างก็เอาของมาเยี่ยมเป็นประจำจนเป็นที่ชินตาของบุคลากรคนอื่นในโรงพยาบาล“วันนี้พิชชาจะเป็นอะไรดีเอ๋ย” อัคนีเอ่ยถามพร้อมยิ้มเอาใจอย่างน่ารักในสายตาเพื่อนหลายคนเขาเป็นคนกระล่อนและกวนประสาทสุดๆแต่สำหรับสาวน้อยสาวใหญ่ที่มาปลาบปลื้มเขากลับเป็นคนปากหวานและเอาใจเก่งเป็นอย่างมาก“วันนี้พิชชี่ปวดหัว ตัวร้อน ใจเต้นแรงมั๊กมากเลยค่ะหมอไฟขา” คนไข้สาวเอ่ยบอกทำท่าให้สมจริงจนหมอหนุ่มแอบขำ“แบบนี้คุณพิชชี่คงต้องมาหาหมอบ่อย ๆแล้วล่ะครับ หมอไฟว่าคุณพิชชี่เป็นโรครักหมอไฟแน่เลย” หมอหนุ่มเอ่ยหยอดพร้อมยิ้มแพรวพราว คนไข้สาวได้แต่เขินม้วนกับคำหยอดของหมอหนุ่ม&n
บ้านอัครวิทย์เพราะเกมพนันที่เคยพนันเดตแรกไว้กับฟ้ารดาที่ไร่พยัคฆ์ทำให้ปัญจวัตรต้องมาที่บ้านของฟ้ารดาในวันนี้หมอหนุ่มหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความมั่นใจ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทำให้น้องชายฟ้ารดากลับมาบ้านเพื่อเดตแต่เพื่อเอาชนะใจพ่อแม่ของหญิงสาวด้วยและที่ปรึกษาหมายเลขหนึ่งในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อนรักแต่เป็นผู้เป็นพ่อแทนจากข้อมูลที่ได้รับทำให้หมอหนุ่มมั่นใจเกือบ90%ว่าจะได้ใจของว่าที่แม่แฟนในอนาคตส่วนอีก10%คือพ่อและน้องชายที่เขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าทั้งสองจะยอมให้เขาคบกับฟ้ารดา“เข้าไปข้างในกันคุณ” ฟ้ารดาเอ่ยบอกก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้านหมอหนุ่มเดินตามอย่างมั่นคงและมั่นใจทุกสรรพสิ่งในบ้านอัครวิทย์เหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวทันทีเมื่อลูกสาวคนโตของบ้านเดินนำผู้ชายเข้ามาในตัวบ้านนายแพทย์หมออาศิระยืนมองชายหนุ่มรุ่นลูกอย่างไม่วางตาส่วนคุณนายฝนนภากลับมองอย่างตกใจไม่น้อยที่ลูกสาวคนเดียวพาชายหนุ่มที่หน้าคล้ายอดีตคนรักเข้ามาที่บ้านและแนะนำว่าเป็นแฟนหนุ่ม“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ผมปัญจ์ครับ”ปัญจวัตรเอ่ยทักทายอย่างเ